เจาะประวัติ "ซีไอเอ" ตอน๙ สงครามจิตวิทยา

สงครามจิตวิทยา

ในการทำสงครามนั้น ใช่ว่าจะมีแต่การใช้กำลังและอาวุธเข้าห้ำหั่นให้แหลกกันไปข้าง
แต่ยังมีการนำเอาการโฆษณาชวนเชื่อ ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา และเรื่องราวลึกลับที่อยู่เหนือเหตุผลมาใช้เป็นอาวุธเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า "ปฏิบัติการจิตวิทยา"

ความกลัวสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้เช่นเดียวกับปืนและรถถัง ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะ "ข่มขวัญ" ศัตรูได้มากพอ เราก็อาจเอาชนะศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องสู้รบปรบมือกันให้เสียเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับที่กองทัพสหรัฐทดลองนำมาใช้ในการปฏิบัติการลับในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกที่เรียกว่า การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)

การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)

http://www.globalissues.org/HumanRights/Media/Military.asp

การโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งคือ การกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาผูกโยงเข้ากับเรื่องราวที่ต้องการเป็นวิธีการหนึ่งในการทำ สงครามจิตวิทยา (PSYWAR) ในช่วงทศวรรษที่ 1950สหรัฐได้นำ ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) มาใช้ในระหว่างการทำสงครามที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม ภายใต้การนำของ นาวาอากาศเอกพิเศษ เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล (Edward Lansdale)

นาวาอากาศเอกพิเศษ เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล (Edward Lansdale)

ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations)

http://utangente.free.fr/2003/PSYWAR.pdf

เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล ได้ชื่อว่าเป็น นักรบจิตวิทยา (Psywarrior) คนแรกๆ ของโลก เขามีความเชื่อว่าประเด็นสำคัญที่จะทำให้ปฏิบัติการจิตวิทยา หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในกองทัพสหรัฐว่า ไซออบ (PSYOP) เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า การโฆษณาชวนเชื่อ นั้นประสบผลสำเร็จ ก็คือ การที่นักรบจิตวิทยาจะต้อง "เข้าถึง" ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของเป้าหมาย http://www.psywarrior.com/links.html

ตำนานและความเชื่อต่างๆ จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อชักจูงให้คนในท้องถิ่นนั้นๆ เกิดความคล้อยตาม ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 สมัยที่ เอ็ดเวิร์ด ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ ซีไอเอ เขาได้ใช้กลยุทธ์นี้สร้างความโกลาหลในหมู่พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนในฟิลิปปินส์

สร้างตำนาน

พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนได้ยึดที่มั่นแห่งหนึ่งบนเนินเขาไว้ได้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับมอบหมายให้ขับไล่พวกกองโจร เหล่านั้นออกจากพื้นที่ เขาก็เริ่มปฏิบัติการจิตวิทยาทันที โดยปล่อยข่าวไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงว่า พื้นที่บริเวณที่พวกกองโจรยึดไว้นั้นเป็นแดนอาถรรพ์ มันเป็นที่อยู่ของพวกภูติผีปีศาจ และโดยเฉพาะพวกผีดูดเลือดอาศัยอยู่ที่นั่น

หลังจากที่ปล่อยข่าวไปได้ 2 วัน เอ็ดเวิร์ด กะว่า "ข่าวลือ" นั้นน่าจะกระจายขึ้นไปถึงยังพวกกองโจรแล้ว เขาก็เริ่มแผนการขั้นที่ 2 โดยส่งหน่วยลอบสังหารขึ้นไปยังบริเวณที่มั่นของพวกกองโจร และหลบซ่อนตัว อยู่บริเวณที่พวกกองโจรใช้ลาดตระเวณตรวจพื้นที่ รอจนกระทั่งความมืดเข้ามาปกคลุมก็เริ่มทำข่าวลือให้เป็นจริง

