โลกกับห้วงอวกาศ : I
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นที่รู้จักกันดีในนามของอาณาบริเวณลึกลับ ที่กลืนกินเครื่องบิน เรือเดินสมุทร พร้อมด้วยผู้โดยสารจำนวนมากมาย ที่เดินทางผ่านไปในบริเวณนั้น และพวกเขาทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย สุดที่จะตามกลับมาได้…
แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เรามาพูดถึงทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง อันอาจจะนำไปสู่การไขปริศนาของบริเวณลึกลับแห่งนั้น นั่นคือทฤษฎีเกี่ยวกับจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับห้วงจักรวาลนั่นเอง…
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นวัตถุไม่ปรากฏสัญชาติ (UFO) หรือที่เรียกกันว่า “จานบิน” ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าส่วนต่าง ๆ ของโลกมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ ระบุได้แน่ชัดแม้แต่ครั้งเดียวว่าจานบินเหล่านั้นได้ลงจอดบนพื้นโลก จึงเกิดนข้อสันนิษฐานขึ้นมาว่า บางทีโลกของเราเกือบทั้งหมด อาจไม่เหมาะสมสำหรับการลงจอดของยานบินจากนอกโลก เนื่องจากแรงดึงดูด แรงผลัก และสนามแม่เหล็กโลกที่ขัดกับลักษณะการขับเคลื่อนของยาน ทำให้ไม่สามรถลงจอด ณ จุดใด ๆ ตามประสงค์ได้ แต่ยังคงเชื่อว่า น่าจะมีบางบริเวณของโลก ที่เป็นจุดบอด ให้ยานเหล่านั้นลงจอดได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และบริเวณดังกล่าว น่าจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกและห้วงจักรวาลได้ด้วย
บันทึกลับ รัสเซีย : พฤศจิกายน ค.ศ.1985…
คณะนักวิทยาศาสตร์รัสเซียที่ศูนย์ปฏิบัติการทดลองในเกาะเซเวอร์นายา ตอนเหนือของมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งมีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี ได้สังเกตเห็นยานอวกาศทรงกลม เรืองแสง ปรากฏทางด้านเหนือของเกาะหลายครั้งหลายคราวด้วยกัน มีลักษณะโดยรวมคล้ายจานยินที่เคยปรากฏทั่วไปตามส่วนต่าง ๆ ของโลก และบางครั้งสามารถมองเห็นได้หลายลำ ทำให้คณะนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวสงสัยว่า บริเวณนั้นน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจ จึงรายงานไปยังฐานทัพอากาศไครเมีย
ผู้บัญชาการฐานทัพส่งเครื่องบินตรวจการณ์รุ่นล่าสุดสองลำมาทำการตรวจสอบบริเวณดังกล่าว อันเป็นบริเวญกว้างพอประมาณ ต้องใช้เวลาการลาดตระเวณกว่าสองชั่วโมง วันแรกไม่พบสิ่งปกติแต่อย่างไร แต่เครื่องบินของหน่วยค้นคว้าดังกล่าวก็ยังคงปักหลักรอยู่ที่สนามบินข้างศูนย์ทดลอง
วันที่สอง ปรากฏมีวัตถุเรืองแสงทรงกลมคล้ายจานบินถึงสามลำ ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เวลา 13.26 น. ของวันที่ 26 พฤศจิกายน 1985 จานบินทั้งสามจับกลุ่มเป็นสามเหลี่ยม บินมุ่งไปทางขั้วโลกเหนือ ด้วยความเร็วที่คำนวณจากจอเรดาร์ได้ประมาณ 280 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นอัตราเร็วที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับความเร็วของจานบินที่ถูกพบเห็นตามพื้นที่ต่าง ๆ ของโลกเท่าที่ผ่านมา
เครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองทะยานสู่ท้องฟ้า เวลา 13.34 น. ห่างจากเวลาที่เห็นจานบินเพียง 8 นาที บินติดตามไปด้วยเรดาร์นำทาง เครื่องบินแต่ละลำมีนักบินหนึ่งคน และเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคอีกสองคน รวมเป็นสามคน ตอนแรกบินขนานกันไปด้วยความเร็ว 520 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะติดตามไปทันจานบินในเวลาไม่กี่นาที
