1. มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria)
ก็เห็นพ้องต้องกันในวงการลึกลับศาสตร์แหละครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนาน
ที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"
จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดร ระยะเวลาของอาณาจักรนี้ว่ากันว่า
ย้อนหลังไปถึง 78,000 ปีที่แล้ว บนทวีปขนาดใหญ่ที่มีชื่อตามภาษาโบราณว่า มู หรือที่
คนสมัยใหม่เรียกเลมูเรียตามชื่อของลิงชนิดหนึ่ง และเจริญรุ่งเรืองอย่างยาวนานมาอย่าง
น้อยก็ถึง 52,000 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีบางแหล่งเหมือนกันครับที่ระบุว่า มูไม่ได้มีอายุ
ยืนยาวถึงขนาดนั้น แต่ก่อตัวเมื่อประมาณ 26,000 ปีก่อนและพังพินาศลงด้วยภัย
พิบัติPole shift หรือขั้วโลกพลิกเมื่อ 24,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม มูมิได้สูงส่งด้วยวิทยาการไฮเทคดังอาณาจักรหลังๆที่รุ่งเรืองตามมา แต่
อารยธรรมของมูเป็นอารยธรรมด้านจิตวิญญาณสังคมของอาณาจักรนี้บูชาความรู้และ
ศัรทธาโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากแอตแลนติสที่สัญลักษณ์ของอาณาจักรนี้คือเทคโนโลยี
และนวัตกรรม นางงามผู้ครองมงกุฏ Top Ten ของเราก็คืออาณาจักรมูนี่แหละ
2. แอตแลนติสโบราณ (The Ancient Atlantis)
ว่ากันว่าไม่นานนักหลังจากที่ทวีปมูจมลง ความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาได้ทำให้แผ่น
ดินแห่งนึงผุดขึ้นบริเวณคาบสมุทรแปซิฟิค อารยธรรมที่รุ่งเรืองของมูได้หายไปกับภัย
พิบัติครั้งนั้น แต่ไม่ได้รวมถึงอาณาจักรอีกแห่งที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในช่วงปลายยุคของมู
ดินแดนที่ว่าเป็นเสมือนอาณาจักรในม่านหมอกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติครับ เพราะ
จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันตั้งอยู่บนดินแดนไหนของโลก อย่าว่าแต่ที่ตั้ง
เล๊ย... อาณาจักรนี้จะมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงตำนานก็ยังหาคนมายืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อครับ ว่าครั้งหนึ่งโลกของเรา เคยมีอาณาจักรที่สูงส่งด้วย
วิทยาการแต่ประสบความพินาศเพราะภัยสงครามนามว่าแอตแลนติสอยู่จริงๆ เชื่อกันว่า
อาณาจักรแอตแลนติสมีความก้าวหน้าทางวิทยาการเอามากๆ ก้าวหน้าชนิดที่ไม่เคยมีมา
ก่อนนับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการทำลายล้าง
เป็นเทคโนโลยีที่เป็นตัวแทนของแอตแลนติสเลยทีเดียวครับ เหตุผลที่อาณาจักร
โบราณแห่งนี้ เน้นเทคโนโลยีด้านสงครามก็อาจเป็นเพราะ ต้องปกครองอาณานิคมที่
กระจัดกระจายอยู่รอบโลก แถมยังต้องทำสงครามกับทวีปอื่นๆที่รุ่งเรืองมาในยุคไล่ๆกัน
ตำราบางเล่มกล่าวถึงการรบกันระหว่างแอตแลนติสกับอาณาจักรทางฝั่งอินเดียโบราณไว้
อย่างน่าดูชม ดูเหมือนภาษาสันสกฤตโบราณจะขนานนามของชาวแอตแลนติสว่า
อัศวินหรือนักรบ อืมห์... ก็ตรงตัวดีอยู่แหละ
หลายตำนานกล่าวตรงกันว่า แอตแลนติสมาถึงจุดหายนะเพราะภัยสงคราม เนื่องจากการ
ใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างไม่ยั้งคิดนั่นเอง จุดจบของแอตแลนติสน่าจะเป็น
ตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์เราในปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย ตราบที่เรายังไม่ยุติการแก้ปัญหา