เมื่อหน่วยลาดตระเวณของพวกกองโจรมาถึง หน่วยลอบสังหารรอจังหวะให้หน่วยลาดตระเวณเดินผ่านพวกเขาไป แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไป "เก็บ" คนที่เดินรั้งท้ายอย่างเงียบๆ แล้วลากไปทำพิธีแต่งศพโดยเจาะรูเล็กๆ 2 รูบนคอจากนั้นก็จับศพแขวนห้อยหัวลงเพื่อให้เลือดไหลออกมาที่แผลจนกระทั่งหมดตัว

เมื่อพิธีการแต่งศพเสร็จสิ้นพวกเขาก็นำศพที่ซีดเผือดนั้นกลับไปวางไว้ที่บริเวณทางลาดตระเวณของกองโจร เมื่อกองโจรกลับมาเพื่อค้นหาสมาชิกที่หายไปก็จะพบศพเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะถูก "อะไรบางอย่าง" สูบเลือดออกจนหมดตัว พวกกองโจรต่างเชื่อว่า "อะไรบางอย่าง" ที่ว่านั้นก็คือ ผีดูดเลือด ด้วยความกลัว ว่าขืนอาศัยอยูบนเนินเขาแห่งนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องนำชีวิตมาสังเวยเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ทั้งหมดเป็นแน่แท้ ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกกองโจรต่างก็อพยพหลบหนีไปที่อื่น

การข่มขวัญ

ปฏิบัติการจิตวิทยาที่เอ็ดเวิร์ดใช้อีกวิธีหนึ่งคือ "เทคนิคดวงตาของพระเจ้า" (Eye of God Technique) เมื่อหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกก่อกบฏหรือเกี่ยวพันกับพวกก่อกบฏมาให้ เอ็ดเวิร์ด ก็จะนำรายชื่อของพวกก่อกบฏอ่านออกยังเครื่องกระจายเสียง ประกาศว่าพวกเขาจะถูกจับตายถ้าหากพวกเขาไม่ยอมมอบตัว

ส่วนบรรดาชาวบ้านที่ต้องสงสัยว่า ให้การสนับสนุนพวกก่อกบฏนั้น เอ็ดเวิร์ด จะส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปยังหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนกลางคืน ขณะที่ชาวบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว หน่วยสอดแนมก็จะทำการวาดรูปดวงตา
ดวงใหญ่บนกำแพงตรงข้ามกับบ้านของผู้ที่ต้องสงสัย ดวงตาดวงนั้นจ้องเขม็งไปยังบ้านของผู้ต้องสงสัยเป็นสัญลักษณ์แทนว่า เรากำลังจับตาดูแกอยู่ มันทำให้ผู้ต้องสงสัยไม่กล้าให้การช่วยเหลือต่อผู้ก่อกบฏเอ็ดเวิร์ดกล่าวว่าพอพวกชาวบ้านตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและเห็นดวงตาอยู่ตรงข้ามบ้านเข้าเท่านั้นก็ไม่กล้าทำอะไร
ที่เป็นการช่วยเหลือผู้ก่อกบฏอีก

(ความเห็นส่วนตัวว่า เปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบันก็คือ เมื่อมีข่าวภาคธุรกิจออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านทางฝ่ายรัฐ ก็จะเริ่มทำการตรวจสอบเรื่องการเสียภาษีของธุรกิจนั้นเป็นการเตือนว่ากำลังถูกจับตาดูอยู่ซึ่งคือการใช้เทคนิคที่ว่านี้)

คำทำนาย

หลังจากที่เอ็ดเวิร์ด ได้รับชัยชนะจากพวกกองโจรที่ต่อต้านรัฐบาลในฟิลิปปินส์ เขาได้ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจลับอีกครั้งในสงครามเวียดนาม โดยใช้ชื่อปฏิบัติการนี้ว่า "ปฏิบัติการกองทัพในไซ่ง่อน" (Saigon Military Mission - SMM)
ปี ค.ศ. 1954 เอ็ดเวิร์ด และสายลับจำนวนหนึ่งได้เริ่มวางแผนการทำสงครามจิตวิทยา ปีต่อมาพวกเขาได้จ้างนักโหราศาสตร์ชาวเวียดนามเหนือจำนวนหนึ่งให้เขียนคำทำนายในอนาคตที่ระบุถึงการล่มสลายของผู้นำเวียดนามเหนือและการผนวกประเทศเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเวียดนามใต้

จากความสำเร็จของ เอ็ดเวิร์ด ในปฏิบัติการที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม (ซึ่งตอนนั้นสงครามเวียดนามยังไม่ยุติ) ส่งผลให้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุติการต่อต้านของนักปฏิวัติ และต่อมาในปี ค.ศ. 1962 เขาก็ได้รับมอบหมายภารกิจลับจาก ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ให้เข้าไปขัดขวางการก่อปฏิวัติในคิวบา

อิงศาสนา

แผนการลับนี้มีรหัสเรียกว่า "ปฏิบัติการมองกูส" (Operation Mongoose)

เอ็ดเวิร์ดมีหน้าที่เข้าขัดขวางไม่ให้ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

ทำการปฏิวัติสำเร็จ ในตอนแรกของสงครามจิตวิทยา เอ็ดเวิร์ด ได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทดสอบและพิสูจน์" (Tried and True) ในปฏิบัติการครั้งนี้


ตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธทดสอบและพิสูจน์ที่เอ็ดเวิร์ดใช้คือ "การกำจัดโดยดวงประทีป" (Elimination by Illumination) เขาได้ปล่อยข่าวว่า ฟิเดล คาสโตร นั้นเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นก็สร้างความเชื่อถือ ต่อข่าวลือให้เกิดขึ้นโดยการ "สร้างภาพ" เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระเยซู ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อกำจัดคนนอกศาสนา ซึ่งวิธีการของเขาก็คือ ยิงฟอสฟอรัสขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน เพื่อเลียนแบบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น

(ความเห็นส่วนตัวว่า กรณีที่มีคนออกมาชูป้ายตามสี่แยกใน กทม. เกี่ยวกับพระเยซู ถามว่าคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? แล้วรู้สึกว่าจะไปสอดคล้องกับช่วงที่มีข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับศาสนาพุทธมากๆ และมุสลิมก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติการจิตวิทยา รวมถึงมีการทุ่มโฆษณาชักชวนทางทีวีและสื่อต่างๆของหนังสือดังเล่มหนึ่งคิดว่าคนที่ออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่เกี่ยว แต่ถามว่าใครอยู่เบื้องหลังล่ะ?)

คัมภีร์ปฏิบัติการจิตวิทยา

กองทัพสหรัฐได้พิมพ์สมุดคู่มือการปฏิบัติการที่พิลึกพิลั่นที่สุดในประวัติศาสตร์การทำสงครามนอกรูปแบบ ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1964 ชื่อยาว 3 กิโลกับ 4 หุนว่า
"เวทมนตร์ พ่อมด อำนาจลึกลับ และปรากฏการณ์ทางจิตเหนือธรรมชาติอื่นๆ และความหมายโดยนัย
ของสิ่งเหล่านั้นจากปฏิบัติการของกองทัพและกองกำลังชาวบ้านในคองโก"
(Witchcraft, Sorcery, Magic, and Other Psychological Phenomena,
and Their Implications on Military and Paramilitary Operations in the Congo)
คู่มือเล่มนี้เป็นตำราสำหรับใช้ศึกษาวิธีการยับยั้งการก่อปฏิวัติของพวกก่อการร้ายที่มีพวกพ่อมดหมอผีคอยหนุนหลัง ซึ่งแต่งโดย เจมส์ อาร์ ไพร์ซ (James R. Price) กับ พอล จูไรดินี (Paul Jureidini) 2 นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Research Office - SORO) แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกา
ในกรุงวอชิงตันดีซี

สถาบันดังกล่าวทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาของมนุษย์กับนโยบายทางการเมืองและการทหารให้กับกองทัพสหรัฐ สถาบันนี้ยังได้ดำเนินโครงการที่น่าอับอายโครงการหนึ่งที่พวกเขาตั้งชื่อมันว่า
"โครงการคาเมล็อท" (Project Camelot)
http://www.cia-on-campus.org/social/camelot.html