ไม่นานนักเครื่องบินตรวจการณ์ก็ตามมาทัน พวกเขาไล่ติดจนเห็นจานบินทั้งสามอย่างชัดเจน มันเป็นสีส้มปนเทา ลักษณะเหมือนจานสองใบคว่ำประกบกัน แต่ไม่มีส่วนใดที่มองเหมือนหน้าต่างหรือประตูเลย ทั้งลำสีเดียวกันหมดทำด้วยโลหะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองบินแยกจากกันเพื่อประกบจานบินประหลาดสามลำนั้น และได้ส่งข่าวไปยังหอเรดาร์ แต่ปรากฏว่า เมื่อเครื่องบินเร่งความเร็วแยกกันไล่กระหนาบ จานบินทั้งสามกลับเปล่งแสงจ้าเป็นสีเหลืองอ่อนขึ้นมาในทันที และเร่งอันตราเร็วขึ้นถึง 1000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที และแน่นอนว่าการเร่งความเร็วในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ยังไม่มีเครื่องบินหรือยานอวกาศใด ๆ ของชาวโลกสามารถทำได้
เครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองลำของรัฐเซีย เป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ที่มีความเร็วสูงสุดถึงสองเท่าครึ่งของความเร็วเสียง แต่ไม่ว่านักบินทั้งสองจะพยายามเร่งความเร็วตามเท่าไร จานบินทั้งสามก็ยังคงทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ อย่างง่ายดาย แต่หอเรดาร์ก็ยังคงสั่งให้ติดตามต่อไป จนกระทั่งเวลา 13.57 น. จานบินทั้งสามก็หายไปจากจอเรดาร์พร้อมกัน มันหายไป…อย่างลึกลับ
เจ้าหน้าที่หอเรดาร์แจ้งให้นักบินทราบว่าจานบินหายไปแล้ว แต่ยังคงสั่งให้ติดตามไปในทิศทางเดิม จนกระทั่งเวลา 14.01 น. นักบินทั้งสองรู้สึกว่าเครื่องมือต่าง ๆ ของเครื่องบินหยุดทำงาน เกจ์วัดความเร็วตีกลับขณะที่เครื่องบินยังคงอยู่ที่ความเร็วเท่าเดิม มีแต่เครื่องยนต์เท่านั้นที่ยังคงทำงานเป็นปกติ
ครู่ต่อมานักบินทั้งสองลดเพดานบินต่ำลงเพราะเห็นรอยแยกของน้ำแข็งเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้า เหมือนทะเลสาบเล็ก ๆ บนพื้นน้ำแข็ง มองเห็นทะเลสีเขียวคราม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเรื่องที่นับว่าแปลกมากที่น้ำแข็งบริเวณนั้นจะเกิดช่องลักษณะนั้นได้ นับบินทั้งสองจึงตรวจสอบและกำหนดจุดบนแผนที่เพื่อนำกลับไปรายงานศูนย์ทดลอง ซึ่งในขณะบินกลับ นักบินทั้งสองก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อบินออกห่างจากรอยแยกไม่นาน เครื่องมือ เครื่องวัดต่าง ๆ ก็ทำงานต่อไปได้ตามปกติ
เมื่อกลับมาถึงศูนย์ทดลอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคนำภาพจานบินทั้งสาม ภาพถ่ายรอยแยกบนน้ำแข็ง และแผนที่มามอบให้แก่เจ้าหน้าที่ในหอทดลอง หลังจากตรวจสอบพิกัดโดยละเอียด ปรากฏว่า ตรงรอยแยกนั้น เป็นจุดเดียวกันกับที่จานบินหายไปจากจอเรดาร์พอดี
ทุกคนต่างก็สงสัยว่า จานบินเหล่านั้น มุดหายไปใต้น้ำตรงจุดนั้นหรืออย่างไร และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ย่อมหมายความว่า จานบินเหล่านั้นต้องมีฐานทัพอยู่ใต้มหาสมุทรตรงนั้นเป็นแน่ คำถามที่ตามมาคือ หากมันเป็นจานบินจากนอกโลก แล้วมันจะมาพักที่ใต้พื้นน้ำตรงนั้นทำไม หรือว่าอาณาบริเวณนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับห้วงจักรวาล หรือมิติอื่นกันแน่…
—โปรดติดตามตอนต่อไป—
ตอกย้ำความลึกลับอีกรอบค่ะ(หลายรอบแล้ว 55+)
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~