วัตถุบินลึกลับตัวจริง
เดือนพฤศจิกายน 1954 ซีไอเอ ได้เปิดตัวเครื่องบินสอดแนมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องบินลำนี้พัฒนาขึ้นมา
โดยฝ่ายพัฒนาขั้นสูงของ บริษัท ลอคฮีด ในเมืองเบอร์แบง รัฐแคลิฟอร์เนีย
หรือที่รู้จักกันในนามของ สกังเวิร์ค (Skunk works)
สกังเวิร์ค (Skunk works)
ถูกแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงเครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 เจ้าเครื่องบินลำนี้ได้ถูกทดสอบบินเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม 1955 โดยนักบินที่มีชื่อเสียง เคลลีย์ จอห์นสัน (Kelly Johnson)
เคลลีย์ จอห์นสัน (Kelly Johnson)
เครื่องบิน U2 นี้ใพดานบินสูงถึง 60,000 ฟุต ซึ่งในช่วงทศวรรที่ 1950 นั้นเครื่องบินส่วนใหญ่จะมีเพดานบิน
อยู่แค่ 10,000 ฟุต หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 20,000 ฟุต และด้วยเหตุที่เครื่องบิน U2 เป็นอาวุธลับที่ไม่สามารถ
เปิดเผยให้สาธารณชนทราบได้ จึงทำให้มีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับถี่ขึ้นในช่วงนี้
บิดเบือนเพราะจำเป็น
เครื่อง U2 รุ่นแรกๆ นั้นเป็นสีเงิน ทำให้มันสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี เมื่อมองจากที่ต่ำกว่าจะทำให้ดูเหมือนเป็น
วัตถุที่โชติช่วง ดังนั้นเมื่อมีรายงานพบวัตถุบินลึกลับที่ส่องสว่างเป็นประกาย รัฐบาลก็พอจะทราบอยู่ว่าเจ้าสิ่งนั้น
ก็คือเครื่องบิน U2 นั่นเอง แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นความลับ รัฐบาลจึงต้องบิดเบือนว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นปรากฏการณ์
ธรรมชาติ เช่น ผลึกน้ำแข็งบนท้องฟ้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยกระทันหัน
ท้ายที่สุด รัฐบาลก็กลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่นในเรื่องวัตถุลึกลับเสียเอง แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐ
จะประสบความสำเร็จในการปกปิดเรื่องเครื่องบินล่องหน U2 แต่มันก็นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาพยายามแก้ไข
มาหลายสิบปี นั่นก็คือการลดความแตกตื่นของประชาชนในเรื่องยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว
และอย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่าเครื่องบิน U2 ไม่ใช่โครงการลับโครงการเดียวของรัฐบาลสหรัฐ
แต่ยังมีโครงการลับอื่นอีกนับสิบโครงการที่รัฐบาลสหรัฐปฏิเสธว่ามันไม่มีจริง ก็ลองคิดดูแล้วกันว่า
จะมีประชาชนชาวอเมริกันได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับบนท้องฟ้ามากมายและบ่อยขนาดไหน
มีเรื่องราวที่เป็นปริศนามากมายที่รัฐบาลสหรัฐรูดซิบปากเงียบในตอนแรก และมาเปิดเผยความ(ไม่)จริง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี หรือเป็นเพราะว่าพวกเขารอสร้างหลักฐานให้ดูสมจริงสมจังเสียก่อนจึงค่อยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
โครงการลับออโรร่า
จนถึงปัจจุบันนี้ พื้นที่ 51 (Area51) ยังคงความเป็นเขตลึกลับที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
แต่ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนมากพยายามที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลออกมาตีแผ่ต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลสหรัฐ
กำลังปกปิดอะไรไว้เบื้องหลังดินแดนต้องห้าม และหนึ่งในโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐที่ทำการทดลอง
ณ ที่แห่งนี้คือ "โครงการออโรร่า" (AURORA)
ออโรร่าคืออะไร?
