ที่มา : ขอขอบคุณ
กะเทาะสังคมไทย...ผ่านมุมมอง วิกรม กรมดิษฐ์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก BE Magazine
เอ่ย ชื่อผู้ชายคนนี้ "วิกรม กรมดิษฐ์" หลายคนคงรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาดี แม้ว่าเขาจะถูกจัดอันดับจากนิตยสารต่างประเทศ ให้ติดอันดับเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองไทย แต่หากมองข้ามเรื่องเงินทองและฐานะไป ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มีมุมมองและแนวคิดที่น่าสนใจ ชวนให้รับฟังไม่น้อย
เมื่อ ไม่นานมานี้ "วิกรม กรมดิษฐ์" ได้ออกเดินทางกับคาราวานท่องประเทศลุ่มน้ำโขง ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 75 วัน เพื่อไปสัมผัสสังคมในอีกมุมมองหนึ่ง บนเส้นทางกว่าสองหมื่นกิโลเมตร "วิกรม" ได้รับรู้และสัมผัสชีวิตของผู้คนในเชิงลึกมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
"ปกติ เวลาเราบินขึ้นจากสนามบินมันก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว จะกี่หมื่นกิโล เราเดินทางแล้วมันก็จะเป็นแค่ก้อนเมฆกับสนามบิน แต่ไอ้อันนี้มันละเอียด เพราะทุก ๆ หนึ่งกิโล เราจะได้เห็นได้สัมผัสกับสองข้างทางที่เราไป ฉะนั้น ในหนึ่งพันกิโลมาเปรียบเทียบกับหนึ่งหมื่นกิโลของการเดินทางเครื่องบินแล้ว เทียบกันไม่ติดเลย" คุณวิกรม บอก
การเดินทางที่ได้สัมผัสวิถีชีวิต เชิงลึกของผู้คน ทำให้ชายผู้นี้ได้รับรู้ว่า ทุกชีวิตต้องมีการขยับเพื่อความอยู่รอด และโลกที่หมุนในทุกวินาทีก็จะมีผู้คนอีกกว่า 7 พันล้านคนขยับตามไปพร้อม ๆ กัน สะท้อนให้เห็นว่า โลกใบนี้ช่างละเอียดนัก แถมยังกว้างใหญ่มากกว่าที่เรามีความรู้สึกในแต่ละวัน ขณะที่คนไทยเองยังล้าหลัง เพราะเราเห็นกันอยู่แค่นี้
"ทุกชีวิตมันมี การเคลื่อนไหว มีการดิ้นรน มีการแข่งขัน ทุกชีวิตในโลกนี้ทำให้เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเรามัวแต่มานั่งแล้วนึกอยู่ว่าโลกมันเล็กแค่นี้ แล้วเราก็ขี้เกียจ มันก็เท่ากับว่าคนอื่นเขาไปกันหมดแล้วนะ เราก็ล้าหลัง ซึ่งสิ่งพวกนี้กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย สังคมไทยนึกอย่างที่เราคิด เป็นอย่างที่เราเคยเป็น คือเราก็คิดว่า ประเทศอื่นมันก็มองไม่เห็น อาจจะมองเห็น CNN อะไรก็แล้วแต่ มันไม่ลึก มันไม่ละเอียด มันทำให้เราไม่กระตือรือร้น"
นอกจากความคิดข้างต้นแล้ว คุณวิกรม ยังเห็นว่า 75 วันบนเส้นทางที่เขาเดินทางไปนั้น ทำให้เห็นว่าภูมิภาคนี้มีการขยับตัว มีการเปลี่ยนแปลงกันแล้ว แต่ประเทศไทย กำลังปล่อยให้มันผ่านไป ไม่แข่งขันกับคนอื่น อย่างเช่นประเทศจีน ที่เมื่อยี่สิบปีก่อนเคยเป็นประเทศยากจนกว่าไทย แต่ 5 ปีที่ผ่านมานี้ จีนรวยกว่า และกำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำของโลก เพราะเขาต้องการวิ่งให้เร็วกว่าเข็มนาฬิกา ส่วนประเทศไทยอาจสบายเกินไป
เมื่อ ถามว่า อะไรที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้เท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน คุณวิกรม มองว่า เป็นเพราะ "ความคิด" ของคนไทย และถือเป็นปัญหาในสังคมไทยที่น่าห่วงที่สุด โดยปกติคนไทยคิดอยู่ 3 เรื่อง คือ "เห็นแก่ตัว" นำมาซึ่งความขัดแย้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก และการคอร์รัปชั่น หลายคนไปอวดร่ำอวดรวย ไปกดขี่ข่มเหงเขา และมีหลายคนพยายามจะเข้าไปทำงานราชการเพื่อกดขี่ชาวบ้าน อย่างที่สองก็คือ "มุมมองที่แคบเกินไป" ทำให้คนไทยคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ลำบาก และยาก ซึ่งเป็นทัศนคติในแง่ลบ และอย่างสุดท้าย คือ "อิจฉาตาร้อน" เมื่อเห็นใครทำดีได้ดี
