บางทฤษฎีกล่าวเอาไว้ว่า เจ้าลูกหินยักษ์เหล่านั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่กำลังถูกขนย้ายเพื่อนำเอาไปประดับไว้ยังสถานที่ใดสักแห่งหนึ่ง โดยอาจจะเป็นเทวสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าที่สร้างมันขึ้นมาก็เป็นได้ แต่อาจมีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งมันเอาไว้กลางคัน เพราะเนื่องจากว่าบริเวณที่ค้นพบบรรดาเหล่าลูกหินนี้นั้น ไม่มีร่องรอยของเทวสถานหรือสถานที่สำคัญที่จะจำเป็นต้องมีเครื่องประดับอยู่เลย จะมีก็เพียงร่องรอยเศษซากอารยธรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อบอกให้รู้ว่าครั้งหนึ่งนั้น เคยมีชนเผ่าทรงปัญญาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น และก็อาจจะมีเหตุผลบางประการที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นทิ้งวัตถุเหล่านี้เอาไว้ และอพยพไป เฉกเช่นชาวมายาที่อพยพทิ้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยไป ทิ้งให้เหลือแต่ซากวัตถุแห่งความเจริญทางด้านความรู้อยู่ก็เป็นได้ครับ แต่บางทฤษฎีก็ว่าพวกลูกหินเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งดิน เพื่อให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์ ก็ว่ากันไปครับ
บางลูกนี่ใหญ่กว่าคนอีกครับ
ลูกหินที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
ถึงแม้จะมีการค้นพบผ่านมาแล้วหลายสิบทศวรรษด้วยกัน ผ่านการตรวจสอบจากนักวิชาการทั้งท้องถิ่นและต่างประเทศมาก็ไม่น้อย แต่เจ้าลูกหินยักษ์เหล่านี้เพิ่งจะมาโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ก็เมื่อครั้งที่ถูกนำไปเขียนกล่าวถึงในหนังสือสะท้านโลกเล่มหนึ่ง ที่พลิกมุมมองบรรดาเรื่องศาสนาแหละอารยธรรมยุคเก่าแก่ต่างๆ ให้มีเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือก็คือเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศอันโด่งดังนั่นเองครับ หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “Chariots of The Gods” ของ อีริค วอน ดานิเก้น (Erik Von Daniken) ที่ออกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1968 นั่นเองครับ ฮิตซะจนมีการนำไปตีพิมพ์เกือบยี่สิบภาษา ขายกันได้หลายล้านเล่มทั่วโลก ปัจจุบันก็ยังคงมีการตีพิมพ์ขายอยู่ครับ นอกจาก ดานิเก้นแล้ว ก็มีผู้แต่งอีกหลายท่านที่ให้ความสนใจและนำไปกล่าวถึงจากหนังสือของตัวเอง อีกหลายเล่มหลายผู้แต่งด้วยกันครับ สำหรับเรื่องราวของเจ้าลูกหินยักษ์เหล่านี้ แม้กระทั่งในปัจจุบัน ก็ยังคงมีกลุ่มนักวิจัย นักวิชาการที่ยังให้ความสนใจ และทำการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อคลายปริศนาและรู้ถึงความเป็นมาของเหล่าลูกหินยักษ์นี้อย่างไม่ลดละ เพื่อตอบคำถามที่ว่า ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา และสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไรนั่นเองครับ