ออโรร่า (AURORA) เป็นโครงการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเครื่องบินรบล่องหนของกองทัพอากาศสหรัฐ ชื่อ
"โครงการออโรร่า" เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 เมื่อกองทัพสหรัฐได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงบประมาณ
เพื่อขออนุมัติเงินจำนวน 80 ล้านดอลลาร์มาใช้เริ่มต้นโครงการป้องกันภัยทางอากาศที่ใช้ชื่อว่า ออโรร่า และ
โครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้งบประมาณผูกพันไปถึงปี ค.ศ. 1987 เป็นเงินอีกราวสองพันล้านดอลลาร์
เป็นที่เชื่อกันว่ากองทัพอากาศสหรัฐได้เปลี่ยนชื่อโครงการนี้เป็นชื่ออื่นแล้วหลังจากที่มีข่าวรั่วไหลออกสู่สาธารณชน
หากแต่ว่าไม่มีใครทราบว่าชื่อใหม่ของโครงการนี้คืออะไรแน่ แต่ก็เดาว่าน่าจะชื่อ ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN)
แต่กระนั้นทุกคนก็ยังคงใช้ชื่อ ออโรร่า เรียกขานโครงการลึกลับนี้อยู่
Aurora (ออโรร่า)
จริงอยู่ที่ในช่วงเวลานั้นกองทัพอากาศสหรัฐได้ผลิตเครื่องบินรบล่องหนที่มีความเร็วสูงอย่างเช่น
เอสอาร์ 71 (SR-71 Blackbird)
เอสอาร์ 71 (SR-71 Blackbird)
เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านการทำจารกรรม แต่โครงการนี้ได้ถูกยกเลิกไปในต้นปี ค.ศ. 1990 โดยทางกองทัพ
ให้เหตุผลว่าได้นำดาวเทียมจารกรรมมาทำหน้าที่แทน เอสอาร์ 71 แล้ว ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก
และงบประมาณจากโครงการผลิตเครื่อง เอสอาร์ 71 ได้ถูกถ่ายโอนมายังโครงการออโรร่า ซึ่งก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
ถ้าจะกล่าวว่าโครงการออโรร่า ก็คือการก้าวขั้นต่อไปของโครงการค้นคว้า วิจัยเครื่องบินรบล่องหน เนื่องจากว่า
ชื่อรหัสที่ใช้ในโครงการผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 คือ อ๊อกซ์คาร์ท (A-12 OXCART)
อ๊อกซ์คาร์ท (A-12 OXCART)
อ๊อกซ์คาร์ท นั้นมีความหมายว่า เชื่องช้า ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กองทัพอากาศเลือกใช้ชื่อนี้เพราะมันตรงกันข้ามกับ
สมรรถนะที่แท้จริงของเครื่องบิน เอสอาร์ 71 เพื่อทำให้พวกลูกคุณช่างสงสัยที่ชอบคุ้ย แคะ แกะ เกา เกิดไขว้เขว
เวลาที่สืบหาความเป็นไปของโครงการลับนี้
ในขณะที่โครงการออโรร่า นั้นก็มีชื่อรหัสเรียกว่า ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN) หรือผู้สูงอายุ ซึ่งมีความหมาย
ไม่ต่างไปจากโครงการอ๊อกซ์คาร์ท ดังนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการยกเลิกโครงการผลิตเครื่องบิน เอสอาร์ 71
ก็น่าจะเป็นเพราะพวกเขาก้าวมาอีกขั้นของการผลิตเครื่องบินความเร็วสูงที่เรียกกันว่า ไฮเปอร์โซนิค
อะไรคือ "ไฮเปอร์โซนิค"
ไฮเปอร์โซนิค (Hypersonic)
ไฮเปอร์โซนิค (Hypersonic)
คือ ระดับความเร็วที่เร็วกว่าความเร็วเสียงเกิน 5 เท่า หรือที่ระดับความเร็วเกินกว่ามัค 5 (Mach 5) หรือ
มากกว่า 3,300 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วเสียงนั้นมีความเร็วในการเดินทางเท่ากับ 670 ไมล์ต่อชั่วโมง
ส่วนเครื่องบินเอสอาร์ 71 บินด้วยความเร็วมัค 3.2 หรือประมาณ 2,100 ไมล์ต่อชั่วโมง
ทำไมกองทัพอากาศสหรัฐต้องสร้างเครื่องบินที่มีความเร็วสูงระดับไฮเปอร์โซนิค? เหตุผลก็คือในราวปี ค.ศ. 1980
