:: มหาภัยจากฟากฟ้า ::
ว่ากันว่าร่องรอยของความเจริญของมนุษย์ในทวีปต่างๆ โดยเฉพาะทวีปอเมริกา ได้หายหรือชะงักไปอย่างไม่มีใครคาดคิดเมื่อ 10,400 ปีก่อน อะไรกันแน่ครับที่เป็นสาเหตุของการหยุดชะงักทางอารยธรรมแบบนี้ คำตอบทั้งหมดดูเหมือนจะชี้ไปยังจุดเดียวกัน นั่นคือ "น้ำท่วมโลก" ในตำนาน
ปริศนาของชาวบาสค์
บาสค์คือชนเผ่าที่เคยอาศัยอยู่ในทวีปยุโรป พวกเขามีตำนานเรื่องน้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้และภัยพิบัติจากสงคราม บรรพบุรุษของพวกเขาได้ซ่อนตัวหลบภันอยู่ในถ้า จนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ เรื่องราวที่น่าสนใจของชนเผ่านี้คือห่วงครับ ห่วงที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่ชี้ทำให้นักโบราณคดีเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมชนเผ่าเล็กๆ ในทวีปยุโรป จึงไปมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมโบราณในอเมริกาได้อย่างน่าทึ่งขนาดนี้
ตัวอย่างเช่น ภาษาของชาวบาสค์มีความใกล้เคียงกับภาษาถิ่นอินเดียนอเมริกันอย่างยากจะ อธิบายได้ มิชชันนารีชาวบาสค์ได้เทศนาชาวอเมริกันอินเดียนในกัวเตมาลาด้วยภาษาของตน และผู้คนเหล่านั้นก็ดันเข้าใจเสียด้วยสิ
แม้จะอยู่กันคนละด้านของมหาสมุทร พวกเขากลับมรความเชื่อทางศาสนาที่ใกล้เคียงกัน ชาวบาสค์นับถือพญางูเจ็ดเศียรที่ชื่อ เอเรน ซูเก คล้ายกับชาวแอซเท็คโบราณที่นับถือพญางูบิน การนับของชาวบาสค์โบราณก็เป็นจำนวนนับแบบยี่สิบไม่ใช่สิบ
ซึ่งก็ตรงกับการนับของชาวอเมริกากลางโบราณอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะชาวมายา ในทำนองเดียวกันชาวบาสค์ได้มีการละเล่นลูกบอลที่ชื่อ "ไจ อะไล" โดยการผูกตะกร้าติดกับแขนคล้ายคลึงกันกาบเล่นของชาวมายาที่เรียกกันว่า "โพลอะโทก"
ชาวบาสค์ยังนับเป็นชาวยุโรปตะวันตกพวกเดียวที่ไม่ล่าสัตว์ และรักษาวัฒนธรรมการเต้นรำดั้งเดิมของบรรพชนเอาไว้ พวกเขายังเชื่อในความอมตะของร่างที่ไม่ได้ฝัง อันเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกันกับชีวิตหลังความตายของชาวอินคาและชาว อียิปต์โบราณ
ซึ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงวัฒนธรรมเล็กๆน้อยๆเช่นการโพกศีรษะ ที่มีอยู่เหมือนกันทั้งในชาวบาสค์และคนโบราณในทวีปอเมริกากลาง
น่าคิดไหมครับว่า พวกเขาอาจมีจุดกำเนิดหรือบรรพบุรุษร่วมกัน?
