การข่มขืน การทำรุณกรรมเด็ก และการทอดทิ้ง
เป็นเนื้อหาหลักของข่าวพาดหัวและภาพยนตร์สารคดีในยุคปัจจุบัน
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ความจริงอันโหดร้ายนี้ก็เป็นแก่นเรื่องของนิทานอมตะ
ที่ประทับใจเราหลายต่อหลายเรื่อง เมื่อแรกที่นิทานเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น เค้าโครงเรื่องเดิม "เจ้าหญิงนิทรา" นั้น
มิได้จบลงด้วยความสุขเมื่อเจ้าหญิงตื่นขึ้นด้วยจุมพิตอันแสนโรแมนติก ตรงกันข้าม
เธอถูกข่มขืนในขณะหลับใหลจนตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกฝาแฝดชายหญิง
ซึ่งต้องผจญทุรกรรมเช่นเดียวกับแม่ ถูกจับไปแล่เนื้อปรุงเป็นอาหาร
โดยภรรยาใจร้ายของชายที่ข่มขืนแม่ของพวกตน
ส่วนเรื่องเดิม "หนูน้อยหมวกแดง" นั้นโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน
หลังจากเจ้าหมาป่ากัดกินคุณยายแล้วก็กระโจนเข้าขย้ำหนูน้อยหมวกแดง
ฉีกเธอออกเป็นชิ้น ๆ แต่เนื่องจากศิลปินผู้วาดภาพประกอบเห็นว่า
ความตายของสองยายหลานคู่นี้โหดร้ายมากเกินไป จึงเสนอให้ดัดแปลงเนื้อเรื่อง
โดยเพิ่มตัวละครนายพรานเข้ามาเพื่อฆ่าเจ้าหมาป่าใหญ่ใจร้าย
และช่วยชีวิตหนูน้อยผู้น่าสงสารไว้ได้ในนาทีสุดท้าย
ทำไมผู้แต่งนิทานซึ่งเป็นที่นิยมเล่าสืบต่อกันมานับร้อย ๆ ปี
จึงเสนอความไร้ศีลธรรม ความโหดร้ายรุนแรงในเรื่องที่แต่งขึ้นสำหรับเด็ก
คำตอบหนึ่งพยายามอรรถาธิบายโดยอิงสภาพสังคมในสมัย
พระราชินีอลิซาเบทที่ 1(ค.ศ. 1558-1630) เรื่อยมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 19
โดยชี้ว่าคนในยุคสมัยดังกล่าวมองว่า เด็กก็คือผู้ใหญ่ย่อส่วน
ดังนั้นจึงไม่ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นพิเศษแตกต่างไปจากผู้ใหญ่
ครอบครัวในครั้งกระโน้นอยู่เบียดเสียดรวมกันในบ้านซึ่งมีเพียงห้องเดียว
เด็กจึงนอนดึกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ พวกเขาได้ยินได้ฟังคำพูดหยาบโลนและจดจำไปใช้
เด็กไม่ได้ถูกกันออกไปจากเรื่องเพศของผู้ใหญ่
พวกเขายังเห็นผู้ใหญ่เมาเหล้าและทำตามโดยลองหัดดื่มดูบ้าง
การลงโทษของบ้านเมืองในเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นการโบยตี แขวนคอ
คว้านไส้พุง หรือจับไส่ขื่อคา ทำกันที่จัตุรัสกลางเมืองท่ามกลางสาธารณชน
เด็กเมื่อสามสี่ร้อยปีก่อนจึงคุ้นเคยชาชินกับความรุนแรง ความโหดร้าย และความตาย
นิทานซึ่งถือกำเนิดในเวลาดังกล่าวจึงเป็นส่วนผสมของความนึกฝันอันแสนสนุกสนาน
กับความจริงอันแสนโหดร้ายของชีวิต
สำหรับผู้แต่งเอง การเสนอนิทานในลักษณะนี้จึงเป็นเรื่องปกติ
และไม่ถือว่าเป็นพิษเป็นภัยต่อเด็กแต่อย่างใด
บุคคุลผู้หนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญทำให้นิทานหลาย ๆ เรื่องที่เรารักเป็นอมตะ คือ
ชาร์ลส์ แปร์โรลต์ แม้ว่าเขาไม่ได้แต่งนิทานเหล่านี้ขึ้นเองทั้งหมด
เพราะนิทานบางเรื่องเป็นวรรณกรรมปากเปล่า(มุขปาฐะ)
บางเรื่องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ก่อนแล้ว
แต่ด้วยกลวิธีการเขียนและจินตนาการที่แปร์โรลต์สอดใส่เข้าไป
ทำให้นิทานที่มีอยู่เดิมเป็นอมตะโด่งดังแพร่หลายไปทั่วโลก
นิทานอมตะ 3 เรื่องที่เขาเขียนขึ้นใหม่จากเค้าโครงเรื่องเดิม
คือ "เจ้าหญิงนิทรา" "ซินเดอเรลลา" และ "หนูน้อยหมวกแดง"
ชาร์ลส์ แปร์โรลต์ เกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1628 บิดาเป็นนักเขียนมีชื่อคนหนึ่ง
เขามีประวัติเป็นนักเรียนสอบตก ชอบเปลี่ยนงาน ความไม่พอใจในระบบราชการ
ทำให้เขาหันมาเขียนนิทานที่เขามักเล่าให้ลูก ๆ ฟังก่อนนอน
และแล้วเขาก็พบว่านี่แหละคืออาชีพที่เหมาะกับเขาที่สุด
ในปี ค.ศ. 1697 หนังสือเล่มสำคัญที่นำชื่อเสียงและความสำเร็จมาสู่ตัวเขา
ได้รับการตีพิมพ์ออกจำหน่ายในกรุงปารีส หนังสือเล่มนี้ชื่อ "นิทานเมื่อวันวาน"
รวบรวมนิทานไว้ทั้งหมด 8 เรื่องด้วยกัน ปรากฏว่านิทาน 7 ใน 8 เรื่อง
ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แปลเป็นภาษาต่าง ๆ ออกไปทั่วโลก
และได้กลายเป็นนิทานอมตะประทับใจเด็กทั่วโลกตราบจนทุกวันนี้
นิทานทั้ง 7 เรื่องในชื่อฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก คือ
"The sleeping Beauty in the Wood"
"Little Red Riding Hood"
"Cinderella: or, The Little Glass Slipper"
"Blue Beard"
"Diamonds and Toads"
"The Master Cat: or Puss in Boots" และ
"Hop o'my Thumb"
อัจฉริยภาพของแปร์โรลต์คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า
เสน่ห์ของนิทานอยู่ที่ความเรียบง่าย เขาเติมแต่งเค้าเรื่องเดิมด้วยของวิเศษ
เวทมนตร์ นางฟ้า และใช้สำนวนภาษาที่ไร้เดียงสาของเด็ก
ดังนั้นนิทานของเขาจึงให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องราวที่เด็กรับฟังมาจากพ่อแม่
แล้วเล่าให้เพื่อนฟังอีกต่อหนึ่ง