หลังจากที่ได้นำ review ของร้านต้นน้ำ มาลง จากที่ได้มีการตรวจสอบ รู้สึกว่าคนจะ search จาก google เข้ามาเยอะพอสมควร และ review นี้ ได้จาก forward mail มาคับ ขออนุญาติ เจ้าของบทความด้วยแล้วกันนะคับ… ร้านนี้ ก็น่าจะพอๆ กันกับร้านต้นน้ำ ร้านนี้มีชื่อว่า ร้านอาหารกุ้งเผาทองชุบ มาเริ่ม review กันเลยดีกว่า ขอเอารายละเอียดการ review ของเจ้าของเรื่องทั้งหมดเลยแล้วกันนะคับ.. ร้านนี้ 2 ตัว เกือบ 1 โล.. นะคับ ^^

กุ้งเผาทองชุบ @ สิงห์บุรี #2 <<< Update เพิ่มเติมคับ ..
กุ้งเผาทองชุบ @ สิงห์บุรี #3 <<< Update เพิ่มเติมคับ ..

เริ่มกันเลยยย review by : Calamity

กุ้งทองชุบ จังหวัด สิงห์บุรี หาง่ายนิดเดียว ขับรถจากกรุงเทพก็มุ่งหน้าไปทางนครสวรรค์ ผ่านจังหวัดอยุธยา พอเข้าเขตจังหวัด สิงห์บุรีแล้ว ก็เตรียมมองหาป้ายร้านทางซ้ายมือได้เลยครับ ขับเข้าซอยไปอีกหน่อย ก็ถึงแล้ว

ระหว่างเดินเข้าไปหาที่นั่งก็ต้องชะงักอยู่กับกุ้งแม่น้ำกองใหญ่นี่ อืมม จะสั่งซักกี่กิโลดีนะ??
ไปกัน 2 คน ดังนั้นก็ คนละ 1 กิโล เป็นไง ดังนั้น เลยสั่งกุ้งเผา มา 2 โล !!

ขับรถมาเหนื่อยๆ ต้องนี่เลยครับ เบียร์ไทย…ของเรา

ที่นี่เขาจะมีน้ำจิ้มให้เลือกหลายแบบครับ น้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำจิ้มกุ้งเผา เขาทำได้รสดีใช้ได้ทีเดียว มีพริกสวนเป็นเม็ดๆลอยมาให้ เผื่อใครต้องการความเผ็ดแซ่บมากขึ้น เคี้ยวไปด้วยซักหนึ่งเม็ด สะใจดีครับ

นอกจากกุ้งเผา 2 กิโลที่สั่งไปแล้ว ก็ยังสั่งเมนูอื่นๆมาอีก 3 รายการครับ แหะๆ
หนึ่งในนั้นคือ ปลาคังลวกจิ้ม เป็นเมนูที่ผมมักจะสั่งทุกครั้งที่ไปกินร้านอาหาร แบบแม่น้ำไทย ที่ผมเรียกว่าอาหารแม่น้ำไทยก็เพราะว่า มันเป็นอาหารที่มาจากความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำของประเทศไทยเรานี่เองครับ
แต่…ปัจจุบัน ปลาคังแท้ๆ เนื้อขาวๆแน่นๆ หนังหนึบๆนั้น หากินยากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นปลาคังเลี้ยงกันซะหมดแล้ว และร้านนี้ผมขอเดาว่าเป็นปลาเลี้ยงเช่นกันครับ ความสดนั้นพอใช้ น้ำจิ้มก็ใช้ได้ แต่เนื้อไม่แน่นเท่าที่ควร ถ้าอยากจะกินแบบปลาคังแม่น้ำจริงๆ อาจจะต้องขับไปแถวชัยภูมิ หรือจะเป็นร้านเจ้ดำ นครนายก คลอง 11 ก็ได้

แต่กินไปกินมา มันก็อร่อยดีนะ เพียงแต่ว่า มันยังไม่ใช่ปลาคังที่ดีที่สุดเท่านั้นแหล่ะครับ ที่ชอบเพราะว่าปลาคังมันไม่ค่อยมีก้าง หรือว่ามีแต่เป็นชิ้นใหญ่ๆ หลบก้างไม่ยาก

เอาไว้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดีเหมือนกันล่ะ ถึงจะไม่ได้อร่อยแบบ กรี๊ดกร๊าด ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเรามีกุ้งเผาทีเด็ดรออยู่ !!