บาลเบ็ค อารยธรรมก่อนหน้ากรีกและโรมัน ที่ไม่มีใครทราบที่ไปที่มา
วันพิพากษาและวันโลกาวินาศ
จากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณทำให้เราทราบว่า "นู" เทพเจ้าแห่งน้ำทรงแนะนำให้โอรสของพระองค์คือ "รา" ให้ทำลายล้างมวลมนุษย์เมื่อชาติต่างๆหันมารวมหัวกันทรยศเทพเจ้า (รายละเอียดอยู่ในเรื่องของหอคอยบาป - - บาเบล และสงครามปิระมิด)
เราอาจสรุปเรื่องราวจากเทพตำนานเหล่านั้นออกมาได้ว่า การทำลายล้างมนุษย์สามารถสำเร็จลงง่ายๆด้วยน้ำท่วมโลกจาก "นู" เทพแห่งมหาสมุทรนี่เอง
ปาปิรัสโบราณสมัยราชวงศ์ที่ 12 ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่เลนินกราด ได้ระบุถึงเกาะแห่งหนึ่งนามว่าเกาะงูใหญ่ ความว่า
"เมื่อเจ้าจากที่แห่งนี้ไปแล้ว เราจะไม่พบเกาะนี้อีก เพราะที่แห่งนี้จะมลายหายไปกับคลื่นในมหาสมุทร"
ปาปิรัวนี้ ยังบรรยายถึงอุกกาบาตที่ตกลงมาและน้ำท่วมใหญ่ ความว่า
"เมื่อดาวร่วงจากสวรรค์และเปลวไฟลามเลียทุกสิ่งอัน สิ่งทั้งมวลก็ไหม้ไฟ แต่กระนั้น... ข้าฯ รอดพ้นมาได้แต่ผู้เดียว เมื่อข้ามองเห็นศพกองเป็นภูเขา ข้าก็แทบจะสิ้นใจด้วยความโศกาอาลัย..."
แม้ว่าเราๆ ท่านๆ จะยังนึกภาพของมหาภัยพิบัติซึ่งทำลายอารยธรรมแอตแลนติสลงอย่างฉับพลันไม่ออก แต่นิทานพื้นบ้านและจารึกของคนโบราณหลายชาติก็พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้อย่าง ถูกต้องตรงกัน
จนยากที่เราจะมองเพียงแค่ว่านี่คือผลพวงของคำๆหนึ่งซึ่งสะกดว่าบังเอิญ หรือถูกเล่าขานสืบต่อกันมาจากชาติสูชาติภายใต้กระบวนการของการแลกเปลี่ยนทาง วัฒนธรรม เอาแค่ตัวอย่างง่ายๆ ที่เรารู้จักกันดีสักสองสามตัวอย่างก็ได้ครับ
มหากาพย์กิลกาเมชของชาวสุเมเรียน มีรายละเอียดของน้ำท่วมโลกและความวินาสของอารยธรรมโบราณ สิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างน่าสนใจและน่าจะถูกต้องตามความเป็นจริงก็คือ
"ความอดอยากทำลายโลกมากกว่าน้ำท่วมใหญ่"
ส่วนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเล่า มีเรื่องของโนอาห์และเรืออาร์คที่ถูกกล่าวถึงอย่างถูกต้องตรงกัน และที่น่าสังเกตมากก็คือเรื่องราวของ เอโนช ผู้มาเตือนโนอาห์ถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมาและภายหลังได้ขึ้นสวรรค์ไปทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
(Book Of Enoch เป็นหนังสือโบรารอีกเล่มหนึ่งที่ฮือฮากันมากครับ เพราะว่ากันว่าเนื้อหาของหนังสือโบราณเล่มนี้นั้น กล่าวถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวและการเดินทางสู่ห้วงอวกาศอย่างชัดเจน)
โดยเอโนชได้ให้ข้อคิดกับโนอาห์ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็น "ไฟทางตะวันตก" และ "ทะเลอันกว้างใหญ่ทางตะวันตก"
หลังจากน้ำท่วมสิ่งที่ตามมาก็คือความอดอยากและโรคระบาด
เมื่อประมาณพันแปดร้อยปีก่อน ลูเซียนได้บันทึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงว่า เรื่องน้ำท่วมใหญ่นั้นมีอยู่อย่างแน่นอนในโลกยุคโบราณ กล่าวคือนักบวชแห่งบาลเบ็ค ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเลบานอน
มีพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นการรินน้ำจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่รอยแตกใกล้วิหาร เพื่อตรึงความทรงจำเรื่องการช่วยชีวิตของเทพดูคาเลียนไว้ตลอดไป พิธีกรรมนี้อาจเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือความทรงจำพื้นบ้านเกี่ยวกับน้ำท่วม ใหญ่ก็เป็นได้
