ถ้านครโบราณที่ล่มไปหลายพันปีก่อนอย่างแอตแลนตีส จะผุดขึ้นมาจากก้นมหาสมุทรได้ ก็คงจะต้องเกิดจากแผ่นดินไหวแรงสุดๆ แบบพลิกแผ่นดิน
ประมาณ กดส่วนที่เป็นเทือกเขาให้จมลง แล้วดันส่วนที่จมให้นูนขึ้นมา
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรโบราณนามแอตแลนติส ได้สถิตอยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ทั้งนี้ เนื่องมาจากความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอาณาจักร แอตแลนติสเป็นดินแดนที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากร มีเทคโนโลยีทางวัตถุที่สูงส่ง ซึง่ท้ายที่สุดก็นำเอาความล่มจมมาสู่ผู้ถือครองเทคโนโลยี แอตแลนติส... เป็นอาณาจักรในฝันที่ถูกถ่ายทอดผ่านกาลเวลามาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง จากเรื่องเล่าขานกลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นเทพนิยาย ไม่มีใครในปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่า แท้ที่จริง อาณาจักรนี้เคยดำรงคงอยู่หรือไม่ ถ้าเคยมีอยู่จริง แอตแลนติสนั้นตั้งอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้?
สิ่งที่นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าจากวรรณกรรมโบราณ หลักฐานทางประวัติศาสตร์อันน่าฉงนเพียงไม่กี่ชิ้น ซึ่งระบุไม่ได้ด้วยซ้ำว่า โบราณวัตถุเหล่านั้น คือผลพวงจากอารยธรรมแอตแลนติสหรือไม่ หรือว่าแอตแลนติสจะเป็นเช่นเดียวกับทรอยและไมซีนี่ ที่แรกเริ่มเดิมที ทุกคนเข้าใจว่า เป็นเพียงเมืองในตำนานที่กวีจินตนาการขึ้น หาได้มีอยู่ในโลกนี้จริงๆไม่
เรื่องราวของอาณาจักรอันรุ่งเรือง ที่ล่มสลายไปเพราะภัยพิบัติ ดูจะเป็นสากลที่มีอยู่ในตำนานเล่าขานของทุกชนชาติ วีรบุรุษผู้นั่งเรือข้ามขอบฟ้าของอเมริกาใต้ ทายาทของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลาย อาณาจักรแห่งเทพของธิเบต ที่เป็นที่พำนักของเผ่าพงศ์ศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังใต้ดินแห่งเทือกเขาหิมาลัยของอินเดีย มหาปิระมิดคูฟู เรื่องราวเหล่านี้ ดูจะสอดคล้องกันในแง่ของการตกทอดทางอารยธรรมที่ล่มสลายไปแล้ว ทว่า ห่วงโซ่ที่จะร้อยเอาเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน
เพื่อพิสูจน์ว่า มันมาจากต้นตอเดียวกันนั้น ยังไม่มีใครค้นพบ หรืออีกนัยหนึ่ง มนุษย์ในปัจจุบัน ยังหากุญแจสำคัญในการไขเรื่องราวของอาณาจักรโบราณนี้ไม่เจอ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าก็เพียงแต่กระพี้เล็กๆที่ไม่ใช่แก่น ถึงกระนั้น นัยสำคัญของกระพี้เหล่านั้น ก็บ่งบอกเราอยู่เป็นราางๆว่า เรื่องราวของแอตแลนติส ไม่ได้เป็นเพียงตำนานที่ไร้ตัวตนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเจริญก้าวหน้าเท่าใด เราก็ยิ่งฉงนฉงายกับเรื่องราวที่เราเคยมองว่า "โบราณ" และ "ล้าสมัย" มากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ท่านจะได้สัมผัสต่อไปนี้ คือส่วนหนึ่งของหลักฐานชิ้นเล็กหลายๆชิ้น ซึ่งนักค้นคว้าบางกลุ่มนำมาปะติดปะต่อกัน เพื่อยืนยันการคงอยู่ รวมทั้งเป็นเข็มทิศคลำทางไปสู่ถนนสายหลักของนครแห่งความฝัน ที่มีนามว่า "แอตแลนติส"