รัสเซียได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลจากพื้นดินสู่อากาศ (Surface-to-air missile) หรือที่นิยมเรียกว่า แซม (SAM)
มันเป็นขีปนาวุธรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า เอสเอ10 กรัมเบิ้ล (SA-10 Grumble)
เอสเอ10 กรัมเบิ้ล (SA-10 Grumble)
และ เอสเอ12 กลาดิเอเตอร์ (SA-12 Gladiator)
เอสเอ12 กลาดิเอเตอร์ (SA-12 Gladiator)
เจ้าขีปนาวุธทั้ง 2 แบบนี้สามารถยิงเป้าที่บินอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูง 100,000 ฟุตได้อย่างสบายๆ ซึ่งแน่นอนว่า
มันไม่ปลอดภัยต่อเครื่องบินเอสอาร์ 71 ซึ่งมีเพดานบินอยุ่ที่ 85,000 ฟุต นักบินคนหนึ่งกล่าวว่าเจ้าเอสอาร์ 71 นี้
ที่จริงสามารถไต่เพดานบินได้สูงถึง 125,000 ฟุตแต่มันจะ "สั่นสะเทือน" นิดหน่อย ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่พ้นรัศมีการยิง
ของขีปนาวุธรุ่นใหม่ของรัสเซียอยู่ดี
และข้ออ้างที่ว่า กองทัพอากาศสหรัฐได้นำดาวเทียมจารกรรมมาปฏิบัติภารกิจแทนเครื่องบินเอสอาร์ 71
เพื่อลดค่าใช้จ่ายนั้นก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องบินเอสอาร์ 71 นั้น
ตกราว 200-300 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการยิงดาวเทียมจารกรรมนั้นสูงถึง 4,000 ล้านดอลลลาร์!
ในขณะที่การใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ทำการจารกรรมมีความคล่องตัวกว่าการใช้ดาวเทียมเป็นอย่างมาก
เพราะดาวเทียมนั้นลอยคงที่อยู่บนวงโคจรของโลก ซึ่งทุกคนทราบตำแหน่งของมัน เพราะฉนั้นการจะหลบเลี่ยง
การตรวจจับของมันจึงสามารถทำได้ (ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีของทักษินขายดาวเทียมให้สิงคโปร์ก็เป็นการหลีกเลี่ยง
การตรวจจับของสหรัฐจากจีนอีกวิธีหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ของสิงคโปร์(เบื้องหลังคือสหรัฐ)
เพราะตอนยิงดาวเทียมเราไม่รู้หรอกว่าดาวเทียมนั้นเป็นดาวเทียมจารกรรมหรือไม่? แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้จีนก็น่าจะรู้ดี)
ผิดกับการใช้เครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูง บุกเข้าไปในเขตแดนที่ต้องการทำจารกรรมโดยที่ศัตรูไม่ทันได้ตั้งตัว
และไม่ทันได้เก็บซ่อนสิ่งที่พวกเขาต้องการปกปิดอีกทั้งกองทัพอากาศสหรัฐเคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาเชื่อถือการปฏิบัติการ
ที่มีนุษย์เป็นผู้ควบคุมมากกว่าการปฏิบัติการที่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์ เช่น ดาวเทียม
(ความเห็นส่วนตัวว่า ให้สังเกตุจากหนังฮอลลีวู้ดที่แสดงการนำดาวเทียมมาใช้ตรวจจับผู้ก่อการร้ายหรือในภาพยนตร์สายลับ
เหมือนกับให้ความเชื่อถือในดาวเทียมสูงมาก ก็คือการใช้ประโยชน์จากผู้สร้างภาพยนตร์โดยที่คนสร้างอาจไม่รู้ตัว
เป็นเครื่องมือในการใช้ IO เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปให้ความสำคัญกับดาวเทียมจนลืมเรื่องการจารกรรมโดยวิธีอื่นๆ)
และที่สำคัญไปกว่านั้น กองทัพอากาศสหรัฐสามารถสั่งให้เครื่องบินตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ
อีกเหตุผลหนึ่งที่กองทัพอากาศสหรัฐไม่น่าจะใช้ดาวเทียมจารกรรมแทนการปฏิบัติการของเครื่องบินเอสอาร์ 71 ก็คือ
ดาวเทียมจารกรรมนั้นไม่สามารถถ่ายภาพได้ทุกสภาพอากาศ ดาวเทียมจารกรรมส่วนใหญ่นั้นติดตั้งกล้องถ่ายภาพ
