ยู โทเปีย เป็นแนวคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับโลกอันสมบูรณ์แบบตามทฤษฎีของเพลโตในสมัยกรี กโรมัน (347 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เซอร์โทมัสมอร์ (Sir Thomas More) นักปรัชญามนุษยนิยมชาวอังกฤษ ได้นิยามคำว่า "ยูโทเปีย" (Utopia) ในหนังสือที่เขาแต่ง ซึ่งกล่าวถึงเกาะแห่งหนึ่งที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความสามัคคีกลมเกลียว ไม่มีความขัดแย้ง สงครามหรือการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน
แต่ในโลกแห่งความจริงแล้วไม่มีใครสามารถสร้าง "ยูโทเปีย" ได้หรอก ...แต่มีคนหนึ่งเขาเชื่อมากๆ ว่าเขาสามารถสร้าง "ยูโทเปีย" ได้
เขาคือ "จิม โจนส์"
จิม โจนส์ มีบุคลิกภาพเป็นนักต่อต้านสังคม จากเริ่มแรกทำอาชีพเป็นเซลล์แมน เมื่อเขาได้รู้เรื่อง "ยูโทเปีย" เขาไม่ยอมเชื่อว่าสถานทีแห่งนั้นไม่สามารถสร้างได้ในโลกใบนี้ ด้วยความคิดนี้เขาได้ชักชวนสาวกและผู้เสื่อมใสศรัทธาในตัวเขา จากนั้นก็ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิใหม่ ออกเดินทางไปตั้งอาณาจักรยูโทเปียที่กลางป่าลึก ในประเทศกีอาน่า ดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศส ในทวีปแอฟริกา
การสร้างสังคมอุดมสุขของ จิม โจนส์ ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่นานมันก็ยิ่งเหลวแหลก ในที่สุดสังคมในฝันของเขาก็เกิดอาการซ็อก ...วันที่ 18 พฤศจิกายน 1978 จิม โจนส์และสาวกร่วม 914 คน พากินยาพิษฆ่าตัวตาย ...และนี่คือเหตุการณ์ฆ่าตัวตายที่ได้รับการบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นการ ฆ่าตัวตายหมู่โดยเจตนามากที่สุดในโลก
Jim Jones หรือ James Warren Jones (1931 - 1978)
จิม โจนส์ เกิดเมื่อ 13 พฤษภาคม 1931 ในครอบครัวยากจนที่รัฐอินเดียน่า ประเทศอเมริกา เจมส์บิดาของเขาซึ่งเป็นสมาชิก KKK นั้นทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เขาอายุ 12 ปี ลีเน็ตต้าผู้เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงเขามาลำพังคนเดียวนั้นรักลูกตัวเองมากและมัก จะบอกกับคนอื่นว่าลูกของเธอเป็นเหมือนนักบุญมาตั้งแต่เกิด ลีเน็ตต้าเข้าร่วมในโครงการอาสาสมัครของท้องถิ่นและให้ความช่วยเหลือผู้ด้อย โอกาสคนอื่นๆ ประกอบกับเขตที่จิมอาศัยอยู่นั้นเป็น Fundamentalism (กลุ่มผู้มีความเชื่อในไบเบิ้ลว่าทุกคำในไบเบิ้ลนั้นเป็นความจริง) เสียส่วนใหญ่ จิมจึง เติบโตขึ้นเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า เขาเริ่มท่องจำไบเบิ้ลตั้งแต่อายุ 8 ปี และเมื่ออายุ 12 เขาก็สามารถเทศน์เด็กในละแวกบ้านราวกับเป็นนักบวชจริงๆ เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมก็ไปเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นบาทหลวงของเมโธดิสต์ พออายุ 21 ปี เขาก็ได้พบกับ มัลเซลีน บอลด์วินด์ ซึ่งเป็นนางพยาบาล (มีบางที่กล่าวว่าเธอเป็นลูกของนักเผยแพร่ศาสนาด้วย) และแต่งงานกัน พร้อมกันนั้นเอง จิมก็ถอนตัวออกจากเมโธดิสต์ออกมาเป็นนักเผยแพร่ศาสนา