นิทานของพวกบุชเมนได้ กล่าวถึงเกาะขนาดมหึมาอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา แต่ต่อมาก็จมอยู่ใต้น้ำ นี่เป็นหนึ่งในตำนานจำนวนมากหลายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของแอตแลนติส ตำนานของน้ำท่วมโลกมีอยู่ในทุกทวีป
โดยเฉพาะทั้งสองฝั่งของมหาสมทุร ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเรื่องปกติถ้าหากเราถือเอาว่า ครั้งหนึ่งแอตแลนติสนั้น เคยเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่าง ยุโรป แอฟริกา และอเมริกา
ชนชาติที่เจริญก้าวหน้าอย่าน่าพิศวงของโลกโบราณ เช่นชาวมายาหรืออียิปต์ ล้วนแล้วแต่มีตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกนี้ และจากการศึกษานิทานพื้นบ้านของชาวอเมริกันอินเดียนโลยละเอียดแล้ว
ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า มีชนเผ่าอเมริกันอินเดียนกว่า 130 เผ่าเลยทีเดียวที่มีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกที่คล้ายคลึงกัน ถูกเล่าสืบต่อกันมาจากยุคบรรพบุรุษ
แล้วตำนานเหล่านี้มันเชื่อถือได้แค่ไหน? เป็นแค่นิทานหรือเปล่า?
คำถามทำนองนี้มีขึ้นอยู่บ่อยๆ และคงเป็นคำถามที่ได้รับคำตอบมาแล้วหลายๆครั้งว่า นิทานนั้นมันไม่ใช่แค่นิทาน นับตั้งแต่การค้นพบเมืองโบราณโมเฮนโจ ดาโร และ ฮารัปป้า บริเวณลุ่มน้ำสินธุ หรือการค้นพบเกาะครีต พบนครทรอย
สิ่งเหล่านี้ไม่เคยย้ำเตือนใจพวกเราเลยหรอกหรือว่า ในบางครั้งนิทานกลับเป็นประวิติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ในกรณีของแอตแลนติสนั้นจะจัดเข้าแนวเดียวกับเคสดังๆในอดีตเหล่านี้ได้หรือ ไม่ การค้นคว้าและเวลาอาจจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับพวกเราได้ในไม่ช้านี้
แค่น้ำท่วม อาจจะยังไม่พอ...
หมายความว่าอย่างไรงั้นหรือครับ ผมอยากจะสะกิดความทรงจำของพวกเราอีกสักนิดว่า จริงอยู่ทฤษฎีเรื่องการเคลื่อนที่ของแกนโลกและธารน้ำแข็ง จะสามารถอธิบายเรื่องของแอตแลนติสในอดีต ได้อย่างสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่... แค่นี้จะเพียงพอหรือครับ? สำหรับภัยพิบัติที่แทบทำลายอารยธรรมโบราณลงจนไม่เหลือซาก
และสาเหตุของมันล่ะ? เกิดจากอะไรกันแน่ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังกังขากับข้อนี้อยู่ เนื่องจากแม้จะรู้อาการแต่กลับไม่รู้สาเหตุว่างั้นเหอะ ที่ตั้งทฤษฎีกันไปส่วนใหญ่ก็จะมองขึ้นไปบนฟ้า มองหาอุกกาบาตหรือดาวหางที่พุ่งตรงลงมาชนโลกในตอนนั้นพอดีครับ
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกัน อย่างน้อยๆการชนกับอุกกาบาตก็นับเป็นสาเหตุการเคลื่อนของเปลือกโลกได้เหมือน กัน และในความเป็นไปได้ทางดาราศาสตร์ โอกาสที่วัตถุแปลกปลอมสักชิ้นจะพุ่งเข้ามาชนโลกของเรานั้น มันก็มีอยู่สูงมากๆเสียด้วยสิ ภัยพิบัติในครั้งกระโน้นทำเอาโลกถึงกับพลิกกลับ
(ลองหาเรื่องราวที่เกี่ยวกับ Pole Shift หรือ Pole Round มาอ่านกันนะครับ)
หรืออย่างน้อยก็เสียศูนย์ไปพอสมควร เราลองมาดูกันหน่อยดีไหมครับว่า นักวิทยาศาสตร์เค้าเอาหลักฐานที่ไหนมายืนยันสมมุติฐานข้อนี้ของพวกเขา
