ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
หมอเตือนภัยอันตรายจากขวดนมเด็กที่ทำมาจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนตพบสาร
"พีเอบี" ที่อาจปนเปื้อนในน้ำนม ส่งผลต่อระบบประสาทและระบบสืบพันธุ์ของเด็กเล็ก
พ.ญ.รัชดา เกษมทรัพย์ กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (ร.พ. เด็ก)
เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการควบคุมการผลิตขวดนมพลาสติกสำหรับทารกและ
เด็กเล็กขึ้น หลังพบว่า พลาสติกที่ใช้ผลิตขวดนมซึ่งก็คือ พลาสติกโพลีคาร์บอเนตนั้น มี
สารเคมี "บีพีเอ" ที่อาจปนเปื้อนมากับน้ำนมได้
ทั้งนี้ มีผลวิจัยจากยุโรปเมื่อปี 2551 ที่ได้ให้สัตว์ทดลองกินนมจากขวดนมที่
ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่า สารดังกล่าวมีผลไปกระทบต่อ
ระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ทดลอง โดยพบว่า ไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน
ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง รวมถึงมีผลต่อการผลิตอสุจิได้น้อยลงด้วย และจากผลการ
วิจัยกับคน พบว่า อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบประสาทและพฤติกรรม
ของทารกและเด็กเล็ก รวมไปถึงการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ด้วย ทำให้หลายประเทศ
ออกประกาศห้ามผลิตและจำหน่ายขวดนมที่ผลิตจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนตไปแล้ว
ส่วนในประเทศไทยนั้น พบการจำหน่ายขวดนมที่ผลิตจากโพลี
คาร์บอเนตในท้องตลาดมากกว่าร้อยละ 80 และได้นำขวดนมดังกล่าวมาสุ่มตรวจ
หาสารเคมีบีเอพี ซึ่งพบว่า สารเคมีดังกล่าวได้ปนเปื้อนมาในน้ำนมเช่นกัน และยัง
พบด้วยว่า ยิ่งอุณหภูมิของน้ำสูงเท่าใดก็จะยิ่งทำให้สารเคมีออกมาปนเปื้อนได้
มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่มีการวิจัยในตัวทารกว่ามีสารเหล่านี้ตกค้างใน
ร่างกายหรือไม่ แต่ในประเทศเกาหลี และไต้หวัน เคยทดลองวิจัยปัสสาวะของเด็กทารกที่
ดื่มนมจากขวดนมที่ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนต พบมีสารเคมีบีพีเอปนเปื้อนออกมา
เช่นกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง พ.ญ. รัชดา จึงได้ออกมาเตือนว่า อยากให้พ่อแม่ เลือกซื้
อขวดนมที่ผลิตจากพลาสติก พลีพรอพพีลีน หรือพีพี มากกว่า โดยสังเกตง่าย ๆ คือ ให้
สังเกตข้างขวดจะเขียนว่า บีพีเอ ฟรี หรือบีบี หรือสังเกตก้นขวดนมจะมีสัญลักษณ์เลข 5
ตรงกลางและมีรูปลูกศรล้อมรอบ แต่หากเป็นขวดนมที่ผลิตจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนต
บริเวณก้นขวดจะมีสัญลักษณ์เลข 7 อยู่ตรงกลางมีลูกศรล้อมรอบ
อย่างไรก็ตาม น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ในเรื่องการสั่งควบคุมการผลิตขวดนมนี้ อย.ไม่ได้มีอำนาจ
โดยตรง ดังนั้นจึงต้องนำผลวิจัยที่เกี่ยวกับสารบีพีเอเสนอไปยังสำนักงานมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. เพื่อออกตราสัญลักษณ์ มอก.ให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน
การรับรอง ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ของ สมอ.ที่จะพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป โดยทาง
อย.ทำได้เพียงเสนอข้อมูลทางวิชาการเท่านั้น