ด้วยกำลัง หรือกระหายสงครามอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
3. อาณาจักรโบราณแห่งชมพูทวีป (Rama Empire of India)
นับว่าฟ้ายังเข้าข้างอยู่ไม่น้อย ที่ตำรับตำราโบราณของทางอินเดียไม่ได้ถูกม้วนหายไปกับ
วังวนทางประวัติศาสตร์มากนัก หลายๆชาติต้องพบกับความเจ็บปวดใจ ที่ตำราโบราณถูก
ทำลายไปเสียหมดสิ้น ถ้าไม่เพราะภัยพิบัติก็ฝีมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละครับ การเผาตำรา-
ฆ่านักปราชญ์ของฉินสื่อหวง(จิ๋นซีฮ่องเต้) การเผาคัมภีร์สำคัญของอียิปต์ตามคำสั่งของ
ผู้นำอิสลาม หนังสือโบราณของมายา อินคาหรือแม้แต่ชาวเกาะอีสเตอร์ก็ถูกชาวตะวันตก
เผาทำลายสิ้น เคราะห์ดีที่ทางอินเดียยังมีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่อีกเยอะ อย่างน้อยก็เยอะมาก
พอที่จะให้คนรุ่นหลังอ้าปากค้างอย่างอัศจรรย์ใจ ในความเป็นมาและเป็นไปของอาณาจักร
โบราณแห่งดินแดนภารตะนี้
บทเรียนในวิชาประวัติศาสตร์สอนเราว่า อารยธรรมอินเดียเริ่มขึ้นประมาณห้าพันปีที่ผ่าน
มา แท้ที่จริงอารยธรรมแห่งนี้ยาวนานย้อนหลังไปกว่าที่เรารู้จักมากนักครับ ก่อนหน้านี้
วงการประวัติศาสตร์รู้จักอินเดียโบราณในแง่ของอาณาจักรใหญ่ ที่เคยรบพุ่งกันอย่างเอา
เป็นเอาตาย กับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย มีอารยธรรมที่รุ่งเรือง
อย่างน่าทึ่ง ครั้นพอมีการตั้งไซต์ทางโบราณขึ้นที่หุบแห่งความตาย เฮนโจ ดาโร นัก
ประวัติศาสตร์จึงเริ่มเอะใจเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณแถบลุ่มน้ำสินธุแห่งนี้ เพราะหลักฐาน
ทั้งหลายแหล่ที่พบล้วนบ่งบอกว่า ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นมาและเป็นไปที่ไม่ธรรมดา
ที่ว่าไม่ธรรมดาคือการสร้างเมืองโมเฮนโจ ดาโร กับ ฮารัปปา (Harappa) นั้นดูเหลือ
กำลังของคนโบราณจะทำได้ เมืองทั้งเมืองถูกวางผังเอาไว้อย่างดีก่อนสร้าง ด้วยแปลนที่
เหมือนกับวิศกรใหญ่สมัยศตวรรษที่ 20 เป็นคนเขียน แถมด้วยระบบระบายน้ำที่อัศจรรย์
เหลือเชื่อ มัน advance ถึงขั้นที่ว่าทันสมัยและดีเยี่ยมกว่าเมืองหลวงของหลายชาติใน
เอเชียปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ
4.อาณาจักรโอสิเรียน (Osirian civilization of the Mediterranean)
ในยุคสมัยของแอตแลนติสและ Rama Empire (ครั้นจะเรียกอาณาจักรแห่งราม ก็กลัว
จะนึกถึงรามเกียรติกันอีก) มีอีกอาณาจักรนึงครับ ที่รุ่งเรืองมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่ามกลาง
หุบเหวที่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาณาจักรโบราณนี้นับเวลา
ย้อนหลังไปได้ไกลกว่าราชวงศ์เก่าของอียิปต์เสียอีก นักประวัติศาสตร์เรียกขานชื่อของ
อาณาจักรลึกลับนี้ว่าโอสิเรียน หรือ Osirian civilization
ปูพื้นกันนิดสำหรับความเป็นมาของอาณาจักรนี้ อารยธรรมโอสิเรียนจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่าง
เด็ดขาด หากขาดแม่น้ำไนล์ไป เอ๊ะ... แม่น้ำไนล์มาเกี่ยวอะไรด้วยงั้นเหรอครับ เรื่องมัน
เป็นงี้ แม่น้ำไนล์(ซึ่งในบางครั้งเรียกแม่น้ำ Styx)นั้นมีต้นกำเนิดจากทวีปอาฟริกา มี
ส่วนที่ไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทางตอนเหนือของอียิปต์
กระแสน้ำได้พัดดินตะกอนทับถม (รวมทั้งกร่อนส่วนที่กร่อนได้) จนเกิดเป็นหุบและ
ทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น ตรงบริเวณพื้นที่ระหว่างมัลต้าและซิซิลีในปัจจุบัน ครอบไปถึง
ซาร์ดิเนียในมหาสมุทรแอตแลนติคตรงบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (ช่องแคบ
ยิบรอลตานั่นล่ะ ^.^ ) หลังจากที่แอตแลนติสจมลงสู่ก้นมหาสมุทร กระแสน้ำที่เปลี่ยน
ทิศจากมหาสมุทรแอตแลนติค ก็ได้ทำให้ดินแดนบริเวณอ่าวเมดิเตอร์เรเนียนจมลงอย่าง
ช้าๆ กวาดเอาซากแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรโอสิเรียนลงไปเฝ้าเทพโปเซดอนที่ก้น
มหาสมุทรด้วย
(ด้านซ้ายมือคือภาพของรางยาวเหยียดบนพื้นหิน ลักษณะเหมือนรางสำหรับยานพาหนะ
บางประเภท อายุอานามก็หลายพันปีอยู่ครับ)
ในวงการโบราณคดีแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ามีซากเมืองจำนวนมาก(อย่างน้อยๆก็ 200
เมือง)ที่จมอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อารยธรรมของอียิปต์เก่า, มิโนอันกับไมซีเนียน
แห่งครีต รวมไปถึงเมืองน้อยใหญ่ของชาวกรีกก็รวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย มาถึงตรงนี้บาง
ท่านก็อาจจะงงว่าทำไมตูข้าไม่เคยได้ยินชื่อของอาณาจักรหรืออารยธรรมที่ว่านี้มาก่อน
อันนี้มีสาเหตุครับ เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่นักคิดนักเขียนเป็นจำนวนมาก ได้เหมารวมเอา
อารยธรรมโอสิเรียนให้เป็นหนึ่งในอารยธรรมของแอตแลนติส ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่
หลักฐานที่หลงเหลือของอาณาจักรโอสิเรียนคือสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา ที่มีขนาดไม่แพ้
มหาวิหารในบาลเบ็คของเลบานอน เสาที่หลงเหลือจากแผ่นดินไหว แนวกำแพงยาว
เหยียดใต้ก้นมหาสมุทร รวมไปถึงร่อยรอยของสิ่งก่อสร้างลึกลับในเกาะมัลต้าด้วย
5. อารยธรรม ณ ทะเลทรายโกบี (Uiger Civilization of Gobi Desert)
เรายังไม่ได้ไปจากช่วงเวลาของแอตแลนติสและ Rama Empire นะครับ แต่ย้ายโลเก
ชั่นไปแถวทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งมีทั้งเมืองโบราณและท่าเรือขนาดใหญ่ซุกอยู่ใต้ผืนทราย
อันไพศาล นักโบราณคดีหลายกลุ่มได้พบเครื่องยนต์โบราณอายุหลายพันปีในถ้ำบริเวณ
ทะเลทรายโกบี เชื่อกันว่าเครื่องยนตร์เหล่านี้คือซากของยานบินวิมานะในตำนานโบราณ
ของชาวภารตะ นิโคลาส โรเอริช นักสำรวจชาวรัสเซียเคยรายงานถึงการพบเห็นยานบิน
รูปร่างคล้ายแผ่น CD ในน่านฟ้าทางตอนเหนือของประเทศธิเบตเมื่อทศวรรษที่ 40
บางทีอาจเป็นไปได้ว่า ทายาทของอาณาจักรนี้ยังคงหลงเหลือแต่ซ่อนกายอยู่ที่ไหนสัก
แห่งใน Uiger area อันไพศาลทางตอนเหนือของทะเลทรายโกบีนี้ก็ได้
6. เทียฮัวนาโค (Tiahunaco)
เทียฮัวนาโคแห่งอเมริกาใต้ ดินแดนของชนเผ่าลึกลับที่ไม่ทราบที่มาหลายคนว่ากันว่า
ชาวพื้นเมืองของเทียฮัวนาโคสืบเชื้อสายมาจากอาณาจักรมูครับ บ้างก็ว่าน่าจะเป็นแอต
แลนติสเพราะดูจากสภาพภูมิศาสตร์แล้วมันเอื้อกว่า ใครจะถูกจะผิดเรายังไม่รู้ แต่หลัก
ฐานที่เหลืออยู่อันประกอบด้วยโบราณสถานที่สร้างจากหินขนาดมหึมา รวมทั้ง
สถาปัตยกรรมการสร้างกำแพงจากหินหลายเหลี่ยม ซึ่งออกแบบไว้สำหรับป้องกันแผ่นดิน
ไหวนั้น บอกกับเราว่า ชาวเทียฮัวนาโคมีความรู้เรื่องธรณีวิทยาและแนวแผ่นดินไหวใน
Ring of Fire เป็นอย่างดี หรือความรู้เหล่านี้ได้รับมาจากบรรพชนชาวมูที่ล่วงลับไปแล้ว
