จากสภาวะความเครียด ความวิตกกังวล และหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นในชีวิต ส่งผลให้มีคนจำนวนไม่
น้อยที่ตัดสินใจ "หนี" และ "ทิ้ง" ปัญหาทุกอย่างด้วยการ "ฆ่าตัวตาย" ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้
เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า โดยเฉลี่ยแล้วมีคนทั่วโลกฆ่าตัวตายถึงวันละเกือบ 3,000 คน เท่ากับ
ว่าปี ๆ หนึ่งจะมีคนฆ่าตัวตายมากกว่า 1 ล้านคน และตัวเลขก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น
เดียวกับจำนวนของผู้ที่ลงมือทำร้ายตัวเองที่มีมากกว่าผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 10-20 เท่า
แน่นอนว่า คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งลดอัตราการฆ่าตัวตายทั่ว
โลกลง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอื่น ๆ ตามมา ดังนั้นแล้ว
จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 10 กันยายนของทุกปี เป็น "วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก"
(World Suicide Prevention Day) โดยประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2003
หรือ พ.ศ.2546 เพื่อให้คนทั่วโลกตระหนักว่า การฆ่าตัวตายนั้นสามารถป้องกัน
ได้ และให้มีการเผยแพร่ข้อมูล ปรับปรุงพัฒนาการศึกษา และการอบรมให้ความรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ องค์การอนามัยโลกก็ยังได้กำหนดธีม หรือหัวข้อการรณรงค์ของ
แต่ละปีไว้ด้วย ซึ่งธีมของแต่ละปี ก็ได้แก่
พ.ศ.2546 : Suicide can be Prevented
พ.ศ.2547 : Saving Lives, Restoring Hope
พ.ศ.2548 : Prevention of Suicide is Everybody's Business
พ.ศ.2549 : With Understanding, New Hope
พ.ศ.2550 : Suicide Prevention Across the Lifespan
พ.ศ.2551 : Think Globally, Plan Nationally, Act Locally
vพ.ศ.2552 : Suicide in Different Cultures
พ.ศ.2553 : Many Faces, Many Places: Suicide Prevention Across the World
พ.ศ.2554 : Preventing Suicide in Multicultural Societies
สำหรับในประเทศไทยนั้น ได้กำหนดให้ดอกสะมาเรีย สัญลักษณ์การป้องกันการฆ่าตัว
ตายของประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุขของไทยก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้า
รณรงค์การป้องกันการฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน โดยได้จัดบริการด้านสุขภาพจิต เพื่อให้คำแนะนำ
คำปรึกษา กับผู้ที่มีภาวะเครียด หรือมีปัญหา พร้อมกับดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ว่าจะ
เป็นการพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ สร้างความมั่นคงให้กับจิตใจ ฝึกทักษะในการแก้
ปัญหาชีวิต ปัญหาส่วนตัว ความขัดแย้งต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการคิดสั้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่
ปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา โดยสถิติในปี พ.ศ.2553 ที่กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมมา พบว่า
มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ที่ 5.90 คนต่อประชากร 1 แสนคน
ซึ่งเมื่อเทียบกับอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศแถบเอเชียถือว่า ประเทศไทย
มีตัวเลขของการฆ่าตัวตายต่ำกว่าประเทศอื่น
ขณะที่ข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สำรวจโดย
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมสุขภาพจิต และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตั้งแต่ปี 2548-2553 พบว่า วัยทำงานอายุระหว่าง 15-59 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตาย
สูงสุด คือ 7.1 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ในจำนวนนี้กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-59 ปี มี
อัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.6 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนที่มีอายุ
ระหว่าง 15-29 ปี ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.2 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่ฆ่าตัว
ตายส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 4 เท่าตัวของการฆ่าตัวตายของทุกปี
ในส่วนของปัจจัยที่ทำให้เกิดการฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งด้าน
ชีวภาพ จิตใจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพบปัจจัยของโรคซึม
เศร้าร่วมด้วย แต่หากเจาะลึกเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น จะพบว่าสาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัว
ตายมากที่สุด คือ ผิดหวังในเรื่องความรัก ประสบกับปัญหาการเล่าเรียน และปัญหา
ทางด้านครอบครัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทยจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่ควรนิ่ง
นอนใจ เพราะปัญหาการฆ่าตัวตาย นอกจากจะส่งผลกระทบต่อคนใกล้ชิดของผู้ที่คิดสั้นเองแล้ว
ยังก่อให้เกิดความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย โดยเฉพาะหากผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในวัยทำงาน
เช่นนั้นแล้ว "ครอบครัว" ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ควรจะเฝ้าระแวดระวัง
และพูดคุย ให้กำลังใจคนในครอบครัวให้มาก นอกจากนี้ ชุมชน กรมสุขภาพจิต และหน่วยงานที่
เกี่ยวข้อง ต้องร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและทักษะในการแก้ปัญหา
ชีวิตให้แก่ประชาชน เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายให้น้อยลง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
องค์การอนามัยโลก, สมาคมนานาชาติเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย, กรมสุขภาพจิต