การจมหายของผืนแผ่นดินลงสู่ก้นมหาสมุทร ด้วยอานุภาพของแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟ ดูจะเป็นที่เล่าขานสืบกันมานานในประวัติศาสตร์ แห่งชาติพันธุ์มนุษย์ เรื่องที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเรานั้นก็ได้แก่ การระเบิดและจมลงสู่ก้นมหาสมุทร ของเกาะกรากาตั้วที่อยู่ระหว่างเกาะสุมาตราและชวา
อันมีสาเหตุมาจาก ภูเขาไฟชื่อเดียวกัน ผลจากแรงระเบิดทำให้เกิดคลื่นสูงถึง 100 ฟุต กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างจมหายไปกับคลื่นยักษ์ เสียงกัมปนาทของภูเขาไฟได้ยินไปถึงทวีปออสเตรเลีย ชั้นบรรยากาศโลกปั่นปวนและมืดทะมึนไปด้วยฝุ่นและลาวาจากปากปล่องภูเขาไฟ...
ภูเขาไฟภัยพิบัติที่น่ากลัวอีกประการหนึ่งของมนุษย์
เป็นไงครับ พอจะนึกภาพออกไหมกับการระเบิดในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงที่สุด เท่าที่มนุษย์รุ่นใหม่ยุคจรวดอย่างพวกเราได้ทันพานพบ การระเบิดของกรากระตั้ว สะเทือนทั้งโลกสะเทือนทั้งขวัญผู้คนอย่างรุนแรง เพราะเกาะใหญ่ระดับอนุทวีปเกาะหนึ่ง จมหายมิดไม่เหลือแม้แต่นิดเดียวภายในเวลาไม่นาน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนนี้เอง
ตอนนี้เล่าครับ? การระเบิดของภูเขาไฟกรากระตั้ว กลายเป็นแค่ตำนานยุคใหม่ กาลเวลาได้ลบเลือนมันออกไปจากความทรงจำของผู้คน น้อยคนนักที่จะระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดในช่วงอายุคนที่ผ่านมาของพวกเรานี้เอง
สิ่งนี้พอจะทำให้เราหวนระลึกได้ไหมว่า บางที การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาครั้งสำคัญ อาจเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และถ้าเราจะนับเรื่องของแอตแลนติสปนเข้าไปในนั้นด้วย มันก็ไม่แปลกอะไรหากทวีปใหญ่ๆซักทวีป จะหายไปจากโลกในพริบตา อารยธรรมที่สั่งสมกันมาแสนนานสามารถล่มสลายกันได้ในชั่วข้ามคืน ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยานี่แหละ
การศึกษาในปัจจุบันทำให้เราทราบว่า มีนครโบราณ ดินแดนที่รุ่งเรืองด้วยอารยธรรมมากมาย ที่ล่มสลายไปกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์ นครอีทรัสกัน, โอสกูเรีย แม้กระทั่งท่าเรือใหญ่แห่งทะเลเอเดรียติคของกรีก ปัจจุบันก็นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ก้นทะเล ทิ้งความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาลให้ลูกหลานรุ่นปัจจุบันได้ระลึกถึงเท่านั้น
ทีนี้เราลองมาดูเรื่องราวที่ฟังดูคล้ายกับนิทานดูกันบ้างไหมครับ หลายๆเรื่องที่เล่ากันมา ผู้คนนึกว่าเป็นตำนาน หรือไม่ก็เรื่องเล่าปรำปราเท่านั้น แต่กลับมาเจอเอาว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปช่วงหนึ่ง นายโซนิคขอยกเคสของวิหารจูปิเตอร์ ที่อิตาลี สร้างเมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนคริสตกาล มีชื่อในความโออ่าสวยงามเป็นอย่างมาก
อารามนี้ค่อยๆ จมลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และโผล่ขึ้นเหนือน้ำอีกครั้งเมื่อปี 1742 และในปัจจุบัน มันก็กลับจมอยู่ก้นทะเลเช่นเดิม ส่วนป้อมปืนแห่งคาราวาน-ซาไรแห่งทะเลแคสเปียนนั้นเล่า มันค่อยๆจมหายลงไปในทะเลพร้อมทั้งเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับตัวมัน
จนทำให้คนยุคหลังคิดว่าป้อมนี้เป็นแค่นิทานที่เล่าสืบต่อกันมา แต่แล้วเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน ป้อมนี้ก็โผล่ขึ้นมาเป็นเกาะเล็กๆเหนือน้ำ และสามารถเห็นได้เด่นชัดมากในปัจจุบัน
ไม่เพียงแต่เกาะหรือแนวทะเลแถบชายฝั่งเท่านั้นหรอกนะครับ แผ่นดินหรือทวีปผืนใหญ่ๆก็เคยยกตัวหรือจมลงจากระดับปกติของมันมาแล้วทั้ง นั้น อย่างประเทศไทยแถบภูกระดึง หรือภาคอิสาน เมื่อก่อนก็เป็นทะเล ขณะนี้ประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีกำลังยุบตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่แถบหิมาลัยกำลังยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
บางทีก็ค่อยเป็นค่อยไปชนิดสองมิลลิเมตรต่อศตวรรษ แต่บางคราวก็ปุบปับอย่างน่าใจหาย ส่วนที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่า เป็นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบปุบปับและรุนแรงที่สุด ก็คือส่วนที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติคในปัจจุบัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่า บริเวณนั้น น่าจะเคยเป็นทวีปใหญ่และผืนแผ่นดินมาก่อน
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แอตแลนติส อาจจมอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติคก็เป็นได้ น่าเสียดายที่ปัจจุบัน เรายังไม่มีหลักฐานที่เด่นชัดมายืนยัน
หลักฐานสำคัญที่ควรสนใจอยู่ที่เทือกเขาแอนดิสครับ มาดูกันดีกว่าว่า ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจ และพอจะตอบคำถามที่พวกเราสงสัยกันได้ไหมว่า
แท้ที่จริง แอตแลนติส ล่มสลายเพราะสงครามหรือภัยพิบัติตามธรรมชาติกันแน่?
กล่าวถึงเทือกเขาแอนดิส ทุกคนคงจะรู้จักดี โดยเฉพาะบริเวณเชิงเขาที่เต็มไปด้วยอาณาบริเวณของชนเผ่า สิ่งก่อสร้าง ที่บ่งถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ข้อสังเกตว่า
เทือกเขาดังกล่าวเมื่อก่อนมิได้สูงชะลูดชูดชันขนาดดังในปัจจุบัน หากแต่มันต้องเกิดการยกตัวขึ้นอย่างทันทีทันใดในเวลาไม่นานมานี้ ที่ว่าไม่นานคือ อยู่ในช่วงเวลาที่มนุษย์สามารถพัฒนาอารยธรรม จนกระทั่งมีเรือขนาดใหญ่ใช้กันน่านล่ะครับ
หลักฐานอยู่ตรงไหน? เรามาดูบริเวณทะเลสาบติติคาคากันเสียหน่อย ทะเลสาบอันโด่งดังแห่งนี้ อยู่บริเวณเทือกเขาแอนดิสซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 12,500 ฟุต และห่างจากมหาสมุทรแปซิฟิกถึง 200 ไมล์นั้น มันดันมีท่าเรือโบราณตั้งอยู่น่ะสิครับ
แหวนสำหรับเคเบิลเรือที่นักสำรวจพบที่นั่น มันใหญ่ขนาดพอที่จะใช้กับเรือเดินสมุทรขึ้นไป อีกประการ ตำนานโบร่ำโบราณที่กล่าวถึงกษัตริย์พระอาทิตย์ผู้ปกครองดินแดนก็ดี ซากสัตว์ทะเลที่พบในบริเวณนั้นก็ดี ล้วนแต่บ่งบอกกับเราว่า เทือเขาแอนดิสน่าจะเป็นมหาสมุทร หรือชายฝั่งทางตะวันตกของอเมริกาใต้มาก่อน
ที่พูดมาเสียยืดยาวนี่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ อยากจะให้ตั้งข้อสังเกตกันเท่านั้นแหละว่า เป็นไปได้ไหมที่สาเหตุของการยกตัวอย่างฉับพลันบริเวณเทือกเขาแอนดิส มาจากการจมลงอย่างปัจจุบันทันด่วนของอนุทวีปแอตแลนติส?