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเทียฮัวนาโคก็คือสถาปัตยกรรมครับ ทุกอย่างดูมโหฬารอลังการไป
หมด ลำพังแค่ขนาดก็น่าทึ่งพออยู่แล้ว พอนักโบราณคดีศึกษาลึกลงไปอีก ก็ยิ่งทึ่งหนัก
เข้าไปใหญ่กับเทคนิคการก่อสร้างของพวกเขา การตัดหินขนาดใหญ่ เทคนิคการใช้
คอนกรีตแบบโบราณเอย ปูนพลาสเตอร์แบบผสมเอย และเขียนแปลนที่ยอดเยี่ยมทำให้
นักโบราณคดีงุนงงไม่ได้ว่า นี่เป็นผลงานของคนเมื่อหลายพันปีที่แล้วแน่หรือ? พูดถึง
เรื่องนี้ก็อดงงไม่ได้ว่าทำไมคนโบราณชอบสร้างอะไรที่มันใหญ่โตเกินจำเป็นนัก แล้ว
ไอ้สิ่งที่สร้างขึ้นน่ะมันก็ขัดกับเทคโนโลยีและความเป็นอยู่ของพวกเขาเสียเหลือเกิน
แหละดูเหมือนว่าคนโบราณจะเป็นยังงี้กันไปซะหมด เพราะนอกจากเทียฮัวนาโคแล้ว
สิ่งก่อสร้างในอียิปต์ เกาะมัลต้า หรือส่วนอื่นๆในเปรู ก็ล้วนแต่โอ่อ่าอลังการไปเหมือนๆกัน
หมดซะอย่างนั้น
นอกจากตัวเทียฮัวนาโคเองแล้ว โบราณสถานอีกหลายแห่งในประเทศโบลิเวียล้วนแต่ชี้
ให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลจากเทียฮัวนาโค เช่นโบราณสถานทางตอนใต้ของคุซโกที่เป็นที่
ตั้งของเมืองแห่งพระเจ้าโบราณ Puma Punku ซึ่งสวยงามและโอ่อ่าเอามากๆ ทุกสิ่ง
ทุกอย่างมีขนาดใหญ่โตเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าคนงานที่สร้างเมืองแห่งนี้น่าจะเป็นยักษ์เสีย
กระมัง เพราะหินแต่ละก้อน เสาแต่ละต้นมันใหญ่โตเสียจนเหลือเชื่อว่าลำพังแรงงาน
มนุษย์จะจัดการกับมันได้ เสาบางต้นมีขนาดร้อยกว่าตัน บางต้นมากกว่านั้น แถมแปลน
ของวิหารที่นั่นก็ดูทันสมัยต่างไปจากวิหารของคนโบราณเสียด้วยนะครับ รูปกำแพงและซากที่เหลือของ Puma Punku จากภาพที่2
7. อารยธรรมายา(The Mayans)
ภาพเปรียบเทียบยานยุคปัจจุบัน และภาพของของปากัลกษัตริย์โบราณของชาวมายา กับ"พาหนะ"ที่ทรงใช้เดินทางเพื่อไปพบกับพระเจ้า
หากจะนับปิระมิดที่สวยงามมีชื่อเสียงนอกจากมหาปิระมิดแห่งอียิปต์แล้ว ก็มีปิระมิดของชาวมายานี่แหละครับที่พอจะทาบรัศมีได้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่ปิระมิดของชาวมายา ใน
อเมริกากลางดันไปเหมือนกับปิระมิดที่พบกันในแถบบ้านเรา คือปิระมิดน้อยใหญ่ในชวา
ตอนกลาง ชาวมายา มาทำอะไรแถวบ้านเราหรือคนอินโดนิเซีย ไปหว่านอะไรไว้แถว
อเมริกากลางตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ เพราะลำพังแค่ ปริศนาของปิระมิดนับแสนแห่ง ที่
ซุกซ่อนอยู่ตามป่าของชาวมายานั้น ก็เป็นปัญหาที่นักโบราณคดีขบไม่แตกกันมากพออยู่แล้ว
บรรพบุรุษชาวมายากล่าวได้ว่าปราดเปรื่องในศาสตร์สำคัญหลายๆแขนง เป็นต้นว่า
ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ พวกเขามีวิชาความรู้ด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม มีการสร้าง
คลองส่งทำ การทำชลประทานดังที่เหลือหลักฐานอยู่ในคาบสมุทรยูคาทาน ตลอดไปจน
มีสิ่งแปลกๆผิดยุคในครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องประดับที่เป็นรูปเครื่องบิน
ปีกสามเหลี่ยม กล่องสมบัติที่รูปร่างเหมือนเครื่องส่งวิทยุ หรือแม้แต่แผนที่ดาวซึ่งระบุ
ตำแหน่งของดวงดาวเอาไว้เมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อนไว้อย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน น่าทึ่งดี
นักคิดนักเขียนหลายเชื่อว่าอารยธรรมมายาคือสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนติส