โฉมหน้าคนกินคน! อิสเซ ซากาวะ

 

อาหารประจำชาติของญี่ปุ่นใครๆ ก็รู้ว่ามันคือซาซิมิหรือปลาดิบ แต่สำหรับซากาวะแล้ว เขาชอบเนื้อมนุษย์ เขาฆ่าเพื่อนนักศึกษาชาวยุโรปแล้วกินเธอเพื่อสนองอารมณ์วิปริต เมื่อถูกจับ เขารอดจากคุกแล้วกลับไปยังประเทศบ้านเกิดอย่างสบายในฐานะคนกินคน

                คนกินคน
               
                อิสเซ ซากาวะ เกิดเมื่อ 11 กรกฎาคม 1949 บิดาของเขาเป็นทหารที่เคยถูกกักตัวอยู่ที่รัสเซีย และต่อมาได้ประสบผลสำเร็จเป็นประธานการบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มคูติระในกรุงโตเกียวและขยายสาขาไปทั่วโลก(รวมทั้งประเทศไทย)
                ว่ากันว่าตอนที่ซาคาว่าเกิดมานั้น แม่ของเขาคลอดก่อนกำหนดจนเกือบจะแท้งและซากาวะก็ตัวเล็กมากจนมีขนาดเพียงฝ่ามือข้างเดียวของพ่อ
                เมื่อโตขึ้นซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน 5 ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจเป็นพวกลักเพศ แต่ถึงเขาเป็นอย่างนี้พ่อของเขาก็รักลูกสุดดวงใจเพราะเขาคือหนึ่งเดียวที่จะสานต่อกิจการของครอบครัว
                ซากาวะเป็นเด็กที่ฉลาดมากแต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ผอม และค่อนข้างกังวลเรื่องส่วนสูงของตนเอง แต่เขาชอบวรรณกรรม โดยนิยมอ่านงานเขียนเรื่อง WutheringHeights (Emily Jane Brontë), War and Peace (Voyna i mir) และ"สี่ดรุณี"(Louisa May Alcott) ซึ่งจากความชอบนี้เองทำให้เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนสามารถไปเรียนต่อวิชาวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยวาโกอย่างสบาย
                และที่ยุโรปนี้เอง เขาได้เกิดหลงใหลสตรีชาวยุโรปที่รูปร่างสูงกว่าเขาและหลงรักพวกเธออย่างลึกซึ้ง
                ซึ้งจน....................อยากกินพวกเธอ
                เมื่ออิสเซ วากาวะ เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวาโก เขาเริ่มสนใจ TEMPEST ของเชคเปียร์ส ซาคาว่าเลือกหัวข้อนี้มาเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ซึ่งฉบับภาษาฝรั่งเศสได้รับเสียงวิจารณ์อันดีจากอาจารย์หลายคน และมีกำหนดจะตีพิมพ์หากเขาไม่ถูกจับในคดีอันอื้อฉาวนี้เสียก่อน
               