จะกินปลาคัง ต้องกินตรงเนื้อติดหนังครับ แกล้มด้วยใบคื่นช่าย โรยด้วยกระเทียมเจียว เหยาะน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวลงไปตามชอบ แล้วก็เคี้ยวเข้าไปพร้อมๆกัน ให้เครื่องทั้งหลายเกิดการแลกเปลี่ยนรสชาติกันในปาก ทั้งรสสัมผัสของปลาคังที่มีความแน่นๆหยุ่นๆ และหนังที่หนึบๆ (ถ้าเป็นปลาคังแม่น้ำจริงๆจะแจ๋วกว่านี้) ผสมผสานกับรสเค็มและเผ็ดนิดๆของน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว และคื่นช่ายที่ช่วยดึงรสชาติของปลาออกมา กินแล้วเพลินดีครับ

และก็เมนูแกล้มเบียร์ ระหว่างรอกุ้งเผา “เชิงปลากรายทอดกระเทียม” เมนูทีขาดไม่ได้เช่นกันเวลาไปร้านอาหารจำพวกนี้
ที่นี่ทำออกมาเค็มนิดๆ คนที่ไม่ชอบกินเค็มอาจจะไม่ชอบ แต่ผมชอบ เพราะเป็นเชิงปลากรายที่มีมันค่อนข้างมาก รสเค็มนิดๆ กินกับข้าว หรือกับเบียร์ก็แจ๋ว หรือถ้ากินเปล่าๆก็รู้สึกจะกินแล้วหยุดไม่ได้ครับ (แต่ถ้ากรอบกว่านี้อีกนิดจะอร่อยขั้นเทพเลยล่ะ)

เชิงปลากรายนี่ กินเปล่าๆไม่ต้องจิ้มน่าจะอร่อยที่สุดนะครับ เพราะว่าเชิงปลากรายจะมีความหอมและมันในตัวของมันเอง

และก็ ต้มยำปลาคัง ทีแรกว่าจะสั่งต้มยำปลามาครับ แต่เขาบอกว่าปลาม้า วันนี้ไม่มี ก็เลยเอาเป็นปลาคังแทน
รสชาติดีครับ ไม่ค่อยเผ็ดเท่าไหร่ แต่ก็มีความจี๊ดจ๊าดพอตัว ซดคล่องคอดี เป็นการล้างปากล้างคอ ก่อนจะไปกินเมนูหลักของเราวันนี้ นั่นก็คือ กุ้งเผานั่นเอง

มีปลาคังถึง 2 เมนูด้วยกันครับวันนี้ ……..ที่จริงแค่ 3 อย่างนี่ ก็น่าจะพอทำให้อิ่มได้แล้วเนอะ เพราะกินกันแค่ 2 คนเอง แต่ว่า ไม่ได้หรอก มาทองชุบ ถ้าไม่กินกุ้งเผา ก็อาจเปรียบได้ว่า
บินไปถึง Maine แต่ไม่กิน Lobster ไปถึง Tsukiji แต่ไม่กินปลาดิบ ประมาณนั้นเลย

และแล้วพระเอกของงานก็มา กุ้งเผา 2 กิโลกรัม !!!!
คนละกิโลไปเลยจ๊ะ !!

ขนาดนั้นไม่ต้องพูดถึง ที่ทองชุบนี่มีชื่ออยู่แล้วว่า กุ้งของเขา ตัวใหญ่ ไม่เป็นรองใคร !
ตัวใหญ่ขนาดขวดเป๊บซี่เลย เผลออาจจะใหญ่กว่าซะด้วยซ้ำไปครับ

วิธีกินของผม มี 2 แบบ คือ
แบบที่ 1
ก็คือ หักหัวกุ้งออกจากตัวกุ้ง แล้วเอามันในหัวกุ้งทั้งหมดราดลงบนข้าวที่ตักรอไว้ในจาน และใช้ช้อนเข้าไปทลวงหัวกุ้งขูดมันออกมาให้หมดด้วย ส่วนเนื้อกุ้งก็นำไปแยกแกะต่างหาก เพื่อไม่ให้เศษสีดำๆตกลงไปในจานข้าว