ประเภทใช้แสงปรกติ หรืออย่างมากก็เพียงแค่กล้องที่กินแสงน้อยเท่านั้น ต่างกับการใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ที่สามารถ
บรรทุกกล้องถ่ายภาพทุกสภาพอากาศได้
ระเบิดกำแพงเสียง
เช้าตรู่ของวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1992 ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อพวกเขา
ได้ยินเสียง "ระเบิดของกำแพงเสียง" (Sonic boom)
Sonic boom
เจ้าเสียงระเบิดนั้นก็ไม่ธรรมดาเพราะว่ามันดังขนาดเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับได้
สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐจึงได้ทำการตรวจสอบที่มาของเสียงก็พบว่ามันเกิดจากยานพาหนะไม่ปรากฏสัญชาติที่บินด้วยความเร็วระหว่างมัค 3 ถึงมัค 4 และแหล่งที่มาของเสียงนั้นอยู่บริเวณเหนือเมืองลอสแองเจลิสกับทะเลทรายโมจาวี
และมุ่งหน้าตรงไปยัง ฐานทัพอากาศเนลลิส ในรัฐเนวาดา บริเวณทะเลสาบกรูมหรือพื้นที่ 51 นั่นเอง
พื้นที่ 51
ในที่สุดก็มีคนถ่ายภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก" (Donuts-on-a-rope) ไว้ได้
Donuts-on-a-rope
เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1992 ที่บริเวณเหนือ อมาริลโล ในรัฐเท็กซัส เจ้า "โดนัทบนเส้นเชือก" นี้คือภาพที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเป็นกลุ่มควันที่ลากยาวเป็นสายคล้ายเส้นเชือก และมีกลุ่มควันขมวดเป็นวงกลมล้อมรอบเป็นช่วงๆ สาเหตุเกิดจากการบินด้วยเครื่องบินที่มีความเร็วสูงมากๆ
แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพยานรู้เห็นเครื่องบินประหลาดที่เรียกกันว่า ออโรร่า เพราะเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1989
ขณะที่ คริส กิบสัน (Chris Gibson) วิศวกรสำรวจน้ำมันชาวสก็อต กำลังทำงานอยู่บนท่อส่งน้ำมัน เกลฟสตันคีย์ในทะเลเหนือ เขาได้เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นเครื่องบินรูปสามเหลี่ยมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังเติมน้ำมันกลางอากาศโดยเครื่องบิน เคซี 135 และมีเครื่องบิน เอฟ 111 เอส 2 ลำบินคุ้มกันอยู่ข้างๆดูเหมือนว่าเครื่องบินลำนั้นจะเป็นเครื่องบินต้นแบบของเครื่องบินรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่เครื่องบินเอสอาร์ 71ซึ่งมาทำการทดสอบสมรรถนะ การที่ คริส สามารถระบุชื่อเครื่องบินต่างๆ ได้อย่างแม่นยำก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะ คริส เป็นสมาชิกของ องค์กรนักสังเกตการณ์แห่งสหราชอาณาจักร (British Royal Observer Corps)
ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องบอกชื่อเครื่องบินที่เขาเห็นได้อยู่แล้ว แต่เจ้าเครื่องบินอีกลำที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมนั้นเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเครื่องบินรุ่นไหน
ใครสร้างเครื่องบินออโรร่า
ถ้าหากออโรร่า เป็นเครื่องบินที่สร้างขึ้นมาแทนเครื่องบินรุ่นเอสอาร์ 71 จริงมันก็น่าจะสร้างโดยบริษัทล็อกฮีด สกังเวิร์ค(Lockheed's Skunk Works) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 แต่จากการสัมภาษณ์ บี บูเชล (B. Buschel)เจ้าหน้าที่ระดับสูงของล็อคฮีด เขากลับปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เครื่องบินของล้อคฮีด