หาหนูตะเภา

โครงการนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประเมินผลกระทบทางด้านสังคม ในประเทศด้อยพัฒนาที่ถูกเข้าแทรกแซงความมั่นคงของประเทศทั้งก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพและมีเสถียรภาพ

แต่ข่าวการดำเนินโครงการนี้ได้รั่วไหลออกสู่สาธารณชนโดยเฉพาะในประเทศที่ถูกหมายหัวไว้เป็นตัวถูกทดลอง ก่อให้เกิดการเดินขบวนประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำให้สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ ต้องล้มเลิกโครงการนี้

ในรายงานที่เกี่ยวกับประเทศคองโกนั้นเป็นการศึกษาทดลองหาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาวัฒนธรรม ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของคนในท้องถิ่นมาใช้เป็นอาวุธ พวกนักเล่นไสยศาสตร์ถูกกล่าวว่าเป็นผู้ต่อต้านทหารของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ พวกเขามีความเชื่อว่าพวกเขานั้นอยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า

(ความเห็นส่วนตัวว่า เหตุการณ์  มัสยิดกรือเซะ เราเป็นหนูตะเภาให้ใครหรือเปล่า?)

การที่พวกนักรบหมอผีเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขาหนังเหนียว ทำให้พวกเขาไม่กลัวการที่เข้าปะทะกับกองกำลังของรัฐบาลในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้ามพวกทหารของรัฐบาลเสียเองกลับกลัวการที่จะต้องเข้าเผชิญหน้ากับพวกนักรบเดนตายเหล่านี้

ในเมื่อ "ความเชื่อ" มีอานุภาพมากมายขนาดนั้น จึงทำให้แทนที่กองทัพสหรัฐจะพยายามทำลายความเชื่อผิดๆเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป พวกเขากลับศึกษาและค้นคว้าถึงสิ่งที่คนในท้องถิ่นต่างๆ เชื่อถือ ตำนานพื้นบ้านและเรื่องลึกลับที่เล่าขานสืบต่อกันมากลายเป็นเรื่องที่หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาให้ความสนใจเป็นพิเศษ

เหตุผลนะหรือครับ? ก็เพราะเขาจะได้สร้างเรื่องให้พวกชาวบ้านหลงเชื่อได้ง่าย เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องการชักจูงให้ชาวบ้านทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องการ! แต่อย่างไรก็ตามในตำราชื่อยาว ได้เตือนเอาไว้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้คนเกิดความงมงายในสิ่งผิดๆ

(ความเห็นส่วนตัว เมืองไทยตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจที่เมื่อก่อนเรียกว่า คอมมิวนิสต์ ก็ใช้กลยุทธ์ที่ไม่ต่างจากซีไอเอ เลยอยากตั้งคำถามว่าเรื่องคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยมีจริงหรือไม่? หรือเบื้องหลังคือ มหาอำนาจ ชักใยอยู่
ที่คนไทยฆ่ากันเองเมื่อก่อนก็มีความเป็นไปได้ว่า มหาอำนาจโลกเสรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง)

ในที่สุดแล้วผลของการใช้ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และเรื่องลี้ลับนี้อาจจะแปรเปลี่ยนไปจนกระทั่งไม่สามารถที่จะควบคุมได้ซึ่งมันอาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่หลวงได้ในอนาคต ในตอนท้ายของตำราได้แนะนำว่าการแก้ปัญหาที่ถูกวิธีคือ
การฝึกฝนกำลังทหารให้มีประสิทธิภาพและมีผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งและหนักแน่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถเอาชนะนักรบหมอผีได้อย่างเด็ดขาด

มัจจุราชมาเยือน

หลังจากนั้นไม่กี่ปีในช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียดนาม หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาได้ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะเอาชนะพวกเวียดกง ทั้งกายและใจ พวกเขาได้ใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใบปลิว เครื่องกระจายเสียงและวิทยุในการประโคมข่าว
ข้อความบ่งบอกถึงผลเสียของการต่อต้านกองทัพสหรัฐและรัฐบาลเวียดนามใต้ ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะต้องพบกับจุดจบที่น่าสยดสยอง!