ศาสตราจารย์ เอ็น. เอช. เวตชินกิน ได้ให้ข้อสงเกตเกี่ยวกับสาเหตุของการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส และการเกิดน้ำท่วมโลกเอาไว้ว่า
"สาเหตุของการเกิดภัยพิบัติครั้งนั้น น่าจะมาจากการที่มีอุกกาบาตขนาดมหึมาพุ่งเข้ามาชนโลก มากกว่าการที่เปลือกโลกจะเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ที่เราไม่เห็นร่องรอยการชนของมันในปัจจุบัน เพราะมันไม่ได้ตกลงในที่ที่เราสามารถมองเห็นได้" ท่านโปรเฟสเซอร์กล่าว
"ร่องรอยของอุกกาบาต เราสามารถเห็นได้ชัดเจนบนดวงจันทร์ ปล่องอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสองร้อยกิโลเมตร ในขณะที่บนโลกร่องรอยที่ใหญ่ที่สุดกลับกว้างเพียงสามกิโลเมตรเท่านั้น
มีความเป็นไปได้สูงที่อุกกาบาตจะตกลงในทะเล ทันทีที่มันตกกระทบมหาสมุทร จะก่อให้เกิดคลื่นสูงที่ไม่เพียงทำลายล้างสัตว์และพืชเท่านั้น แต่ยังสามารถกวาดภูเขาสูงต่างๆให้ราบพณาสูรไปได้อีกด้วย"
มหันตภัยจากอุกกาบาตยักษ์คราวนั้น คงรุนแรงเหลือที่จะเอ่ย..
นึกภาพออกกันไหมครับ? ถ้านึกไม่ออกขอให้ลองทบทวนถึงภาพของมหันตภัยทำลายโลกจากหนังของสปีลเบิร์ กที่ชื่อ Deep Impact สิครับ คลื่นยักษ์ที่เกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางสามารถสร้างความเสียหายกับโลกได้ ราวๆ หรือมากกว่าภาพยนตร์นั่นแหละ
และหากเรานำมาผนวกกับเรื่องราวแบบปรำปรา ที่ถูกถ่ายกันผ่านปากต่อปากของคนโบราณแล้ว ความเสียหายที่เกิดมันตรงกับขอบเขตและคุณลักษณะตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดคะเน ไว้พอดีเลย
เนื้อหาของน้ำท่วมโลกยัง สามารถนำมาปะติดปะต่อได้อีก หากเราขยายขอบเขตการศึกษาไปยังโซนตะวันออกของโลก คลื่นยักษ์ในแอตแลนติคจะมีผลทำให้เกิดน้ำลดในอีกฟากของโลก นั่นคือบริเวณที่เป็นมหาสมุทรแปซิฟิคในปัจจุบัน ในบันทึกเก่าแก่ของชาวจีนกล่าวถึงเวลาที่ท้องฟ้าตกลงในทางทิศเหนืออย่างฉับ พลัน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวบนท้องฟ้าต่างพากันเปลี่ยนวิถีโคจรหลังโลกสั่นสะเทือน
ซึ่งแน่นอนว่า เราสามารถเอาคำอธิบายทางดาราศาสตร์มาอธิบายเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างตรง เป๊ะ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดกัน ในอียิปต์ แผนที่ดาวสองชิ้นในหลุมศพของเซนเมาธ์ สถาปนิกของราชินีฮัตเซปชูต ได้กล่าวถึงแผนที่ดาวอันแปลกประหลาด
โดยทิศหลักนั้นอยู่ตรงกับแผนที่ทางดาราศาสตร์ แต่ทิศอื่นๆนั้นกลับตาลปัตกันหมด ราวกับว่าโลกเราได้เคยเคลื่อนตัวมาก่อนเสียอย่างนั้น และในบันทึกเก่าแก่อื่นๆเช่น ฮาร์รืส ปาปิรัส, เฮอร์มิเทจ ปาปิรัส, รวมไปถึง อิปูเวอร์ ปาปิรัส ที่ ดร.อิมมานูเอล เวลิคอฟสกี้นำมากล่าวอ้าง ก็ล้วนกล่าวตรงกันว่าโลกเคยสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงจะแทบจะกลับพลิก ด้านมาแล้ว
ครับ...ไม่ว่าจะเกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหาง ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นก็น่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการถึง แม้ในปัจจุบันความเสี่ยงดังกล่าวก็ยังมีอยู่ สมมุติแค่อุกกาบาตลูกเท่าเกาะภูเก็ตตกลงในมหาสมุทร เพียงเท่านั้นก็พอแล้วล่ะครับที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ล้างโลก อย่าว่าแต่ลูกที่มันใหญ่กว่านั้น...
