โลกกับห้วงอวกาศ : II
(ต่อจากตอนที่ I)
คณะนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ตัดสินใจว่า จะต้องค้นหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ จึงส่งรายงานขอเครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองลำนี้เอาไว้ก่อน เพื่อค้นคว้าติดตามเรื่องต่อไป โดยให้เครื่องบินตรวจการณ์ บินตรวจสอบบริเวณรอยแยกน้ำแข็งทุกวัน เพราะเชื่อว่าจานบินเหล่านั้น จะต้องปรากฏอีกครั้ง และมั่นใจว่ายานลึกลับนั้นคงไม่ทำอันตรายใด ๆ กับนักบินแน่นอน เพราะการไล่ล่าที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าจานบินนั้นไม่มีเจตนาจะทำร้ายจึงเร่งความเร็วหนีไป
วันที่ 3 ธันวาคม หลังจากการไล่ล่าจานบิน 8 วัน นักบินได้นำเครื่องออกตรวจสอบบริเวณรอยแยกน้ำแข็งตามปกติ โดยแบ่งเขตการตรวจการณ์คนละด้าน ลำแรกอยู่ใกล้รอยแยก ลำที่สองบินไปทางทิศเหนือ ทั้งสองติดต่อกันโดยทางวิทยุตลอดเวลา
เวลา 11.43 น. นักบินของเครื่องบินลำที่สอง ซึ่งห่างจากลำแรกประมาณ 120 กิโลเมตร ได้ยินเสียงนักบินอีกคนพูดผ่านมาทางวิทยุว่า “…กลับมาที่รอยแยกด่วน รู้สึกมีแสงเรืองคล้ายแสงไฟอยู่ใต้น้ำ…ผมจะบินวนอยู่บริเวณนี้ เพื่อให้คนของเราถ่ายภาพทั้งหมดเอาไว้”
นักบินที่สองเปลี่ยนเส้นทางกลับมายังจุดที่เป็นรอยแยกทันที ขณะนั้นเขาก็ได้ยินเสียงนักบินของอีกลำพูดต่อไปเรื่อย ๆ ว่า “…ขึ้นมาแล้ว …จานบินที่เราเห็นเมื่ออาทิตย์ก่อน ขึ้นมาจากใต้น้ำ ตรงช่องแตกของน้ำแข็งนั่นเอง …มันบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว …มีลำอื่น ๆ ติดตามมาอีก …สี่ลำ …รวมทั้งหมดห้าลำด้วยกัน มันบินไปรวมกันทางทิศตะวันออก เหนือพื้นน้ำแข็งประมาณ 40,000 ฟุต …ช่างภาพของเราถ่ายมันไว้ได้ทั้งหมด ด้วยเทปบันทึกภาพ… พวกมันหยุดอยู่กลางอากาศทุกลำ …มัน…”
นักบินตรวจการลำแรกที่อยู่บริเวณรอยแยกพื้นน้ำแข็งพูดได้แค่นั้น เสียงก็หยุดไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่านักบินเครื่องที่สองจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบอีกต่อไป…
ประมาณ 8 นาที เครื่องบินตรวจการณ์ลำที่สองก็มาถึงจุดรอยแยกน้ำแข็ง ซึ่งได้รับรายงานว่ามีบานบินโผล่ขึ้นมาถึง 5 ลำ แต่ ณ ขณะนั้นพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยใด ๆ ของบานบินหรือแม้แต่เครื่องบินตรวจการณ์ลำแรกเลย
เขาลดระดับการบินลงเพื่อให้ฝ่ายเทคนิคบันทึกภาพและตรวจสอบแอ่งรอยแยก เครื่องมือวัดต่าง ๆ ทำงานปกติ ไม่ได้หยุดไปเหมือนเมื่อ 8 วันก่อน เขาพยายามติดต่อเครื่องบินอีกลำด้วยวิทยุแต่ไม่มีเสียงตอบ จึงแจ้งกลับไปที่ศูนย์ปฏิบัติการ แล้วบินกลับศูนย์เมื่อได้รับคำสั่ง
พนักงานเฝ้าดูเรดาร์ รายงานว่า ก่อนที่เครื่องบินตรวจการลำแรกจะหายไปจากหน้าจอ มียานลึกลับปรากฏร่วมอยู่ในจออย่างทันทีทันใด 5 ลำ แล้วสักครู่หนึ่งยานทั้ง 5 ลำก็หายไปจากหน้าจอ พร้อมกับเครื่องบินตรวจการณ์ลำแรกด้วย และหลังจากนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเครื่องบินลำนั้นอีกเลย…
หัวหน้าศูนย์ทดลองแจ้งเรื่องไปยังฐานทัพอากาศที่เมืองไครเมีย ทางฐานทัพอากาศไครเมียได้ส่งเครื่องบินตรวจการณ์ชนิดเดียวกันมายังเกาะเซเวอร์นายาอีก 4 ลำ เพื่อทำการค้นหาเครื่องบินที่หายไป เครื่องบินทั้ง 5 ลำได้ทำการตรวจหาซากเครื่องบินตรวจการณ์ที่หายไปโดยละเอียด แต่ไม่พบร่องรอยใด ๆ ทั้งสิ้น และที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้น รอยแยกที่เหมือนทะเลสาบบนน้ำแข็งตรงจุดที่พบจานบิน หรือจุดเดียวกับที่เครื่องบินหายไป ได้ถูกน้ำแข็งปกคลุมอย่างไม่เหลือร่องรอยอีกต่อไป
มีคำสั่งให้ค้นหาเครื่องบินและนักบินที่หายไปอีกหลายวัน แต่ไม่พบสิ่งใด รวมทั้งจานบินก็ไม่ปรากฏให้พบเห็นอีก คณะวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานว่า บริเวณของมหาสมุทรอาร์กติกทางตอนเหนือของเกาะเซเวอร์นายานั้น คงเป็นจุดหนึ่งบนพื้นโลก ที่เป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กโลก ที่เรียกว่าจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับห้วงจักรวาล และเชื่อว่ายานอวกาศจากนอกโลกคงจะสามารถลงจอดตรงจุดนี้ได้ แต่สาเหตุที่มันต้องดำดิ่งลงสู่พื้นมหาสมุทรนั้น ยังเป็นเรื่องที่ต้องค้นคว้ากันต่อไป
กล่าวกันว่า อาณาบริเวณในมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือของเกาะเซเวอร์นายา มีความคล้ายคลึงกับอาณาบริเวณที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” หากแต่บริเวณเล็กกว่าเบอร์มิวดามาก ซึ่งในตอนต่อไปเราจะกล่าวถึงเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาถรรพ์ ความลึกลับ และความพยายามที่จะค้นหาความจริงในนามของวิทยาศาสตร์…
—โปรดติดตามตอนต่อไป—
โลกเรามีเรื่องลึกลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้อีกเยอะเลย..น่าสนใจ ๆ
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~