บูเชล ให้ความเห็นว่าจากลักษณะของมันและดูข้อมูลอื่นๆ ประกอบ ออโรร่า น่าจะเป็นเครื่องบิน บี2 รุ่นใหม่
ที่มีชื่อว่า บี2เอ (B2A) ซึ่งผลิตโดย บริษัท นอร์ทรอพ กรัมแมน (Northrop Grumman) ต่างกันก็ตรงที่เครื่องบินลำนี้สร้างขึ้นสำหรับทำจารกรรมโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงไม่มีการติดตั้งอาวุธบนเครื่อง และเน้นเครื่องยนต์ที่มีความเร็วสูง
ความเร็วสูงที่ว่าก็คือ ความเร็วที่ระดับไฮเปอร์โซนิค หรือที่ระดับมัค 5 ขึ้นไป ซึ่งเมื่อมันบินได้เร็วขนาดนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีล่องหนอีกต่อไป เพราะคงไม่มีขีปนาวุธแบบไหนที่สามารถยิงมันได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่ต้องการให้มีใครรู้ว่ามีเครื่องบินล่วงล้ำน่านฟ้าเข้ามา
ออโรร่าสามารถบินได้ที่ความเร็วระดับมัค 5 ถึง มัค 8 และมีเพดานบินสูงถึง 150,000 ฟุต มันเป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 5 ของโครงการแอสตร้า (ASTRA) ซึ่งย่อมาจาก Advanced Stealth Technology หรือเทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง
Advanced Stealth Technology
เทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง
บูเชลเชื่อว่า โครงการแอสตร้า นั้นเป็นชื่อที่แท้จริงของโครงการ ออโรร่า และออโรร่าก็ไม่ใช่ชื่อเครื่องบิน แต่เป็นชื่อของ
โครงการพัฒนาเครื่องบินล่องหนซึ่งเป็นโครงการลับที่กองทัพอากาศสหรัฐได้เริ่มทำขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 โดยมี
เครื่องเอสอาร์ 71 เป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นแรก และตามด้วยเครื่อง เอฟ 117
F-117
ส่วนเครื่อง บี2 นั้นเป็นรุ่นที่ 3
B-2
สำหรับเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 4 ก็คือเครื่อง เอฟ 22
F-22
และปัจจุบันเครื่องบิน บี2เอ เป็นเครื่องบินล่องหนที่กำลังทดสอบอยู่
ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าเครื่องเอสอาร์ 71 นั้นถูกแขวนปีกไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1990 ส่วนเครื่อง เอฟ 117 นั้นเป็นเครื่องบินขับไล่(ทิ้งระเบิด)ล่องหน (Stealth Fighter) แบบที่นั่งเดียว ได้รับการอนุมัติให้สร้างในปี ค.ศ. 1978และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1982 โดยล็อกฮีด ใช้งบประมาณในการสร้างราว 45 ล้านดอลลาร์
เครื่อง บี2 นั้นเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน (stealth bomber) ที่สงสัยกันว่ามีการติดตั้งเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงของโลกจึงทำให้มันมีราคาสูงกว่าสองพันล้านดอลลาร์ต่อลำ ส่วนเครื่อง เอฟ 22 นั้นสร้างโดยล็อกฮีด เป็นเครื่องบินขับไล่
ติดอาวุธหนักที่ทำความเร็วได้ราวมัค 1.8
แม้ว่าทุกคนจะเชื่อว่าโครงการออโรร่านั้นมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันเป็นชื่อเครื่องบินล่องหนรุ่นใหม่หรือเป็นชื่อโครงการวิจัยพัฒนาเครื่องบินล่องหนทั้งโครงการ แต่ที่แน่ๆ ก็มีหลักฐานพอที่จะเชื่อได้ว่ากองทัพอากาศสหรัฐกำลังพัฒนาเครื่องบินล่องหนที่มีความเร็วระดับมัค 6 ปัญหาที่เป็นที่สงสัยก็คือพวกเขาใช้เครื่องยนต์แบบไหนในการขับเคลื่อน
เครื่องยนต์จุดระเบิดเป็นจังหวะ