:: ว่าด้วยเรืออาร์ค และอากาศยานอื่นๆ ::
ภาคที่สอง: การอพยพและอาณานิคม
นิทานปรำปราว่าด้วยน้ำท่วมโลก มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกวัฒนธรรม มีมากเสียเกินกว่าจะเกิดจากความบังเอิญ หรือเกิดจากการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม เพราะชนชาติที่อยู่กันคนละซีกโลกอย่างชาวบุชเมนในแอฟริกา หรือชาวเอสกิโมในแถบขั้วโลก ยังมามีตำนานที่ต้องตรงกันได้
เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นความทรงจำในอดีตที่ถุกถ่ายทอดกันมามากกว่าอย่างอื่น และที่สำคัญ ความทรงจำในช่วงนั้นคงน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ความทรงจำของคลื่นลูกเท่าภูเขา พายุและภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นพร้อมกันทั่วโลก
...รวมทั้งอารยธรรมที่มาถึงจุดหยุดนิ่ง และมนุษยชาติที่เหลืออยู่ก็ได้กลับสู่ความป่าเถื่อนอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าสูงสุดกับคืนสู่สามัญแบบในหนังจีนนั่นเองครับ
ว่าจะไม่เอาเรื่องเก่าๆมาพูดซ้ำ แต่ก็ต้องเล่ากันอีกจนได้ เพราะไม่มีตัวอย่างใดที่ดีกว่านี้มาสนับสนุนแล้ว เรื่องที่ว่าก็คือตำนานของ "น้ำท่วมโลก" ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องจริงกันล่ะครับ เพราะ "ทั่วโลก" มีตำนานเรื่องนี้ตรงกันหมด
เช่นตำนานของชาวสุเมเรียน - มหากาพย์กิลกาเมช กล่าวถึงอุตนาปิชทิมบรรพบุรุษคนแรกของมนุษยชาติ เขาและครอบครัวเป็นผู้รอดตายจากน้ำท่วมครั้งนั้น โดยได้ช่วยชีวิตของคน สัตว์ และนก ขึ้นเรืออาร์คหนีภัยจากน้ำท่วมโลก
"อาร์ค เรืออาร์คของโนอาห์น่ะเรอะ?"