"ทั้งสามตัวนี้เป็นตัวฉุดให้ประเทศต่ำ ล่าช้า ขัดแย้ง แบ่งแยก แล้วคนดีก็ไม่กล้าออกมาทำอะไร พอออกมาทำอะไรก็จะมีคนติ คนว่า จริง ๆ ในสังคมไทยมีคนดี ๆ เยอะ เขาก็ไม่อยากเปลืองตัว ทำให้คนเลว ๆ ครองเมืองเยอะ" คุณวิกรม แสดงความคิดเห็น และยังบอกอีกด้วยว่า ปัญหาหนึ่งของสังคมไทยคือไม่มองล่วงหน้า มักจะทำอะไรวันต่อวัน และเชื่อเรื่องดวง
แล้วหนทางใดที่จะทำให้สังคมไทยก้าวสู่การประสบ ความสำเร็จได้ล่ะ? สำหรับคำถามข้อนี้ คุณวิกรม ยอมรับว่า เป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะก้าวสู่ประเทศมหาอำนาจ เพราะก่อนอื่น สังคมไทยต้องมีความร่ำรวย ความเข้มแข็งเสียก่อน แต่เวลานี้ สังคมไทยกำลังอ่อนปวกเปียก
"คำว่าสังคมไทยนี้ถ้าจะพูดในหนังสือนี้ คือ สังคมเมือง แต่ที่จริงสังคมไทยหมายถึงสังคมไทยทั้งประเทศ ประเทศไทยวันนี้เรามีคนจนกว่าค่อนประเทศ ประมาณ 38 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรยี่สิบกว่าล้านคนแค่เก้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของมวลรวม แสดงว่า ประเทศไทยจนมาก และรายได้เขาต่ำมาก คนไทยส่วนใหญ่คนเชื่อเรื่องดวง โดยเฉพาะในภาคสังคมเกษตร และสังคมในเมืองก็ยังเห็นแก่ตัว และคิดแคบ แต่ถ้าในเมืองมองกว้าง ๆ มันก็จะดี แต่ถ้ายังคิดแบบนี้อยู่ต่อไปก็ยังไม่เจริญ อีกกี่ชาติเราถึงจะเป็นมหาอำนาจได้" คุณวิกรม ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย
สำหรับ CEO หมื่นล้านผู้รักการเดินทางคนนี้ เขามองว่า การเดินทางคือการไม่ยึดติดอยู่กับที่ เป็นการไปเจอกับความจริง และยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะการเดินทางทำให้เราได้ดูดซึมแล้วนำสิ่งที่พบเห็นมาถ่ายทอดบอกต่อ เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีขึ้น ซึ่งเขาก็ได้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ลงในหนังสือหลาย ๆ เล่มด้วยปลายปากกา และความคิดที่กลั่นกรองออกมาจากตัวเขาเอง
"สิ่งที่ผมเก็บมาเขียนต้อง มีเหตุผล ไม่งมงาย ทุกอย่างที่เขียนต้องเป็นกลาง และต้องเลือกแบ่งจัดอย่างมีเหตุผลอย่างถูกต้อง และเป็นสิ่งที่หนังสือผมที่ทำทุกเล่มจะยืนอยู่บนคำว่าเหตุผล และความถูกต้องเสมอ ความเป็นประโยชน์ต่อคนที่นำไปใช้ และเพราะผมคิดว่าพวกเขาคือลูกหลานของผม เขาคืออนาคตของผม"
สุดท้าย นี้ คุณวิกรม ยังบอกด้วยว่า ความฝันของเขาคือการทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ เดินทางไปในที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก เขียนงานบ้างอะไรบ้าง เพราะอายุย่าง 59 ปีแล้ว ไม่ใช่น้อย ๆ และสิ่งที่จะต้องทำคือความรับผิดชอบ ว่าควรจะทำอะไรให้กับสังคมนี้บ้าง เพราะปัจจุบันนี้สังคมกำลังป่วย และกำลังอยู่ในขั้นวิกฤตของความคิด ของความสามัคคี และของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้กำลังทำให้ประเทศไทยล้าหลังลงไปเรื่อย ๆ
"ชีวิต คือธรรมชาติ ธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลง เราเป็นผู้กำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ดวง ไม่ใช่พระเจ้า แต่เราเป็นผู้กำหนด..." คุณวิกรม ทิ้งท้ายแง่คิดไว้อย่างน่าสนใจ ด้วยความหวังว่า สักวันหนึ่งคนไทยจะขจัดความเห็นแก่ตัว ความแตกแยก และร่วมมือร่วมใจกันนำพาประเทศไทยมุ่งสู่ความเจริญไปพร้อม ๆ กัน