                ครั้งแรก
                
                ไม่รู้ว่าอิสเซ วากาวะนั้นมีความรู้สึกอยากกินคนตั้งแต่เมื่อไหร่
                จากการสันนิษฐานเขาอาจเริ่มรู้สึกอยากกินคน ตอนที่เขาเรียนอยู่วาโก ที่นั้นเขาได้ตกหลุมรักครูสาวเยอรมันคนหนึ่งอย่างหักปักหัวปำ แต่ไม่ได้รักแบบชู้สาว แต่เป็น..............
                "เวลาที่ผมพบผู้หญิงคนนี้ ผมชั่งใจไม่ถูกว่าจะกินเธอดีไหม"
                วันหนึ่งในฤดูร้อน อิสเซลอบปีนไปหน้าต่างที่ครูสาวพักอยู่ ตอนนั้นเธอกำลังหลับสนิทนอนเปลือยกาย อิสเซมาเห็นก็เกิดอารมณ์ขึ้น แต่เวลานั้นเขาไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย จึงใช้ร่มกันฝนแทนมีด แต่ครูสาวตื่นมาเห็นก่อนจึงร้องโวยวายให้คนมาช่วย ทำให้อิสเซเผ่นหนีสุดชีวิต
                ในเวลาต่อมาพ่อของอิสเซได้จ่ายค่าเสียหายในคดีนี้ ผู้เสียหายก็ไม่ติดใจที่จะเอาเรื่อง อิสเซจึงไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีนี้
                อิสเซเมื่อพลาดครั้งแรก เขารู้สึกอาการผิดปกติของเขาจึงได้ทำเรื่องความรู้สึกอยากกินมนุษย์ไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ตกใจเมื่อรู้ว่าอิสเซไม่ได้แค่มีความคิดแต่ได้ลงมือแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ และมีสิทธิสูงที่จะก่อการแบบนี้ต่อไปในวันข้างหน้าอีกครั้ง
                จิตแพทย์ได้ทำการพูดคุยกับอิสเซยืนยันว่า เขาเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่งถ้าไม่แก้ไข แต่ถึงกระนั้นจิตแพทย์ก็เก็บเป็นความลับนี้ไว้ เนื่องจากไม่มีผลสรุปอย่างเป็นทางการ
                เมื่อพ่ออิสเซรู้ข่าวจึงแก้ปัญญานี้โดยการให้อิสเซไปเรียนที่อื่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ อิซเซเลือกที่จะไปเรียนที่ปารีสเพราะที่นั้นเป็นแหล่งรวมเหยื่อผู้หญิงที่มีลักษณะตรงสเป็กเขาพอดี


เรนี ฮาร์เทเวลท์

               
                ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่ "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1981
                อิสเซได้ตกหลุมรักนักศึกษาชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อเรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน
                เรนีเป็นสาวสวยชาวยุโรปเหนืออายุ 25 ปี ผมสีบบลอนด์ พูดได้ถึง 3 ภาษา เธอตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอกด้านวรรณคดีฝรั่งเศสเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต
                อิสเซหลงรักเธอจนหักห้ามใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแขนขาวเนียนของเธอ เรนีเป็นผู้หญิงในฝันของเขา เขาต้องหาทางให้ถึงตัวเธอให้จงได้
                ระยะแรกอิสเซปูทางด้วยการขอให้เรนีสอนภาษาเยอรมันให้เขา โดยเสนอค่าจ้างในราคาสูงๆ เรนียอมรับข้อเสนอนี้
                อิสเซเริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิงแต่เรนีก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกินน้ำชาบ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน
                แต่บางครั้งอิสเซก็มักแสดงพฤติกรรมวิปริตให้เรนีเห็นบ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งอิสเซเชิญเรนีมาที่อพาร์ทเมนต์เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิสเซให้เรนีอ่านกวีคลาสสิกของเยอรมัน เธอทำตามที่อิสเซต้องการ พอเรนีออกไปแล้วกลับก็พบอิสเซแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เขาสูดดมกลิ่นที่เก้าอี้ที่เรนินั่ง ใช้ลิ้นเลียที่ผ้าบุเก้าอี้ พร้อมสบถว่าแม่คุณเอ๋ยฉันจะกินเธอให้อิ่มแปล้ให้จงได้
                เรนีเห็นพฤติกรรมของอิสเซ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง
                และแล้ววันนั้นก็มาถึง................................(จากคำให้การของอิสเซในเวลาต่อมาบอกว่าเขามีความคิดที่จะฆ่าโสเภณีเพื่อฆ่ากินศพหลายครั้งแล้ว แต่ตัดใจก่อนเพราะทำไม่ลง)