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่า กุ้งเผาทองชุบ เป็นรอง เจ๊ดำ คลอง 10 อยู่นิดหน่อยเพราะว่า ฝีมือและการเผากุ้งของทองชุบนั้น ทำได้ไม่ค่อยมาตรฐาน บางทีกุ้งเผาจนสุกเกินไป ซึ่งทำให้เนื้อกระด้าง ด้วยความที่กุ้งตัวใหญ่ ยิ่งสุก เนื้อก็จะยิ่งแข็ง กินไม่อร่อย
ใน 2 โลนี่ มีอยู่ 6 ตัว จะมีซัก 2 ตัวที่เผาสุกเกินไป แต่ 4 ตัวที่เหลือนั้นก็โอเคอยู่ สุกในขั้น medium ซัก 2 ตัว medium rare ซัก 2 ตัว ต้องอาศัยสัมผัสหน่อย เวลาเลือกกุ้งที่เผาแล้วในจาน ถ้าเนื้อหยุ่นๆ นุ่มๆหน่อย ก็จะเป็นแบบ medium rare ซึ่งเป็นความสุกที่ผมว่าพอดิบพอดีที่สุดสำหรับกุ้งเผาครับ คือเนื้อบางส่วนยังใสๆอยู่ จะมีความหวาน ยิ่งเคี้ยวมากเท่าไหร่ ความหวานจะยิ่งถูกปลดปล่อยออกมาครับ

อูยยยย อยากกินอีกก

แกะเนื้อเสร็จก็เอามาหั่นกินกับข้าวคลุกมันกุ้ง แล้วราดน้ำจิ้มแซ่บๆ เข้าปาก นี่ล่ะสุดยอด !!

วิธีกินกุ้งเผาแบบที่ 2
คล้ายๆกับแบบที่ 1 แต่จะเปลี่ยนจากการราดมันกุ้งบนข้าวมาเป็นการให้กุ้งมาว่ายในทะเลแห่งมันกุ้งแทนครับ
วิธีนี้มีข้อดีก็คือ เราสามารถกำหนดจำนวนมันกุ้งที่เราต้องการจะนำไปคลุกข้าว เพื่อรสชาติและความมันที่พอเหมาะ เช่นคำนี้ เน้นเนื้อกุ้งมันกุ้งนิดหน่อย หรือคำนี้มันกุ้งเยอะหน่อย เนื้อนิดเดียว ประมาณนี้หรือยิ่งไปกว่านั้น เราสามารถเอามันกุ้งของคนอื่นมาใส่รวมกับของเรา ทำให้ทะเลแห่งมันกุ้งนั่นลึกขึ้น

เมื่อกุ้งได้ว่ายน้ำทะเลแห่งมันกุ้งจนพอใจแล้ว ก็นำข้าวลงไปโปะตามใจชอบ

จงกินเข้าไปอย่ากลัวอ้วน !!

มันกุ้งนี่ สุดยอดมาก เหยาะน้ำจิ้มแซ่บหน่อยนี่ ใช่เลยจริงๆ

ตัวนี้เผาได้ดีทีเดียว เนื้อยังคงความใสอยู่ มีความกรุบกรอบ ผสานลงตัวกับความแน่นของเนื้อ
โอย สวรรค์ !

ใครอยากจะกินคำนี้บ้างเอ่ย ??
คำละ 200 kcal 5555 ไม่น่าจะถึงน่า กินๆไปเหอะเนอะ

จากคุณภาพวัตถุดิบ ร้านทองชุบสามารถทำได้ดีกว่านี้มาก ถ้ากุ้งตัวใหญ่ทุกตัวนั้น เผาได้ดีกรีความสุกที่พอดี ไม่สุกจนเกินไป เพราะอย่างที่บอกครับ กุ้งยิ่งตัวใหญ่เนื้อจะยิ่งแน่น มันจะเหนียวและแห้ง หากถูกเผาจนสุกเกินไป จะกินอร่อยสู้เผาแบบ medium หรือ medium rare ไม่ได้เลยจริงๆ แต่สำหรับความสะใจ และมันกุ้งแสนอร่อย ร้านนี้ก็ยังคงเป็นร้านอันดับต้นๆ เมื่อคิดถึงกุ้งเผาครับ
ส่วนเรื่องราคานั้น น่าจะเหมาะสำหรับมากินแบบ นานๆครั้งครับ
- กุ้ง 2 โล 900×2 = 1800
- เชิงปลากราย = 150
- ปลาคังต้มยำ = 200
- ปลาคังลวก = 200
- น้ำแข็ง 2ถัง = 20
- เบียร์ 1 ขวด = 70
- ข้าว 2 จาน = 30
- โค้ก 2 ขวด = 24
- โซดา 1 ขวด = 10

2 คนกินกันแบบบ้าคลั่ง รวมเป็นเงิน 2,504 บาท ครับ ไม่ถูกเลย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับที่จ่ายไปครับ