จากการที่เครื่องบินที่บินเร็วระดับไฮเปอร์โซนิค ได้ทิ้งร่องรอยการบินเป็นทางยาวบนท้องฟ้าที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก" ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่ามันน่าจะใช้เครื่องยนต์ชนิดจุดระเบิดเป็นจังหวะ (Pulse Detonation Wave Engine) หรือเรียกสั้นๆว่า พีดีวี (PDWE) ซึ่งถ้าจะว่ากันตามทฤษฏีแล้ว เครื่องยนต์ชนิดนี้สามารถทำความเร็วได้สูงถึงมัค 10 ทีเดียว
พีดีวี ใช้มีเธนเหลว (Liquid Methane) หรือไม่ก็ไฮโดรเจนเหลว (Liquid Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิงซึ่งมันถูกจุดระเบิดในห้องเครื่องที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ และเมื่อเครื่องบิน บินด้วยความเร็วที่เหนือเสียงส่วนหัวของเครื่องบินจะดันอณูของอากาศออกไปด้านข้างรอบๆ ส่วนหัวของเครื่องบินทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า "ระเบิดของกำแพงเสียง"
ทันทีที่เครื่องยนต์ พีดีวี ทำงาน เครื่องบินก็จะดันดำแพงเสียงไปข้างหน้า และการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวีเป็นระยะๆ นี้เองที่ทำให้เกิดหางลากเป็นทางยาว เมื่อมองจากพื้นดินก็จะดูเหมือน "โดนัทบนเส้นเชือก" แต่ดูเหมือนว่าเราจะมีข้อมูลเรื่องการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี ค่อนข้างที่จะน้อย ผู้ที่อ้างว่าได้เห็นเครื่องบินรูปร่างประหลาด
มักจะระบุตรงกันว่า เสียงเครื่องยนต์ของมันก็ดังไม่เหมือนใครเช่นกัน เพราะมันมีเสียงที่ต่ำมาก
ออโรร่ามีปัญหา
จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถบันทึกภาพเครื่องบินปริศนา ออโรร่า แบบเจ๋งๆ ได้สักคน ภาพเครื่องบินออโรร่าที่เราได้เห็นกันก็มีแต่ภาพวาดตามจินตนาการของศิลปิน กับภาพถ่ายขาวดำที่มองไม่เห็นรายละเอียดของมันยิ่งมีข่าวลือว่าโครงการออโรร่าต้องพบกับอุปสรรคบางอย่างจนทำให้ต้องระงับโครงการชั่วคราว ยิ่งทำให้การที่จะได้เห็นการปรากฏตัวของมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ข่าวลือที่ว่านั้นฟังดูมีนำหนักเนื่องจากว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1996 รัฐบาลสหรัฐได้อนุมัติงบประมาณขั้นต้นจำนวน 30 ล้านดอลลาร์ เพื่อปลุกผีเครื่องบินล่องหนเอสอาร์ 71 ขึ้นมาใหม่แต่อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการออโรร่าถูกระงับไปนั้นคงต้องรอให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ไม่สุขไปคุ้ยกันมาก่อน
เล่าให้จบยันปัจจุบันน่าจะยาวเหยียดเลยค่ะ จะทยอยมาเป็นตอนๆนะคะ
เนื่องจากต้องหารูปประกอบให้ดูน่าอ่านนิดนึงค่ะ มีแต่ตัวหนังสือกลัวว่าจะเบื่อกันหมด(การอัพโหลด+หาภาพข้อมูลที่แสนจะยาวนาน55+)
รูปภาพประกอบจาก google และ http://en.wikipedia.org/wiki/CIA ค่ะ (เรียบเรียงรูปประกอบโดยAladin13ค่ะ 555+)
ข้อมูลจาก ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory) โดยคุณ narong
คัดลอกมาจากหนังสือ "ร้ายสาระ" โดย ศิลป์ อิศเรศ ค่ะ
เนื่องจากเป็นหนังสือนานแล้วข้อมูลอาจจะเก่าและอาจจะได้อ่านหรือทราบกันมาบ้างแล้ว
................................................................
ปล.คลิปด้านล่างคือรายละเอียดที่ คริส กิบสัน (Chris Gibson) เจอออโรร่านะคะ
(เพลงเพิ่มบรรยากาศลึกลับเฉยๆนะคะ อิอิ)
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~