"การกลับมาของแอตแลนตีส" [3]




ว่าด้วยเรืออาร์คและอากาศยาน(ต่อ)

ในการหนีจากน้ำท่วมนั้นคงไมใช่ทุกคนหรอกนะครับ ที่จะมีสิทธิขึ้นนาวาฉุกเฉินนี้เพื่อลี้ภัยไปได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับปัจจุบัน ที่เครื่องบินหรือเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ผู้มีปัญญาพอที่จะเป็นเจ้าของได้ก็คือรัฐหรือบริษัทองค์กรใหญ่ๆเท่านั้น คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆหมดสิทธิขอรับ

ชาวบาบิโลเนียนโบราณยังคงเก็บรักษาความทรงจำในเรื่องของการบินดังที่ผมเขียนถึง ไปแล้วหลายตอนในชุด "นักบินอวกาศยุคโบราณ" พวกเขากล่าวถึงเอทานา นักบินที่ทรงพาหนะเป็นทรงกระบอกปิดผนึก แสดงภาพเอทานาเหินหาวอยู่บนหลังนกอินทรี และอยู่ตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และพี่พาเลงกอ ประเทศแม็กซิโก มีแบบลายที่น่าสนใจบนโลงหินที่นักโบรารคดี รุซ-ลิลเลียร์ได้ค้นพบ มันเป็นลายแบบมายาแสดงภาพคนกำลังนั่งอยู่ในเครื่องยนต์คล้ายจรวด เป็นกรวยจรวดที่ประกอบไปด้วยกลไกอันน่ามหัศจรรย์และชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล ผลสรุปจากนักโบราณคดีคือ ภาพนั้นแสดงแนวคิดตามแบบมายา อันเป็นความทรงจำเกี่ยวกับนักบินอวกาศครับ



ภาพสุดคลาสสิคของปากัล กษัตริย์นักบินชาวมายา


ระเบิดปรมาณู ยานรบ และสงครามก่อนน้ำท่วมโลก
แอตแลนติสเป็นอย่างไรก่อนสมัยน้ำท่วมโลก เราคงซึมซาบกันดีอยู่แล้วจากงานเขียนของเพลโต ลัทธิจักรวรรดินิยมของแอตแลนติส การล่าเมืองขึ้น สงคราม ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความหายนะของอารยธรรมนี้ ยังคงเหลือร่องรอยหลักฐานมาถึงพวกเราคนรุ่นหลังในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย

ในคัมภีร์ "สัมสัปตะกะพธะ" ของอินเดียกล่าวถึงยานอวกาศที่ได้รับแรงขับจากพลังสวรรค์ กล่าวถึงขีปนาวุธที่มีฤทธาและระเบิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าราวกับอาทิตย์นับพัน ดวง ส่วนใน "เมาโสละปุราวะ" ในภาษาสันสกฤต ยังอ้างถึงอาวุธที่พวกเราไม่รู้จัก สายฟ้าเหล็กทูตมรณะยักษ์ซึ่งทำลายล้างเผ่าพันธุ์ทั้งปวงของ วฤศนิส และ อังหกะ ศพของผู้ตายถูกเผาเป็นตอตะโก ผมและเล็บกลายเป็นสีเทา ตึกรามบ้านช่องแตกสลาย ฝูงนกการ่วงหล่นจากท้องฟ้าด้วยขี้เถ้าสีขาว และภายในเวลาไม่ช้านานแหล่งน้ำคลังเสบียงก็ปนเปื้อนด้วยพิษจนไม่สามารถใช้ การได้สิ้น

อเล็กซานเดอร์ กอร์โบฟสกี้ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับโครงกระดูกที่พบบริเวณเมืองโบราณ โมเฮนโจดาโร และ ฮารัปปา ว่า ล้วนแล้วแต่มีกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่มากจนน่าตกใจ ครับ... มันมีค่ามากถึงห้าสิบเท่าจากที่ควรจะมีตามธรรมชาติ ราวกับชาวเมืองทั้งหลายตายด้วยระเบิดปรมาณูเสียอย่างนั้น เขาสรุปว่าเรื่องราวใน "เมาโสละปุราณะ" คงเป็นเรื่องจริงมากกว่าจินตนาการของผู้รจนา ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วในเรื่องของวิมานะอากาศยานของชาวภารตะ โบราณครับ (และคงไม่ว่าอะไรหากจะเอามาขยายรายละเอียดอีกใน Ancient Astronaut Revivited ที่กำลังจะนำมาลง) โดยเล่าถึงเรื่องสงครามในสมัยมหาภารตะที่มีฟากฟ้าเป็นสมรภูมิ รวมทั้งผู้รุกรานที่คัมภีร์เล่มนี้เรียกกันว่าเผ่า Asvin - อัศวิน - แอนแลนติส?