ตัวอย่างเช่น ในใบปลิวแผนหนึ่ง มีภาพศพของทหารเวียดกงกับภาพวาดหัวกะโหลกและเครื่องหมายโพดำ (ดูภาพจากลิงค์วิดิโอนี้ Dark Secrets of the CIA Pt.2)
ซึ่งพวกเขาได้ความคิดนี้มาจากการที่มีทหารสหรัฐคนหนึ่งได้ทิ้งไพ่รูปเอโพดำไว้บนศพของพวกเวียดกงเพื่อสื่อความหมายว่าเป็นลางร้ายแห่งความตาย ใต้ภาพมีข้อความภาษาเวียดนามเขียนว่า "เวียดกง! นี่คือสัญลักษณ์แห่งความตาย"
หรือ "จงดิ้นรนหาทางที่จะต่อต้านรัฐบาลต่อไป แล้วก็จะได้พบกับความตายที่น่าสมเพชเช่นนี้"

ราวต้นทศวรรษที่ 1980 หรือ 10 ปีถัดมาหลังจากที่สหรัฐได้ถอนกำลังออกจากเวียดนาม พวกเขาก็ได้นำปฏิบัติการจิตวิทยามาใช้อีกครั้งในการต่อต้านรัฐบาลซานดินิสต้าในนิคารากัว ที่มีคิวบาหนุนหลังอยู่คราวนี้เขาได้สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่า คอนทราส์ (Contras) ซึ่งหมายถึงผู้ต่อต้านการเป็นนักรบของชาวคริสเตียน เอ็ดการ์ ชาโมร์โร (Edgar Chamorro) ชาวนิคารากัวผู้ซึ่งทำงานเป็นสายลับให้กับ ซีไอเอ และเป็นผู้วางกลยุทธ์ในปฏิบัติการจิตวิทยาครั้งนี้ ได้ตีพิมพ์แผ่นปลิวที่นำเอาสัญลักษณ์ต่างๆของศาสนาคริสต์ มาเป็นตัวชูโรงเช่น "สันตะปะปาอยู่ข้างเรา" ใบปลิวบางใบจะมีรูปสันตะปาปาประกอบพร้อมกับ
ข้อความ "ต้ดสินใจดู! โบสถ์หรือคอมมิวนิสต์ซานดินิสตา" หรือ "พระคริสต์เป็นผู้ปลดปล่อย"

ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการจิตวิทยาที่สหรัฐนำมาใช้ในการทำสงครามกับประเทศต่างๆ เป็นที่ร่ำลือกันมาก ว่าปฏิบัติการมองกูส ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้เซ็นคำสั่งอนุมัตินั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่าน
ถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา

 

 

เล่าให้จบยันปัจจุบันน่าจะยาวเหยียดเลยค่ะ จะทยอยมาเป็นตอนๆนะคะ

เนื่องจากต้องหารูปประกอบให้ดูน่าอ่านนิดนึงค่ะ มีแต่ตัวหนังสือกลัวว่าจะเบื่อกันหมด(การอัพโหลด+หาภาพข้อมูลที่แสนจะยาวนาน55+)

รูปภาพประกอบจาก google และ http://en.wikipedia.org/ ค่ะ (เรียบเรียงรูปประกอบโดยAladin13ค่ะ 555+)

ข้อมูลจาก ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory) โดยคุณ narong

คัดลอกมาจากหนังสือ "ร้ายสาระ" โดย ศิลป์ อิศเรศ ค่ะ

เนื่องจากเป็นหนังสือนานแล้วข้อมูลอาจจะเก่าและอาจจะได้อ่านหรือทราบกันมาบ้างแล้ว

 ..................................................

ปล.คลิปด้านล่างเป็นวิดิโอ Dark Secrets of the CIAค่ะ

(เพลงเพิ่มบรรยากาศลึกลับเฉยๆนะคะ อิอิ) 

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

Credit: narong คัดลอกจาก"ร้ายสาระ" โดย ศิลป์ อิศเรศ
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...