จิมเริ่มทำการเผยแพร่คำสอนโดยมีกลุ่ม เป้าหมายหลักเป็นคนผิวดำในเขตเกตโต้ (Ghetto) และตั้งโบสถ์มวลชน (Peoples Temple) ขึ้นมาในปี 1957 แน่นอนว่าเงินทุนย่อมมีน้อย เขาจึงเริ่มธุรกิจการเพาะพันธุ์ลิงมาขายเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือคนผิวดำ คนที่มีทัศนคติแบ่งแยกสีผิวไม่พอใจในการกระทำของจิม เขาถูกด่าว่าอย่างไม่มีเหตุผล มีคนปาหินใส่บ้าน ซึ่งบางครั้งก็ยกระดับมาเป็นระเบิดขวด ถึงกระนั้นจิมก็ไม่ยอมแพ้และทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนั้นพลเมืองผิวดำของอินเดียน่าโพลิสกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอเมริกากำลังรณรงค์การมีส่วนร่วมในการปกครองของคนผิวดำและอาศัยว่า จิมมีพรสวรรค์ในการเทศน์ผู้ศรัทธาในตัวเขาจึงเพิ่มขึ้นและโบสถ์มวลชนก็ขยาย ตัวอย่างรวดเร็
ปี 1959 จิมรับเด็กเชื้อสายนิโกรและเด็กเชื้อสายเกาหลีอย่างละคนมาเป็นบุตรบุญธรรม นอกเหนือไปจากลูก 2 คนของเขากับมัลเซลีนและเรียกครอบครัวของตัวเองว่า Rainbow Family ทั่วอินเดียน่าโพลิสเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของจิม เขาให้ความช่วยเหลือแก่คนผิวดำในรูปของอาหารและที่หลับนอน ซึ่งรวมไปถึงการหางานให้ทำด้วย เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะได้เป็นนักศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก หากยุคสมัยก็ทำให้หนทางนั้นบิดเบือนไป
อเมริกาในยุคปี 60 นั้นเต็มไปด้วยความคิดเรื่องการต่อต้านสงครามและการรณรงค์สิทธิเสรีภาพ จิมได้รับอิทธิพลความคิดจากบาทหลวง คิง มัลคอม และแบล็คแพนเธอร์มาอย่างมาก
เขาตั้งอุดมคติเป็นสังคมแบบสังคมนิยม ซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติและเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสี ผิวทั้งการออกเดินขบวนและออกรายการโทรทัศน์ และการที่ ทิมส์ สโตน (ทนายซึ่งเป็นฮิปปี้มาก่อน) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของเขาในช่วงนี้ก็ยิ่งทำให้จิมยึดมั่นในแนวคิดนั้นมาก ยิ่งขึ้น จากนั้น จิม โจนส์ ก็ตั้งสัทธิของตนเองขึ้นคือ "ลัทธิดินแดนสวรรค์"
เมื่อจิม โจนส์ ตั้งลัทธิตนเองได้ เขาประกาศว่า "ในลัทธิของพวกเราจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ความรุนแรงจะต้องหมดไปจากโลก เหมือนสะเก็ดเนื้อหนังหลุดออกไปจากมือ จากเท้าคนป่วยขี้เรื้อนกุดถัง"
โครงการหนึ่งที่จิม โจนส์ สร้างศรัทธาต่อสาวก คือโครงการต่อต้านการฆ่าตัวตาย เมื่อปี 1977 จิม โจนส์ และสาวกผู้ติดตามกว่า 500 เดินทางไปสะพานโกลเดนเกท เพื่อต่อต้านการฆ่าตัวตาย ซึ่งสะพานแห่งนี้ชาวอเมริกันนิยมมาฆ่าตัวตายมากที่สุด และอีกครั้งงจิมและสาวกหนึ่งคันรถบัสเดินทางไปที่คุกแห่งหนึ่งเพื่อเยี่ยม นักข่าวคนหนึ่งที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในข้อหาที่ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งการกระทำของศาลถือว่าผิดต่อรัฐอย่างร้ายแรงมาก จิมตั้งเวทีปราศรัยหน้าคุก เขาเรียกร้องให้ชาวอเมริกันมีเสรีภาพต่อการพูด คิดและเขียน และยินดีเป็นโซ่กลางระหว่างอำนาจรัฐและวงการสื่อมวลชน
นั่นเองที่ทำให้จิม โจนส์ ได้รับถ้วยรางวัลและเหรียญเชิดชูเกียรติต่อการทำงานรับใช้สังคมมากมาย ในจำนวนนั้นเขาได้รับเหรียญ "ลาเฮอราลด์" เป็นเหรียญสำหรับผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน (เมื่อปี 1978)
น่าเสียดายความจริงจิมน่าจะได้เป็นนัก ศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลกก็ว่าได้ แต่แล้วจิมก็เปลี่ยนไปเป็นคนชั่วและคนดีในเวลาเดียวกัน ...