ว่าด้วยเรืออาร์คและอากาศยาน(ต่อ)

ในการหนีจากน้ำท่วมนั้นคงไมใช่ทุกคนหรอกนะครับ ที่จะมีสิทธิขึ้นนาวาฉุกเฉินนี้เพื่อลี้ภัยไปได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับปัจจุบัน ที่เครื่องบินหรือเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ผู้มีปัญญาพอที่จะเป็นเจ้าของได้ก็คือรัฐหรือบริษัทองค์กรใหญ่ๆเท่านั้น คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆหมดสิทธิขอรับ

ชาวบาบิโลเนียนโบราณยังคงเก็บรักษาความทรงจำในเรื่องของการบินดังที่ผมเขียนถึง ไปแล้วหลายตอนในชุด "นักบินอวกาศยุคโบราณ" พวกเขากล่าวถึงเอทานา นักบินที่ทรงพาหนะเป็นทรงกระบอกปิดผนึก แสดงภาพเอทานาเหินหาวอยู่บนหลังนกอินทรี และอยู่ตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และพี่พาเลงกอ ประเทศแม็กซิโก มีแบบลายที่น่าสนใจบนโลงหินที่นักโบรารคดี รุซ-ลิลเลียร์ได้ค้นพบ มันเป็นลายแบบมายาแสดงภาพคนกำลังนั่งอยู่ในเครื่องยนต์คล้ายจรวด เป็นกรวยจรวดที่ประกอบไปด้วยกลไกอันน่ามหัศจรรย์และชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล ผลสรุปจากนักโบราณคดีคือ ภาพนั้นแสดงแนวคิดตามแบบมายา อันเป็นความทรงจำเกี่ยวกับนักบินอวกาศครับ



ภาพสุดคลาสสิคของปากัล กษัตริย์นักบินชาวมายา


ระเบิดปรมาณู ยานรบ และสงครามก่อนน้ำท่วมโลก
แอตแลนติสเป็นอย่างไรก่อนสมัยน้ำท่วมโลก เราคงซึมซาบกันดีอยู่แล้วจากงานเขียนของเพลโต ลัทธิจักรวรรดินิยมของแอตแลนติส การล่าเมืองขึ้น สงคราม ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความหายนะของอารยธรรมนี้ ยังคงเหลือร่องรอยหลักฐานมาถึงพวกเราคนรุ่นหลังในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย

ในคัมภีร์ "สัมสัปตะกะพธะ" ของอินเดียกล่าวถึงยานอวกาศที่ได้รับแรงขับจากพลังสวรรค์ กล่าวถึงขีปนาวุธที่มีฤทธาและระเบิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าราวกับอาทิตย์นับพัน ดวง ส่วนใน "เมาโสละปุราวะ" ในภาษาสันสกฤต ยังอ้างถึงอาวุธที่พวกเราไม่รู้จัก สายฟ้าเหล็กทูตมรณะยักษ์ซึ่งทำลายล้างเผ่าพันธุ์ทั้งปวงของ วฤศนิส และ อังหกะ ศพของผู้ตายถูกเผาเป็นตอตะโก ผมและเล็บกลายเป็นสีเทา ตึกรามบ้านช่องแตกสลาย ฝูงนกการ่วงหล่นจากท้องฟ้าด้วยขี้เถ้าสีขาว และภายในเวลาไม่ช้านานแหล่งน้ำคลังเสบียงก็ปนเปื้อนด้วยพิษจนไม่สามารถใช้ การได้สิ้น