                ชิ้นส่วนในตู้เย็น
               
                ดึกสงัดของคืนวันที่ 12 มิถุนายน 1981  ใจกลางกรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส
                แถวๆบริเวณที่ทิ้งขยะของริมฝั่งแม่น้ำแซน  ซึ่งไม่ห่างจากโบสถ์ นอเตรอะดามมี มากนัก  เป็นสถานที่ที่คนไม่ค่อยจะผ่าน  หรือเรียกได้ว่าเป็นที่เปลี่ยวลับหูลับตาคน  และที่นี่  เป็นจุดรวมของคนเร่ร่อนที่ชาวฝรั่งเศlเรียกว่า "พวกโกซา" มาอาศัยหลับๆ  นอนๆและคุ้ยเขี่ยหาเศษขยะเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อ  พอได้เงินมาจากการขโมยของหรือทำผิดกกฎหมายบางอย่างก็นำไปซื้อเหล้าขาวราคาถูกๆ ใส่ขวดน้ำ  เดินโซซัดโซเซ  บ้างก็พร่ำเพ้อบ้าบอด่าทอไปต่างๆนานาแล้วแต่จะนึกได้  ไม่ยี่หร่าในตัวเองและผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณชุมชนนั้นๆพร้อมกับเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมเหม็นสาบ
                และในคืนนั้นนั่นเอง  วันที่12 มิถุนายน 1981  พวกโกซา กลุ่มหนึ่งจะนอนก็นอนไม่หลับ  อย่ากระนั้นเลย  คุ้ยหาของในกองขยะดีกว่า  เผื่อจะได้เจออะไรบางอย่างดีดีตัดหน้าคนอื่น  ในขณะที่คนอื่นๆเขานั้น กำลังเมาพับและหลับไปอย่างเมามายไร้สติ
                ทันใดนั้น  มีเสียงรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมา  โกซาวัยคะนองผู้นั้นต้องยกมือเข้าปิดป้องที่ใบหน้า  กันมิให้แสงสว่างจากไฟส่องหน้ารถเข้ามากระทบตา  เขาจึงทำตาหยีๆเพื่อดูสถานการณ์ และแล้วประตูรถแท็กซี่เปิดอ้าออกมา  มีหนุ่มเอเซียผู้หนึ่งกำลังค้นกระเป๋าเดินทางใบมหึมาออกจากรถอย่างเร่งรีบและทุลักทุเล  เพราะท่าทางกระเป๋าใบนั้นคงจะหนักเอาการ
                เมื่อหนุ่มเอเชียนั้นเห็นพวกโกซาก็ตกใจเขาทิ้งกระเป๋านั้นไว้ ก็ปิดประตูรถแท็กซี่  และบึ้งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ทราบว่า  เหตุการณ์นั้นได้เข้ามาสู่สายตาของโกซาผู้หนึ่งแล้วและท่ามกลางกองขยะที่เน่าเหม็น
                หลังจากนั้นมีสองสามีภรรยาคนหนึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงเดินมาดูบใบใหญ่นั้นพร้อมกับโอซา            
                เมื่อฝากระเป๋าถูกเปิดออกทันที่  และทันใดนั้น.......................
                มือมนุษย์ข้างหนึ่งยืดออกจากซิปกระเป๋ามีคราบเลือดติดกรัง ภายในเป็นศพชิ้นส่วนมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อนๆ ยัดใส่ลงภายในอย่างประณีต แต่ในเวลาไม่นานชิ้นส่วนเหล่านั้นได้ส่งกลิ่นคาวคลุ้งออกมาจนน่าสะอิดสะเอียน  สองสามีภรรยาและพวกโกซาร้องอุทานลั่น ผงะหงายหลังไป  ก่อนที่จะตั้งสติได้  และวิ่งแจ้นไปแจ้งความกับตำรวจทันที
                นี่คือคำให้การของโคซา และสองสามีภรรยาคู่นั้น  ซึ่งหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังเกิดเหตุ  ตำรวจได้พบกระเป๋าเดินทางขนาดมหึมาที่โกซานั้นแจ้งความไว้  ตำรวจได้สอบถามบริษัทแท็กซี่หลายๆแห่ง  แล้วก็ได้เบาะแสว่า  ในคืนนั้น  มีชายชาวเอเซียว่าจ้างให้รถแท็กซี่ให้ช่วยขนของจากอพาร์ทเม้นต์ไปทิ้งที่กองขยะริมแม่น้ำแซน
                ในขณะเดียวกันสื่อมวลชนเริ่มทำข่าวคดีนี้อย่างสนุกสนานจนเก้าอี้ผกก.ตำรวจร้อน
                สี่วันต่อมาหลังจากการพบชิ้นส่วนมนุษย์  ตำรวจถือหมายค้นเข้าห้องพักของนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง  ชื่อว่า"อิสเซ ซากาวะ"
                เมื่อเปิดประตู  ชายเตี้ยร่างผอมออกมาต้อนรับและให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี
                เขาได้ให้รายละเอียดว่า  เขาชื่อ อิสเซ  ซากาวะ  อายุ 32 ปี  เป็นลูกชายของเศรษฐีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
              แนะนำตัวเสร็จแล้ว  เขาก็ทำตนเหมือนไม่มีความผิดอะไร  ซากาวะเชิญชวนตำรวจให้เข้ามาในห้อง  จัดแจงเสิร์ฟน้ำชาและคาดว่าน่าจะชวนให้รับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันเป็นเพื่อกับเ
                แต่ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่น  ห้องของเขาที่สะอาดสะอ้าน  แต่ทว่า.........
                 ยังมีอะไรบางอย่างที่มีกลิ่นอายแห่งความกลัวและขนพองสยองเกล้า
                ที่ตรงนั้น...โต๊ะอาหาร  ตำรวจต่างพากันพะอืดพะอมกับก้อนเนื้อเป็นกองๆ  และเครื่องในที่ล้างๆออกมาไว้ในชาม  กะละมังตั้งเรียงเป็นแถวเป็นแนว  แล้วยังมีหม้อพะโล้  หม้อต้มเค็มวางไว้ข้างๆ
                 ถ้ามองเข้าไปในครัวก็จะมองเห็นสตู  ซึ่งกำลังเดือดปุดๆอยู่บนเตา  สิ่งเหล่านี้ทำให้ตำรวจที่เข้ามารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้  แต่ใจพวกเขาคิดว่า  ซากาวะดูท่าทางอบอุ่น  ไม่น่าจะวิปริตขนาดนั้นหรอกมั้ง............
                 แต่ว่า........ลางสังหรณ์ก็บังเกิดขึ้นจริงๆ  เมื่อตำรวจเอื้อมมือเขาไปเปิดตู้เย็น 
                 ไอเย็นๆของน้ำแข็งระเหยออกมา  ม้วนตัวออกมาเป็นวงรี  ปรากฏศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่งวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแสงไฟจ้า
                 ศีรษะที่ถูกตัดแค่คอมีผมยาวสีน้ำตาลทอง  ใบหน้าที่เคยดูสวย  แต่บัดนี้กลับดูสยอง
                ตาข้างหนึ่งหรี่เกือบปิดสนิท  อีกข้างหนึ่งลืมตาครึ่งๆ  จมูกแหว่ง  เปรอะเลือด  และปากถูเฉือนออกมาทำให้เห็นแผงฟันขาวเวอร์เผยอ้าคล้ายกำลังส่งยิ้มออกมาให้กับผู้ที่จ้องมองเธอ
                "แล้วส่วนที่เหลือมันอยู่ไหน?"ตำรวจผู้ซึ่งถือหมายค้นถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน  ขณะที่ตำรวจอีกหนึ่งคนเหงื่อไหลออกมาเป็นจุดๆ
                 "ผมทานมันไปแล้วครับ"ซากาวะตอบอย่างยิ้มแย้ม  ซื่อๆง่ายๆ เมื่อถามถึงเต้านมข้างขวา
                "ปรุงสุกๆอย่างนั้นหรือ!"ตำรวจนายนั้นถามซ้ำอีก  เหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อในการกระทำของซากาวะ  และเหลือเชื่อว่า  คนเราจะมีวิธีการทำครัวและเครื่องปรุงวัตถุดิบที่สุดจะวิปริตได้ถึงเพียงนี้
                "ดิบๆครับ  ผมจะลองทำดูแบบซาซิมิดู!!!"ซากาวะตอบแล้วหัวเราะ 
                "แล่บางๆให้เฉียบ  แล้วกินดิบๆ  หวานหอม  อร่อยยิ่งกว่าปลาแซลมอนซะอีกนะครับ
                เมนูชวนอ๊วกของเขายังมิได้หมดเพียงเท่านี้  ซากาวะชี้ชวนให้ตำรวจทั้งหลายดู    ซุปต้มเค็ม  พะโล้เนื้อ  สตู  และต้มเครื่องในที่เก็บไว้กินกับข้าวสวยๆร้อนๆ
                "แหมๆ..........ผมไม่อยากเชื่อเลยนะนี่  ผู้หญิงตัวแค่นี้จะนำมาปรุงอาหารได้เยอะขนาดนี้  แถมอร่อยซะด้วย  ดูสิ  ผมเก็บไว้กินได้หลายๆอาทิตย์แน่ะ"
                ตำรวจและคอข่าวอาชญากรรมแทบทุกคนต่างพากันโก่งคอ  อาเจียนกันหมด  กว่าจะทำใจสืบสวนกันต่อไปได้รายการอาหารทั้งหมดเช่น  ต้มเค็ม  สตู  ซาซิมิเต้านม  ทุกรายการถูกถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน  พร้อมทั้งศีรษะที่เผยออยู่ในตู้เย็นด้วย
                ภาพทั้งหมดถูกนักข่าวจากนิตยสาร Photo  ถ่ายเก็บเป็นสารคดีเล่มที่พิเศษสุด  แต่น่าเสียดาย  เพราะวางจำหน่ายเพียงวันเดียว  ทางการสั่งให้เก็บออกจากแผงทั้งหมด  เพราะว่ามันน่ากลัวเกินเขย่าขวัญเกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้(แต่ผมหาเจอง่ะ ฮ่าๆ)