แน่นอนการกระทำของจินหลายคนไม่เห็น ด้วย โดยเฉพาะพวกเหยียดสีผิว ทำให้ผู้คนเริ่มจับตามองการเคลื่อนไหวของโบสถ์ ทำให้จิมรู้สึกอ่อนไหวต่อปัญหาซึ่งเพ่งเล็งมายังตัวเขา จิมเห็นรัฐบาลและผู้แยกตัวออกจากโบสถ์เป็นศัตรูและจัดให้มีองครักษ์อยู่ข้าง ตัวเขาเกือบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งส่งคนไปคอยจับตาดูบ้านของผู้แยกตัวออกจากโบสถ์ด้วย
หลังจาก The Cuban Missile Crisis ในปี 1962 จิมแสดงท่าทีหวาดกลัวต่อปรมาณูเป็นอย่างมาก ในไม่ช้าเขาก็อ้างว่าได้รับบัญชาจากพระเจ้า "ในไม่ช้าโลกจะถูกปรมาณูฆ่าล้างผลาญ มีแต่ผู้อยู่ในเวโลโอริซอนเด้ในบราซิลและยูเกียในแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่จะ รอดชีวิต" เขาตัดสินใจย้ายโบสถ์ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่จิมก้าวพลาดจากหนทางของคนปกติ
ปี 1965 จิมย้ายโบสถ์ของเขามายังยูเกียในแคลิฟอร์เนียตามคำทำนายของตัวเอง เขาเทศน์เรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือผู้ไม่อาจปรับตัวเข้ากับสังคม คนตกงาน คนมีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์เติบโตอย่างรวดเร็ว หากในขณะเดียวกัน จิมก็เริ่มมีท่าทีรุนแรงขึ้น ระหว่างการเทศน์เรื่องไคน์และอาเบล จู่ๆ จิมก็ขว้างไบเบิ้ลทิ้ง "ผมไม่เชื่อในพระเจ้าที่ถูกสมมติขึ้นหรอก บนฟ้ามีสวรรค์อยู่ที่ไหน โลกที่เราอยู่นี่แหละคือนรกเพียงหนึ่งเดียว" เป็นการปฏิเสธในหลักคำสอนจนยากจะเชื่อได้ว่าเขาเป็นนักศาสนาจริง หากสำหรับผู้คนซึ่งใช้ชีวิตอยู่อย่างยากแค้น คำพูดเหล่านี้กินใจพวกเขาเป็นพิเศษ
ปี 1967 จิมย้ายโบสถ์ไปยังซานฟรานซิสโก คนนับพันคนมาชุมนุมที่โบสถ์ทุกครั้งที่มีพิธีมิซา จิมให้ความช่วยเหลือผู้ยากจนและได้แรงงานเป็นสิ่งตอบแทนเช่นที่ผ่านมา แต่ถึงตรงนี้เขามีสาวกในมือมากราวกับเป็นกิจการขนาดใหญ่ เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างเส้นสายในหมู่นักการเมืองซึ่งทำให้โบสถ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารเมืองและมีฐานะถึงขนาดมีนักการ เมืองระดับประเทศมาหาถึงบ้าน ในตอนนี้จิมเป็นเหมือนกับวีรบุรุษของเหล่าสาวกทีเดียว หากในความเป็นจริงแล้ว สภาพจิตใจของจิมไม่ค่อยปกตินัก เขาอารมณ์รุนแรงและต้องพึ่งยาระงับประสาท บ่อยครั้งแนวคิดของจิมเอนเอียงไปยังระบอบสังคมนิยม แม้แต่ในพิธีมิซา เขาก็เริ่มเทศน์ "ในนามของระบบสังคมนิยมอันศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งกล่าวว่ามีเพียงผู้ที่เชื่อใน Christian Communalism นี้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้มีอิสระ และในขณะเดียวกันก็เริ่มการรักษาโรคด้วยปาฏิหารย์เช่นการรักษามะเร็งหรือ รักษาคนตาบอด
จิมชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมด แก่โบสถ์และมาใช้ชีวิตในโบสถ์ โดยบอกว่านี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์ เมื่อมีคนแคลงใจก็กล่าวว่าเพราะคนผู้นั้นมีความศรัทธาไม่เพียงพอและบอกกับ สาวกของตัวเองว่าสังคมภายนอกเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่ควรจะเชื่อข้อมูลของคนนอกโบสถ์และในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มมีความสัมพันธ์ ฉันท์ชู้สาวกับสาวก (ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย) ทำให้ชีวิตแต่งงานของเขาและมัลเซลีนเริ่มระหองระแหง จิมสร้างฮาเร็มขึ้นในหมู่สาวก แต่กลับตั้งกฏให้งดเว้นการมีเซ็กซ์ระหว่างสามีภรรยาเพื่อให้ความสัมพันธ์ของ ครอบครัวอ่อนลง เด็กๆ ถูกแยกจากพ่อแม่ และการทำเช่นนี้เองทำให้ความสนใจทุกประการของสาวกมารวมกันยังโบสถ์และทำให้ พวกเขาปล่อยมือจากทรัพย์สมบัติไปอย่างง่ายดาย (แน่นอนว่าเข้ากระเป๋าโบสถ์แทน)
จิมถูกครอบงำด้วยความคิดว่าพวกเขาจะ ถูกข่มเหง เขาสั่งให้สาวกเรียกตัวเองว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์" และเริ่มเทศน์เกี่ยวกับ Translation ซึ่งมีใจความว่า "ท้ายที่สุดนั้น สาวกทุกคนต้องฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวและได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ที่ดาวดวงอื่น" จิมยึดติดกับความคิดนี้จนถึงกับมีการทำรายชื่อของคนที่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่า ตัวตายหมู่และกล่าวโจมตีคนเหล่านั้นต่อหน้าคนอื่น
ปี 1973 ก่อนที่การต่อต้านโบสถ์มวลชนจะเป็นรูปร่างขึ้น จิมเริ่มวางแผนจะย้ายสาวกไปยังกูยาน่าในอเมริกาใต้และสร้าง "โจนส์ทาวน์" ขึ้นบนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ กล่าวกันว่าเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเตรียมการนี้กินเงินเป็นล้านดอลล่าร์ที เดียว จิมเรียกมันว่า "ยูโทเปีย" นี่คือยูโทเปียของจิม เขาจะใช้ที่แห่งนี้เผยแพร่ความคิดของเขาแก่สาวก ที่แห่งนี้ทุกคนจะอยู่อย่างเท่าเทียมและสงบสุข ...