จุดจบของแอตแลนติส อาจไม่ได้มาจากสงครามหรือการลงทัณฑ์ของทวยเทพ แต่เป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติโดยแท้จริง ภัยสะท้านโลกครั้งนี้ แม้จะทำลายอารยธรรมแอตแลนติสลงอย่างสิ้นเชิง
กระนั้น มรดกทางอารยธรรมที่ยังเหลือมาสู่หูตาอนุชนรุ่นหลัง ก็ยังมีอยู่มากมายกระจัดกระจายกันไปทั่วโลก ดังที่ท่านจะได้พบได้เจอไปทีละอย่างสองอย่าง ในสารคดีมหายาวของนายโซนิคชุดนี้ครับ
:: แอตแลนติสในวรรณกรรม ::
อาจกล่าวได้ว่าโลกได้รับทราบรายละเอียดของแอตแลนติสจากงานชื่อ "ทิไมอุสและคริติอัส" ของเพลโต ซึ่งได้มาจากปรัชญาเมธีโซลอน ซึ่งไปเอาเรื่องเหล่านี้จากนักบวชแห่งอียิปต์อีกต่อหนึ่ง ในครั้งที่โซลอนเดินทางไปยังอียิปต์เมื่อ 560 ปีก่อนคริสตกาลครับ
โซลอนเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากนักบวชไอยคุปต์จากวิทยาลัยสงฆ์ที่นั่น โดยเอามาจากเอกสารโบราณอายุนับพันๆปี บันทึกดังกล่าวพูดถึงทวีปที่อยู่ไกลโพ้น ถัดจากบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (แถวช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน) ซึ่งจมลงเมื่อประมาณ 9560 ปี ก่อนคริตกาล ครับ... ทวีปนั้นก็คือแอตแลนติสนั่นเอง
" ถัดจากเสาหินของเฮอร์คิวลิส? มันก็อเมริกาน่ะสิ ที่แท้แอตแลนติสก็หมายถึงทวีปอเมริกานี่เอง..."