                คืนมรณะและบันทึกของอิสเซ
                
                ย้อนกลับไปวันที่ 11 มิถุนายน 1981  นั่นคือวาระสุดท้ายของเธอ
                อิสเซตัดสินใจฆ่าเรนีเพราะอยากกินเธอ จึงได้ชวนเรนีมาวันเกิดครบรอบ 32 ของเขา
                ที่โต๊ะตัวเตี้ย(โต๊ะโทคัทซึ)นั่งตามสไตล์ญี่ปุ่น  ซากาวะแอบปลื้มอยู่เงียบๆ  เพราะในใจเขาอยากกินเรนีใจจะขาดแล้ว
                เมื่อเรนีมาถึงอิสเซได้ต้อนรับเธอด้วยธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วยการให้เรนีนั่งคุกเข่ากับพื้นชงชาให้ดื่มผสมเหล้าลงไปด้วย จากนั้นเขาได้สารภาพรักกับเรนีทันที  ขณะที่เรนีกำลังตั้งใจสอนเขา
                เรนีดูท่าทางจะตกใจมาก  เนื่องจากรับสถานการณ์ไม่ทัน  หล่อนจึงแกล่งตอบกลบเกลื่อนไปว่าเธอคบอิสเซแค่เป็นเพื่อเท่านั้น ไม่ใช่แบบชู้สาว
                อิสเซเงียบไปพักหนึ่งแล้วผงะจากเรนีเดินไปหยิบกวีนิพนธ์มาส่งให้เธอ แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มบันทึกเสียงในขณะที่เรนีอ่านกวีนิพนธ์ อิสเซฟังเรนีอ่านกวีนิพนธ์พอใจแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างหลัง หยิบปืนเดินกลับมาจากนั้นก็จ่อยิงกลางหลังเรนีหนึ่งนัด เรนีสะดุ้งเฮือกหล่นลงจากเก้าอี้ลงกองอยู่บนพื้นเธอตายทันที อิสเซพูดพล่านกับเรนีเหมือนคนบ้าต่อหน้าศพของเรนี
                อิสเซเริ่มเปลื้อยผ้าออกจากศพของเรนีพบว่ามันยุ่งยากพอสมควร แต่ช่างหัวมันเถอะเพราะตอนนี้เธอเป็นของเขาแล้ว
                อิสเซเดินไปหยิบมีดยาวคมกริบมาเฉือนหัวนมข้างซ้าย กับปลายจมูกของเรนีอย่างชำนาญ จากนั้นเขาเอาปลายจมูกใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆ อย่างเอร็ดอร่อย
                ในตอนหนึ่งในหนังสือ "ในหมอก" อิสเซได้บรรยายตอนนี้อย่างกวีนิพนธ์ไว้ว่า
                
12 ก.ย. 54 เวลา 19:45 11,828 19 160
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...