โจนส์ทาวน์ถูกสร้างขึ้นโดยมีหนทางสื่อ สารกับโลกภายนอกเพียงไปรษณีย์และโทรศัพท์คลื่นสั้น ซึ่งการสื่อสารเหล่านี้ก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ที่นี่เป็นเหมือนเมืองในระบบเผด็จการของจิม สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วโจนส์ทาวน์ถูกดูแลด้วยกลุ่มคนผิวขาวหยิบมือเดียว คนผิวดำต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีใน ตอนกลางคืน ซึ่งต่อเนื่องไปจนถึง ตี 2-ตี 3 ของอีกวัน
หนำซ้ำระบบสาธารณูปโภคของที่นี่ก็ใช่ ว่าจะดีนัก ทุกคนต้องต่อสู้กับโรคเมืองร้อนและโรคระบาดต่างๆ กฏมากมายถูกกำหนดขึ้น คนที่จำไม่ได้ คนที่ไม่ปฏิบัติตามและคนที่ทำท่าจะหนีออกไปจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งการลงโทษได้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมานและจากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศ ว่ากันว่า ผู้ใดที่คิดหลบหนีจากยูโทเปียของจิม ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง ผู้ใหญ่ หากถูกจับได้จะถูกนำมาทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ "โพรงแห่งทุกข์ทรมาน" โดยจะโยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย และนานวันเข้าสาวกหลายรายในโจนส์ทาวน์เริ่มเบื่อหน่าย โดยเฉพาะการเผยแพร่ความเชื่อของจิมผ่านเครื่องกระจายเสียงติดตั้งลำโพงที่ หน้าวิหารเทวาลัยมันเริ่มหนวกหู เพราะต้องทนเสียงประกาศทั้งวันทั้งคืน จนหลายคนคิดว่านี้ไม่ใช่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์อย่างที่โฆษณาไว้ ในปีเดียวกันนี้เองจิมถูกจับในข้อหาทำอนาจารต่อผู้ชายที่มัคคาซ่าร์ปาร์ค (ที่ชุมนุมเกย์) เขายอมเซ็นในเอกสารยอมรับความผิดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเป็นการ "เตรียมตัว" โบสถ์มวลชนมีการซ้อมพิธีฆ่าตัวตายหลายครั้งตั้งแต่ก่อนการย้ายไปกูยาน่า ครั้งแรกสุดนั้นถูกจัดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1976 จิมรวบรวมสาวก 30 คนมาโดยกล่าวว่าจะฉลองด้วยการดื่มไวน์ และเมื่อทุกคนดื่มแล้วก็บอกว่า "ไวน์นี้มีพิษ พวกเราคงจะตายในไม่ช้า" แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องโกหกและหลังจากนั้น จิมก็มีทำการ "ซ้อม" ทำนองนี้อีกหลายครั้ง (คราวนี้บอกล่วงหน้าว่ามียาพิษ) มีการตรวจว่าสาวกได้ดื่มไวน์ในแก้วไปจนหมดหรือไม่ เหมือนกับเป็นการวัดความจงรักภักดีอย่างหนึ่ง
ปี 1977 โบสถ์มวลชนย้ายสาวกมากกว่าพันคนไปยังกูยาน่า การ "ซ้อม" ก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ กล่าวกันว่าในปีสุดท้ายนี้ มีการซ้อมฆ่าตัวตายถึง 43 ครั้งทีเดียว (วันไหนที่มีการซ้อม เวรทำอาหารจะถูกยกเลิกล่วงหน้า เมื่อซ้อมเสร็จจึงค่อยมาเตรียมอาหารกัน ดังนั้นพอไม่มีเวรทำอาหาร สาวกจึงรู้ว่าวันนี้จะมีการซ้อม)
ในปีนี้ เกรซ สโตน ซึ่งเคยเป็นคนรักของจิม ออกมาแฉเบื้องหลังของโบสถ์ทำให้สื่อมวลชนเปิดศึกโจมตีโบสถ์มวลชน ส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมากออกมาฟ้องศาลและสาวกซึ่งหนีจากโจนส์ทาวน์ไปขอความ ช่วยเหลือจากสถานฑูตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มแอนตี้โจนส์ขึ้นมา แล้วรัฐบาลอเมริกาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ สส.ไรอัน จากรัฐแคลิฟอร์เนียยื่นจดหมายขอไปทำการตรวจโจนส์ทาวน์แก่จิม เนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น แล้วม่านสุดท้ายของโศกนาฏกรรมในโจนส์ทาวน์ก็ถูกยกขึ้น
