Kindle Fire วันเดียวจองเกือบแสนเครือง
อเมซอน (Amazon) ปักป้ายจองตลาดแท็บเล็ต “ระดับกลาง” หรือเมนสตรีมทุกหัวระแหงด้วยการเปิดตัวแท็บเล็ตราคาประหยัด 199 เหรียญนาม "Amazon Kindle Fire" ราคาและคุณสมบัติเครื่องสุดยั่วใจทำให้ Kindle Fire ถูกมองว่าจะกระทบกับแท็บเล็ตแอนดรอยด์ (Android) ทั่วหย่อมหญ้า นักวิเคราะห์ฟันธงแท็บเล็ตที่ไม่ใช่ไอแพด (iPad) จะถูกกดดันให้ลดราคาลง ขณะที่ซัมซุง (Samsung) ตกที่นั่งลำบากมากที่สุดเพราะอาจจะเสียตำแหน่งเบอร์ 2 ในตลาดแท็บเล็ตโลกในปีหน้า
นอกจากนี้ ราคาและจุดยืนของ Kindle Fire ยังชัดเจนว่าอเมซอนไม่หวังเป็น ‘IPad Killer' หรือเพชรฆาตไอแพดที่แอปเปิลวางไว้บุกตลาดบนคนมีเงิน แต่นักวิเคราะห์เชื่อแม้จะไม่ชนกับไอแพดตรงๆ แต่ส่วนแบ่งตลาดแท็บเล็ตในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงแน่นอน เบื้องต้นเชื่อว่า Kindle Fire จะได้รับความนิยมถล่มทลายในเวลารวดเร็ว จนมียอดขายเกิน 4 ล้านเครื่องในปีนี้
แท็บเล็ต 6,000 บาท
Kindle Fire เป็นแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดในตลาดที่ยักษ์ใหญ่ตลาดค้าปลีกออนไลน์อย่างอเมซอนเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา โดยอเมซอนตั้งราคาเครื่องไว้ที่ 199 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 6,000 บาท ถูกกว่าไอแพดถึงครึ่งหนึ่ง
ราคาประหยัดเช่นนี้โดนใจผู้ที่ต้องการซื้ออุปกรณ์ราคาไม่แพงเพื่อการอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง และเล่นเกม แต่สำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์หน้าจอใหญ่เพื่อการสนทนาผ่านวิดีโอ อาจต้องมองหาไอแพดมากกว่าอุปกรณ์ของอเมซอน
ไบรอัน แบลร์ (Brian Blair) นักวิเคราะห์ของบริษัท Wedge Partners Corp. เชื่อว่า Kindle Fire จะสามารถจำหน่ายได้มากถึง 4 ล้านเครื่องภายในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ แน่นอนว่าจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิลในสังเวียนแท็บเล็ตถูกแย่งไป อย่างไรก็ตาม แบลร์ยืนยันว่าหากอเมซอนต้องการแย่งส่วนแบ่งจากไอแพดจริง อเมซอนจำเป็นต้องออกแท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่และมีหน่วยประมวลผลที่มากกว่าที่ Kindle Fire เป็นอยู่
Kindle Fire นั้นถูกมองว่าไม่ใช่คู่แข่งของไอแพด เพราะมีขนาดหน้าจอเล็กราว 7 นิ้ว เล็กกว่าไอแพดที่ใหญ่ 9.7 นิ้ว ตัวเครื่องใช้ระบบปฏิบัติการ Android ใช้หน่วยประมวลผลดูอัลคอร์ รองรับเครือข่าย Wi-Fi โดยผู้ซื้อจะได้สิทธิ์ทดลองใช้บริการนานาคอนเทนท์ของอเมซอน Amazon Prime เป็นเวลา 30 วันฟรี โดยหากต้องการใช้ต่อ จะต้องเสียค่าสมาชิก 79 เหรียญต่อปีเพื่อรับบริการวิดีโอและเพลงสตรีมมิ่ง
ปัจจุบัน ไอแพดนั้นมีส่วนแบ่งตลาดราว 85% ของตลาดแท็บเล็ตทั่วโลก (ข้อมูลจากบริษัท EMarketer Inc. ประจำปี 2010) จุดนี้บริษัทวิจัย Forrester Research Inc. เชื่อว่าอเมซอนจะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 51% ภายในปี 2015 เท่ากับส่วนแบ่งตลาดไอแพดจะต้องลดลง โดยหลังการเปิดตัว Kindle Fire หุ้นของอเมซอนพุ่งพรวด 2.5% เพราะนักลงทุนเชื่อว่าแท็บเล็ตราคาประหยัดของอเมซอนจะสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้ดีกว่าแท็บเล็ตของเอชพี (Hewlett-Packard) และริม (Research In Motion)
อย่างไรก็ตาม Kindle Fire ยังมีจุดอ่อนเรื่องการไม่มีไมโครโฟนในตัว ไม่รองรับเครือข่าย 3G ไม่มีกล้องดิจิตอล และรองรับแอปพลิเคชันน้อยกว่าไอแพดที่มีมากกว่า 425,000 แอปพลิเคชัน (มากกว่า 100,000 แอปพลิเคชันสร้างมาเพื่อไอแพด) ซึ่งยังทำให้ Kindle Fire สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น
นักวิเคราะห์เชื่อว่า Kindle Fire จะทำให้อเมซอนมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 32% เป็น 64,600 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012 ส่วนใหญ่จะเป็นเงินจากยอดจำหน่ายคอนเทนต์ของอเมซอนทั้งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ภาพยนตร์ เพลง และแอปพลิเคชันออนไลน์ของอเมซอนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแน่นอนในระยะยาว แต่ในมุมรายได้จากการจำหน่ายเครื่อง อาจจะไม่ทำกำไรให้อเมซอนเป็นกอบเป็นกำในเร็ววัน เพราะการประเมินต้นทุนการผลิตเบื้องต้นพบว่าอเมซอนมีแนวโน้มขาดทุนถึง 50 เหรียญสหรัฐฯต่อเครื่องสำหรับการกำหนดราคาจำหน่าย Kindle Fire ที่ 199 เหรียญ ตรงกันข้ามกับไอแพดที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าแอปเปิลนั้นได้กำไรเนื้อๆ 149 เหรียญต่อเครื่อง เพราะบริษัทมีต้นทุนการผลิตไอแพดที่ราว 350 เหรียญต่อเครื่องเท่านั้น
เจฟ เบโซส์ ซีอีโออเมซอน