แม่นแล้วครับ เรืออาร์คลำเดียวกันนั่นแหละ เพราะเรื่องของโนอาห์ในไบเบิ้ลเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงเขียนขึ้นมาภายหลังจากยุคสมัยของชาวสุเมเรียน เอาหลักฐานอีกสักเรื่องไหม? คัมภีร์ "เซ็นต์อเวสตา" ของอิหร่าน
กล่าวถึงผู้อาวุโสแห่งเปอร์เซียที่ได้รับคำสั่งจากเทพอาหุรมาซดา (เทพโบราณแห่งลัทธิบูชาไฟโซโรอัสเตอร์) ให้เตรียมพร้อมการอพยพภัยจากน้ำท่วมโลก ดังนั้นจึงมีการสร้างอุโมงค์ใหญ่ บรรจุสัตว์และพืชที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และปิดเอาไว้ในช่วงมีภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ อารยธรรมจึงยังคงหลงเหลืออยู่ได้ภายหลังน้ำท่วมใหญ่ได้จบลง
ในมหาภารตะของอินเดีย ได้เล่าถึงพระพรหมแปลงกายเป็นปลา เตือนพระมนูเรื่องน้ำท่วมโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยคำแนะนำที่พระมนูได้รับนั้นคือการ
"พาฤาษีทั้งเจ็ด และเมล็ดพันธุ์นาๆ ชนิดลงเรือ เก็บรักษาไว้ให้จงดี"
พระมนูทำตามคำสั่งของพระพรหมและลงเรือใหญ่ผ่านมหันตภัยนับเป็นปีๆ จนกระทั่งจอดบนเทือกเขาหิมาลัย โดยจุดที่พระมนูขึ้นฝั่งนั้นเรียกว่าอารยวรรต
(คิดถึง Ararat ยอดเขาที่โนอาห์ขึ้นฝั่งกันบ้างไหม?)
เป็นไงครับ ความคล้ายคลึงกันของเรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงแค่ เรื่องของความบังเอิญเสียแล้ว แต่น่าจะเป็นเรื่องจรงิที่ชัดเจนที่ถูกถ่ายทอดต่อๆกันมา ถึงมหันตภัยครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก
ว่าแต่ว่า มนุษย์นั้นหนีจากน้ำท่วมโลกครั้งนั้นได้อย่างไรกัน? สองสิ่งที่จะหนีพ้นกระแสน้ำได้ก็คือทางเครื่องบินและเรือเดินทะเล ครับ... ฟังดูแล้วอาจจะเพ้อฝันไปหน่อย แต่หลักฐานทั้งหลายที่คนรุ่นหลังได้ค้นพบมันชี้นำไปว่า มีความเป็นไปได้ที่สมัยโบราณนั้น มนุษย์มีอากาศยานใช้กันแล้ว และใช้เป็นวิธีการหลักในการหนีน้ำท่วมโลกเสียด้วยสิครับ
เช่น ตำนานของชาวเอสกิโม กล่าวถึงนกเหล็กขนาดยักษ์ที่พาพวกเขาหนีน้ำไปทางเหนือ สู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง นี่มิได้หมายถึงการบอกเล่าเรื่องราวของอากาศยานก่อนยุคประวัติศาสตร์ดอกหรือ ครับ?
เมื่อน้ำลดลง "โนอาห์" ของแต่ละชาติ ก็ขึ้นฝั่งกันบนยอดเขา...
ชาวพื้นเมืองของดินแดนทางตอนเหนือของออสเตรเลีย มีเรื่องของน้ำท่วมโลกและคนกึ่งนก คะวันผู้เป็นหัวหน้าได้ให้ปีกแก่วาร์คและไวร์ เมื่อ
"น้ำเต็มลำธารและทะเลเอ่อสูง น้ำท่วมหมดทั้งแดนดิน ภูเขา ต้นไม้และทุกสิ่ง"
จากนั้นคะวันก็บินจากไป
มหากาพย์กิลกาเมชกล่าวถึงเทพผู้กลัวน้ำท่วม และอพยพหนีภัยขึ้นไปบนสวรรค์ ว่ากันว่าตำนานนี้ตีความออกมาได้ลึกล้ำน่าพิศวงมาก
หากสวรรค์เบื้องบนน่าจะหมายถึงอวกาศ และเทพทั้งหลายก็ไม่ใช่เทพจริงๆ พวกเขาน่าจะเป็นชนชั้นปกครองของแอตแลนติส ที่หนีภัยน้ำท่วมมากกว่า ...ภายใต้คำเตือนและความช่วยเหลือของ Anunnaki
ลึกลับซับซ้อนจังเนอะ โลกเรา..
(ตัดบทความมาเป็นตอนๆนะคะ เพื่อความสะดวกในการอ่านค่ะ :D)
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~
Credit:
Aqua-ma-rine