อเล็กซานเดอร์ กอร์โบฟสกี้ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับโครงกระดูกที่พบบริเวณเมืองโบราณ โมเฮนโจดาโร และ ฮารัปปา ว่า ล้วนแล้วแต่มีกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่มากจนน่าตกใจ ครับ... มันมีค่ามากถึงห้าสิบเท่าจากที่ควรจะมีตามธรรมชาติ ราวกับชาวเมืองทั้งหลายตายด้วยระเบิดปรมาณูเสียอย่างนั้น เขาสรุปว่าเรื่องราวใน "เมาโสละปุราณะ" คงเป็นเรื่องจริงมากกว่าจินตนาการของผู้รจนา ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วในเรื่องของวิมานะอากาศยานของชาวภารตะ โบราณครับ (และคงไม่ว่าอะไรหากจะเอามาขยายรายละเอียดอีกใน Ancient Astronaut Revivited ที่กำลังจะนำมาลง) โดยเล่าถึงเรื่องสงครามในสมัยมหาภารตะที่มีฟากฟ้าเป็นสมรภูมิ รวมทั้งผู้รุกรานที่คัมภีร์เล่มนี้เรียกกันว่าเผ่า Asvin - อัศวิน - แอนแลนติส?



ในการหนีจากน้ำท่วมนั้นคงไมใช่ทุกคนหรอกนะครับ ที่จะมีสิทธิขึ้นนาวาฉุกเฉินนี้เพื่อลี้ภัยไปได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับปัจจุบัน ที่เครื่องบินหรือเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ผู้มีปัญญาพอที่จะเป็นเจ้าของได้ก็คือรัฐหรือบริษัทองค์กรใหญ่ๆเท่านั้น คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆหมดสิทธิขอรับ

ชาวบาบิโลเนียนโบราณยังคงเก็บรักษาความทรงจำในเรื่องของการบินดังที่ผมเขียนถึง ไปแล้วหลายตอนในชุด "นักบินอวกาศยุคโบราณ" พวกเขากล่าวถึงเอทานา นักบินที่ทรงพาหนะเป็นทรงกระบอกปิดผนึก แสดงภาพเอทานาเหินหาวอยู่บนหลังนกอินทรี และอยู่ตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

และพี่พาเลงกอ ประเทศแม็กซิโก มีแบบลายที่น่าสนใจบนโลงหินที่นักโบรารคดี รุซ-ลิลเลียร์ได้ค้นพบ มันเป็นลายแบบมายาแสดงภาพคนกำลังนั่งอยู่ในเครื่องยนต์คล้ายจรวด เป็นกรวยจรวดที่ประกอบไปด้วยกลไกอันน่ามหัศจรรย์และชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล

ผลสรุปจากนักโบราณคดีคือ ภาพนั้นแสดงแนวคิดตามแบบมายา อันเป็นความทรงจำเกี่ยวกับนักบินอวกาศครับ


ระเบิดปรมาณู ยานรบ และสงครามก่อนน้ำท่วมโลก

แอตแลนติสเป็นอย่างไรก่อนสมัยน้ำท่วมโลก เราคงซึมซาบกันดีอยู่แล้วจากงานเขียนของเพลโต ลัทธิจักรวรรดินิยมของแอตแลนติส การล่าเมืองขึ้น สงคราม ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความหายนะของอารยธรรมนี้ ยังคงเหลือร่องรอยหลักฐานมาถึงพวกเราคนรุ่นหลังในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย

ในคัมภีร์ "สัมสัปตะกะพธะ" ของอินเดียกล่าวถึงยานอวกาศที่ได้รับแรงขับจากพลังสวรรค์ กล่าวถึงขีปนาวุธที่มีฤทธาและระเบิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าราวกับอาทิตย์นับพัน ดวง ส่วนใน "เมาโสละปุราวะ" ในภาษาสันสกฤต ยังอ้างถึงอาวุธที่พวกเราไม่รู้จัก สายฟ้าเหล็กทูตมรณะยักษ์ซึ่งทำลายล้างเผ่าพันธุ์ทั้งปวงของ วฤศนิส และ อังหกะ

ศพของผู้ตายถูกเผาเป็นตอตะโก ผมและเล็บกลายเป็นสีเทา ตึกรามบ้านช่องแตกสลาย ฝูงนกการ่วงหล่นจากท้องฟ้าด้วยขี้เถ้าสีขาว และภายในเวลาไม่ช้านานแหล่งน้ำคลังเสบียงก็ปนเปื้อนด้วยพิษจนไม่สามารถใช้ การได้สิ้น