14 พฤศจิกายน 1978 ไรอันพร้อมกับนักข่าว อดีตสาวกและครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คนได้ไปยังกูยาน่า หลังจากการเจรจาผ่านทนายเป็นเวลาหลายชั่วโมง โจนส์ทาวน์ก็ยอมเปิดประตูรับพวกเขาเข้าสู่ภายในในครั้งแรกนั้น การตรวจเป็นไปอย่างไม่มีปัญหา เด็กๆ เล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นอย่างร่าเริง ผู้ใหญ่ทำงานในไร่อย่างอิสระไม่มีทีท่าว่าถูกบังคับ พอตกค่ำจิมก็จัดเลี้ยงพวกเขาและกล่าวอย่างภูมิใจว่าผักผลไม้และกาแฟเหล่านี้ ล้วนเก็บสดๆ มาจากไร่ของที่นี่เอง พวกไรอันเกือบจะเชื่อว่าข้อครหาต่อโจนส์ทาวน์เป็นเพียงข่าวลือ หากในวันที่ 4 ของการพักที่โจนส์ทาวน์นี้เอง นักข่าวคนหนึ่งก็พบกระท่อมที่ผิดปกติหลังหนึ่ง ในกระท่อมนั้นคนแก่และคนเจ็บถูกจับนอนเรียงกันบนเตียงเก่าๆ จนแน่นไปหมด ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่มเหม็น แมลงวันบินให้ว่อน มีกระทั่งตัวหนอนคลานอยู่จนทั่ว เมื่อนักข่าวจะถ่ายรูปก็มียามมาห้ามไว้ และเมื่อพวกไรอันถามเรื่องนี้กับจิม เขาก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมาทันที (จิมในตอนนั้นป่วยเป็นโรคเบาหวานและยาที่เขากินก็มีผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็โกรธ)
18 พฤศจิกายน ไรอันออกจากโจนส์ทาวน์ตามกำหนดการและพาสาวกจำนวน 16 คนซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ลารี่ เลย์ตัน หนึ่งในสาวกที่ถอนตัวมา ก็ชักปืนออกมายิงพวกไรอัน พร้อมกับที่กลุ่มคนติดอาวุธออกมาล้อมเครื่องบินไว้และเริ่มการยิง สส.ไรอันและผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต หลังจากการโจมตีนี้ ในเวลา 5 โมงเย็นวันเดียวกัน เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิมรวบรวมสาวกทั้งหมดมาร่วมในพิธีของ "ไวท์ไนท์"
คืนสุดท้ายในโจนส์ทาวน์
นางพยาบาลนำถังใส่ไซนาไนด์ออกมา ซึ่งไซยาไนด์เหล่านี้ถูกผสมกลิ่มผลไม้ให้ดื่มง่าย พวกเขาฉีดไซยาไนด์ให้กับเด็กๆ ก่อน เพื่อที่เด็กๆ จะไม่ร้องโวยวายออกมาให้เสีย "พิธี" จากคำให้การของผู้รอดชีวิต ใช่ว่าสาวกทุกคนจะยินยอมพร้อมใจกับการฆ่าตัวตายนี้ มีทั้งผู้คัดค้านและผู้ที่พยายามจะหนี หากทั้งหมดก็ถูกสาวกคนอื่นจับไว้และกรอกไซยาไนด์ลงปากหรือถูกยิงอย่างไม่ ปราณี เด็กๆ พากันร้องไห้และพ่อแม่ก็เกิดอาการฮิสทีเรีย แต่โดยรวมๆ แล้วไม่มีการขัดขืนมากนัก โดยเฉพาะคนชราซึ่งเฝ้ารอคิวของตัวเองอย่างสงบ คนที่ถึงคิวกล่าวคำอำลากับคนรู้จักแล้วดื่มยา อีกประมาณ 5 นาที ก็จะเกิดอาการทรมานทุรนทุรายจนกระทั่งตายไป
มีเพียงส่วนหนึ่งที่หนีรอดออกมาได้ จากสาวกกว่า 1100 คน มีเพียง 167 คนที่รอดมาได้และในจำนวน 900 กว่าคนที่เสียชีวิตนั้น คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ถูกฆ่าโดยคนอื่น มีทั้งศพที่ถูกยิงจากข้างหลังและศพที่อยู่ห่างจากแก้วยาพิษจนไม่มีความเป็น ไปได้ที่เขาจะเอื้อมไปถึง เกือบ 300 ศพจากทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ภายหลังมีการนำเทปซึ่งบันทึกคืนสุดท้ายของโบสถ์มวลชนมาออกอากาศ "การฆ่าตัวตายนี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ นี่คือการต่อต้านอำนาจรัฐ เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อการปฏิวัติ" ศพของจิมถูกพบบนแท่นพิธี ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน ไม่ทราบว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมกันแน่ แต่ดูจากสถานการณ์โดยรวม คนส่วนใหญ่ต่างก็ลงความเห็นว่านี่น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่า