ยังครับ ยัง.. อย่าเพิ่งสรุปอะไรง่ายๆอย่างนั้น ดูจากแผนที่โลกโบราณมันก็ดูเหมือนจะใช่อยู่หรอก แล้วถ้าเทียบเคียงความเจริญของหลายๆชนเผ่า เช่น อินคา มายา แอสเท็ค มันก็ยิ่งเข้าเค้าว่า แอตแลนติสตามคำบรรยายของเพลโต ปัจจุบันคือทวีปอเมริกา แต่เปล่าหรอกครับ... มันไม่ง่ายขนาดนั้น
อย่างแรก เพลโตมิได้สับสนเรื่องทวีปอย่างแน่นอน เพราะในงานเขียนของเขากล่าวว่า ถัดจากแอตแลนติสออกไปทางตะวันตกยังมีทวีปใหญ่อยู่ด้วย (นั่นแหละ อเมริกา)
และมหาสมุทรในความหมายของเพลโต คือมหาสมุทรที่เป็นมหาสมุทรจริงๆ มิใช่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เป็นเพียงทะเลท้องถิ่นแถบบ้านเกิดของเพลโต
รายละเอียดของแอตแลนติสในงานเขียนของเพลโต กล่าวไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ เพลโตกล่าวถึงแอตแลนติสว่า เป็นเกาะขนาดอนุทวีป มีที่ราบแห้งแล้งในใจกลางเกาะ แนวเขาสูงเป็นปราการธรรมชาติกั้นลมอยู่ทางเหนือ สภาพอากาศอยู่ในแบบกึ่งเขตร้อน
พืชผลอุดมสมบูรณ์พลเมืองสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละสองครั้ง ประเทศของแอตแลนติสมั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีความรุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้น แอตแลนติสยังมีอู่ต่อเรือ คลองสำหรับคมนาคม พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอกด้วยเรือเดินสมุทรครับ...
:: ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการล่มสลายของแอตแลนติส ::
ครับ...พูดกันหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า แอตแลนติสน่าจะล่มสลายลงในยุคน้ำแข็ง หรือเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นกว่าปีก่อน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่อาณาจักรใหญ่ที่เจริญด้วยเทคโนโลยีเกิดประสบเข้ากับสิ่งที่ถึงขั้นทำ ให้สิ้นอารยธรรมนั้น มันต้องเป็นภัยพิบัติรุนแรงถึงขั้นกระเทือนไปทั้งโลกสิ
และถ้าถึงขั้นกระเทือนไปทั่วโลกจริงๆ หลักฐานต่างๆที่บ่งชี้เกี่ยวกับอาณาจักรนี้ ก็น่าจะยังเหลืออยู่บ้าง ดังนั้น นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงได้ทุ่มกายทุ่มใจ เพื่อหาหลักฐานมายืนยันข้อสงกาของพวกเขา ฟ้าดินไม่กลั่นแกล้งคนตั้งใจครับ อย่างน้อยๆ ความพยายามของพวกเขาก็ได้หลักฐานมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว มาดูกันสักส่วนสองส่วนไหมครับ ว่ามีอะไรบ้างที่ว่าน่าสนใจน่ะ...
ศ.เอ็น เลดเนฟ นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวมอสโกได้ทำวิจัยเรื่องของแอตแลนติสมานับสิบ ปี ท้ายที่สุด เขาสรุปงานของเขาเพียงสั้นๆว่า แอตแลนติสในตำนานมิใช่เพียงนิทานปรัมปรา แต่เอกสารทางประวัติศาสตร์โบราณ และอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมหลายแห่ง บ่งชี้ว่า แอตแลนติสเคยเป็นเกาะมหึมาที่มีอยู่จริงมาก่อน
ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกคน ที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแอตแลนติสเอาไว้อย่างน่าสนใจโดยเฉพาะเกี่ยวกับที่ ตั้งของมันเอาไว้ว่า หากเราพิจารณาถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลไปถึงมหาสมุทรอาร์คติกเมื่อระหว่างหมื่น ถึงหมื่นสองพันปีที่แล้ว แอตแลนติสจะต้องคอยเป็นแนวกั้นที่คอยเบี่ยงเบนกระแสน้ำไปทางใต้