อเล็กซานเดอร์ กอร์โบฟสกี้ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับโครงกระดูกที่พบบริเวณเมืองโบราณ โมเฮนโจดาโร และ ฮารัปปา ว่า ล้วนแล้วแต่มีกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่มากจนน่าตกใจ

ครับ... มันมีค่ามากถึงห้าสิบเท่าจากที่ควรจะมีตามธรรมชาติ ราวกับชาวเมืองทั้งหลายตายด้วยระเบิดปรมาณูเสียอย่างนั้น เขาสรุปว่าเรื่องราวใน "เมาโสละปุราณะ" คงเป็นเรื่องจริงมากกว่าจินตนาการของผู้รจนา ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วในเรื่องของวิมานะอากาศยานของชาวภารตะ โบราณครับ

โดยเล่าถึงเรื่องสงครามในสมัยมหาภารตะที่มีฟากฟ้าเป็นสมรภูมิ รวมทั้งผู้รุกรานที่คัมภีร์เล่มนี้เรียกกันว่าเผ่า Asvin - อัศวิน - แอนแลนติส?




เทพแท้หรือเทียม ตำนานหรือประวัติศาสตร์

ภาคสาม: เทพโบราณที่นำมาซึ่งแสงสว่างและอารยธรรม

เพลโตผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการปรัชญาเมธีกล่าวไว้ว่า เขาเคยได้ยินนักบวชอียิปต์กล่าวถึงภัยพิบัติทำลายโลก มีผู้รอดตายจากน้ำท่วมมากมายเหมือนกัน หากแต่ยังขาดบันทึกยืนยันที่ชัดเจน ในไม่ช้า เรื่องราวทั้งหลายจึงหายสาบสูญไปพร้อมๆกับการล้มหายตายจากของผู้คนเหล่านั้น

ย้อนมองไปถึงเรื่องของแอตแลนติส ภัยพิบัติระดับนั้นย่อมทำให้ผู้คนแตกสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก ศูนย์กลางของอารยธรรมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมล้วนสูญสิ้น แหงสิครับ

เจออีแบบนี้ ใครจะมีกะใจมานั่งทำบันทึก จารึก หรือภาพเขียนในช่วงเวลาร้อยสองร้อยปีแห่งการเอาตัวรอดเช่นนั้น คงเหลือเพียงเรื่องราวเล่าผ่านปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น จนแม้ข้อเท็จจริงบางประการก็ได้ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา

สุดท้าย รายละเอียดที่คนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้พบ ก็มีเพียงแต่ศิลปะการเขียนที่บันทึกตำนานเอาไว้อย่างถาวรบนแผ่นหิน หรือ ปาปิรัสเท่านั้นเอง

เป็นธรรมดาใช่ไหมล่ะครับว่า เรื่องเล่าตกทอดที่นานจนกลายเป็นนิทานปรัมปรานั้น ส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเร้าความสนใจของผู้ฟังนั้นก็คืออภินิหาร เป็นไปได้ไหมว่า กลุ่มคนหลังน้ำท่วมโลกนี้ได้กระจายกลายไปเป็นเทพเจ้าในสายตา ของคนรุ่นหลัง สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งของพวกเขา คือ อยู่ในฐานะของผู้ให้แสงสว่างทางอารยธรรม

หลายๆ ชนชาติมีจุดร่วมที่คล้ายกันมากๆ เช่น การปลูกฝังให้บูชาพระอาทิตย์ การสั่งสอนศาสตร์ทั้งปวงอันได้แก่ เกษตรกรรม สถาปัตยกรรม การแพทย์ และศาสนา โดยหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดนั้น เราได้มาจากจารึกแผ่นดินเหนียวของดินแดนทางตะวันออกกลาง

หลักฐานดังกล่าวคือ พงศาวดารของซูเมอร์หรือชาวสุเมเรียน ซึ่งพงศาวดารดังกล่าวได้ให้รายนามของกษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดินหลังสมัยน้ำท่วมโลก แน่นอนครับ พงศาวดารนี้ถูกนักโบราณคดีเยาะเย้ยถากถางว่าเป็นรายชื่อที่อิงมาจากนิทาน จะเอาไปอ้างอิงเชิงประวัติศาสตร์อะไรได้

ในบรรดารายชื่อทั้งหลายของกษัตริย์สุเมเรียนนั้น มีอยู่หลายองค์ที่มีเครื่องหมายกำกับว่าทรงเป็นเทพหรือกึ่งเทพ นอกจากนี้ช่วงเวลาของพงศาวดาร ยังครอบคลุมถึงกษัตริย์ทุกองค์ในราชวงศ์แรกหลังน้ำท่วม อันเป็นระยะเวลายาวนานถึงสองหมื่นสี่พันกว่าปี

อย่าว่าแต่นักโบราณคดีเลยครับ กับคนช่างฝันบางคนก็ยังเหลือเชื่อจนอดที่จะคลางแคลงใจไม่ได้กับหลักฐานเหล่า นั้น

ต่อมาเซอร์เลียวนาร์ด วูลลีย์ นักโบราณคดีได้ค้นพบอารามแห่งหนึ่งที่ภูเขาอัลอูไบด์ ใกล้กับนครโบราณอูร์ ซึ่งพบหลักฐานและข้อความแสดงการมีอยู่จริงของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 3 ของนครอูร์ ข้อความนั้นกล่าวถึงการอุทิศอารามให้กับเทพเจ้าและปวงชน

ซึ่งสิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่า การละเลยหลักฐานบางอย่าง เช่น ตำนานหรือนิทานพื้นบ้านนั้น อาจทำให้เราพลาดห่วงโซ่สำคัญในการโยงใยประวัติศาสตร์ยุคก่อน รวมถึงการค้นพบสิ่งที่มีอยู่จริงหลายๆสิ่งที่เมื่อก่อนเข้าใจกันว่ามีอยู่ เพียงแต่ในนิทานเท่านั้น กรุงทรอยและนครไมซินี่ รวมถึงสุสานของมหาจักรพรรดิ์จิ๋นซีฮ่องเต้เป็นตัวอย่างที่ดีของกรณีดังกล่าว ครับ

ยูโฟเทมุส (ปราชญ์สมัย 2 BC) กล่าวถึงนครบาบิโลนว่า นครนี้เป็นหนี้บุญคุณการสร้างของเทพเจ้ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งรอดชีวิตจากภัยพิบัติในอดีตโดยกษัตริย์แห่งซูเมอร์ ถือกันว่าเป็นทายาทโดยตรงของผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ และจากนั้นพระเจ้าก็ส่งกษัตริย์ลงมาเพื่อกอบกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์ กษัตริย์เทพองค์รแกที่ได้รับการจารึกพระนามคือ คันกิ โอรสของเทพเจ้านินซันครับ

ว่ากันว่า ผู้รอดตายจากน้ำท่วมใหญ่ได้กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆของโลก และมักกลายเป็นเทพเจ้าผู้ปกครองดินแดนนั้นๆอยู่เสมอ พวกเขากลายเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ถูกยกย่องโดยชนพื้นเมือง เช่น ชาวอินคาบูชากษัตริย์ว่า เป็นโอรสแห่งพระอาทิตย์

หรืออียิปต์โบราณ ที่เชื่อว่า ในอดีตถูกปกครองโดยพระเจ้า ที่ลงมาอาศัยอยู่บนผืนดินกับเหล่ามนุษย์ และมีโฮรัสโอรสของโอสิริสเป็นกษัตริย์เทพองค์สุดท้ายที่นั่งบัลลังก์อียิปต์

โดยปาปิรัสตูรินบันทึกเอาไว้ว่า กษัตริย์เทพของราชวงศ์ที่หนึ่งแห่งอียิปต์ ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อ 9,850 ปีก่อนคริสตกาล




ส่วนในจีน ได้มีการบันทึกกล่าวถึงราชาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันได้แก่ เทียนหวง ตี้หวง และเหยินหวง อันหมายถึงราชาแห่งสวรรค์ ราชาแห่งผืนดิน และราชาแห่งมนุษย์ตามลำดับ ราชาเหล่านี้หอบเอาอารยธรรมสูงส่งอันมีที่มาที่ไปไม่แน่ชัดมาสู่ชาวจีน และหายไปกับคลื่นแห่งประวัติศาสตร์อย่างไร้ร่องรอย

เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าและทายาทแห่งพระเจ้าที่มีอยู่ทั่วไปในขอบข่ายและช่วง เวลาอันยาวนานไร้ที่สุดของกาลเวลา เสียดายครับที่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวทั้งหลายได้ถูกเอาไปปะปนกับเทพนิยายและไสยศาสตร์ ความทรงจำอันรางเลือนจากบรรพชนเหล่านี้ มีทางที่จะฟื้นขึ้นมาให้ความกระจ่างแก่พวกเราหรือไม่หนอ...

ตัวอย่างของเทพแห่งวัฒนธรรม

ใครที่ดู The Mummy คงจำคัมภีร์ที่ชื่อ The Book Of The Dead ได้นะครับ ในคัมภีร์แห่งความตายเล่มนี้กล่าวถึงบันทึกของธ็อธ - - เทพแห่งวรรณคดีและความรู้ อันมีสถานที่กำเนิดอยู่ในดินแดนห่างไกลทางตะวันตก ที่นั่นมีนครริมทะเลและมีภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก

วันหนึ่งมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในดินแดนของธ็อธ ที่จู่ๆพระอาทิตย์ก็ได้ดับมืดลง แม้แต่เทพอย่างธ็อธก็ยังอับจนปัญญากับสถานการณ์เช่นนี้ พระองค์ทรงนำประชากรข้ามน้ำไปยังดินแดนทางตะวันออก เนื้อหาของคัมภีร์โบราณของชาติที่เจริญผิดยุคอย่างอียิปต์นี้ อ่านแล้วพอจะคิดถึงแอตแลนติสกันบ้างไหมครับ?

 

    Thot เทพบรรพชนแห่งอียิปต์โบราณ

             

เอล. ฟิลิโบฟฟ์ นักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาวอัลเจียรส์ ได้พบข้อเท็จจริงอย่างใหม่ในข้อความในปิระมิดระหว่างราชวงศ์ที่ 5-6 เป็นเรื่องของเทพธ็อธผู้ทรงเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ราศีพิจิก พิลิโบฟฟ์จึงสรุปว่า ในยุคที่อารยธรรมของพระเจ้าปรากฏขึ้นในอียิปต์เป็นเวลาเมื่อเวอร์นัล อิควิน็อกซ์อยู่ในราศีพิจิก หรือเมื่อประมาณ 7,256 BC

(ใกล้เคียงกับที่ Sitchin คาดการณ์เอาไว้ครับ แต่ขัดแย้งกันทางแนวคิด หนึ่งว่ามาจากแอตแลนติส หนึ่งว่ามาจากอวกาศ อ่านรายละเอียดได้ในเรื่องพระเจ้าจากอวกาศนะครับ)

นอกจากอียิปต์แล้ว เฮอร์เมสแห่งกรีก (เมอร์คิวรี่นั่นแหละครับ ในภาษาโรมัน) ก็เป็นเทพผู้นำวัฒนธรรมมาสู่มวลมนุษย์ เฮอร์เมสได้สอนมนุษยชาติให้รู้จักกระบวนการทางตรรกะ การดูดาว เล่นพิณ วิชาแพทย์ และการหลอมโลหะ

เฮอร์เมสมักจะมีปีก หมวกและถือคาดูซิอุสหรือคทาที่มี "งูสองตัวพันกันและมีปีก" อันเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสารจากทูตแห่งเทพเจ้าบนสวรรค์

ตามตำนานแล้ว เฮอร์เมสเป็นบุตรของเซอุสและไมอา คำว่า Hermes ในภาษากรีกหมายถึงผู้ตีความ และเป็นที่น่าสังเกตนะครับที่เฮอร์เมสเป็นหลานของเทพแอตลาส (ซึ่งเป็น บรรพบุรุษแห่งแอตแลนติส?)

                

 (ตัดบทความมาเป็นตอนๆนะคะ เพื่อความสะดวกในการอ่านค่ะ :D)

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

Credit: Aqua-ma-rine
9 ก.ย. 54 เวลา 12:11 4,119 2 70
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...