"เพราะแอตแลนติสไปขวางกระแสน้ำ แอตแลนติสจึงเป็นาเหตุของการทำให้เกิดยุคน้ำแข็ง และมันก็เป็นสาเหตุของจุดจบนั้นด้วย" เขาสรุป
ครับเมื่อเราพิจารณาจากซากพืชพันธุ์ ซากสัตว์ทะเลที่พบในบริเวณทิศทางของกระแสน้ำดังกล่าวไหลผ่าน ก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและธรณีวิทยาอย่างรุนแรงในมหาสมุทรแอตแลนติค และมีผลทำให้เกาะๆหนึ่งซึ่งขวางทางไหลของกระแสน้ำอุ่นนั้นจมลง
จากการสำรวจใต้น้ำของสมาคมธรณีวิทยาของสหรัฐเมื่อปี 1949 เกี่ยวกับจานหินปูนนับตันที่ถูกยกจากท้องมหาสมทุรแอตแลนติค ทางตอนใต้ของหมู่เกาะอาซอเรส จานเหล่านี้มีขนาดโดยเฉลี่ย 6 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ซึ่งตรงกลางมีรูเจาะไว้อย่างน่าแปลก ขอบนอกดูเรียบแต่รูดังกล่าวถูกเจาะไว้อย่างหยาบๆ
จานเหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แถมไม่มีใครตอบได้ด้วยว่าจะเอามันไว้ใช้ทำอะไร หอสังเกตการณ์ทางธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียให้ข้อสันนิษฐานว่า
"สภาพการโค้งงอได้ของหินปูนเหล่านี้ บ่งชี้ว่าอาจเกิดขึ้นในสภาพใต้ดิน และภูเขาใต้น้ำอาจเคยเป็นเกาะในอดีตเมื่อหมื่นสองพันปีก่อนก็ได้..."
อีกตัวอย่างเบ้อเริ่มของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา คือหุบเขาไนแองการา ที่เก่าถึง 12,500 ปี ข้อพิสูจน์บ่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การยกตัวของเทือกเขาคอร์ดิลเลราที่ยกขึ้นถึง 19,000 ฟุตนั้น เกิดขึ้นเมื่อหมื่นปีเศษๆมาแล้ว
แล้วยังมีตัวอย่างยิบย่อยอีกมากมาย ที่เราเห็นได้ชัดว่า เกิดธารน้ำแข็งจำนวนมากมายขึ้นเมื่อ 11,000 - 12,000 ปีมาแล้ว หลังจากธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวลงจากขั้วโลก สภาพอากาศก็ดูจะอบอุ่นขึ้น และในสมัยเมื่อ 8000 ปีก่อน ค.ศ. ในสมัยที่นักโบราณคดีเรียกว่ายุคหินกลางนั้น แผ่นน้ำแข็งก็เคลื่อนออกเปิดทางสายใหม่สู่แผ่นดินใหม่ให้กับสัตว์และมนุษย์
ความสอดคล้องกันของหลักฐานเหล่านี้ สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการกั้นขวางของเกาะที่จมลง ซึ่งกันมิให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปทางเหนือ ฟังดูแล้วงงดีไหมครับ ลองหาแผนโลกโลกหรือวาดประกอบไปด้วยก็ได้ครับ จะได้นึกภาพออก
คิดดูดีๆอีกแง่แล้ว การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาเป็นสิ่งที่ค่อยเป็นค่อยไป หากมันเกิดขึ้นจริงมันก็น่าจะมีลางบอกเหตุให้มนุษย์ ที่เจริญแล้วในยุคหมื่นกว่าปีก่อนโน้น ได้หาทางรับมือหรือแก้ไข เหมือนที่เรากำลังวิตกเรื่องสภาวะเรือนกระจก กันได้บ้างสิน่า...
แต่ถ้าหากภัยพิบัตินั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เหมือนกับจู่ๆมันก็หล่นลงมาจากบนฟ้าเสียอย่างนั้น การจจะรับมือคงเป็นไปได้ยาก... เหตุผลอันนี้ค่อยดูฟังเข้าท่าหน่อย จริงไหมครับ?
เป็นอีกบทความที่น่าสนใจค่ะ เอามาฝากคนที่ชอบเรื่องลึกลับเหมือนกัน :D
(ตัดบทความมาเป็นตอนๆนะคะ เพื่อความสะดวกในการอ่านค่ะ :D)
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~