อันดับที่ 1. ไมเกรน (โรคปวดศีรษะเรื้อรัง)
เวลานั่งทำงานเครียดเราจะรู้สึกปวดหัวตึบ ตึบ บริเวณขมับ ด้านหน้าศีระษะ
หรือหลังต้นคอ นั่นคือสัญญาณเตือนสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไมเกรน
สาเหตุหลักของการเกิดอาการไมเกรน
เกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ
จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุดกดเจ็บ (Trigger Point)
จุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ
ทำให้เส้นเลือดหลังจุด Trigger Point เกิดการขยายตัวผิดปกติ
ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ
จึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น นอกจากนี้ แสงแดด ความร้อน
การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด
ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้เช่นกัน
ไมเกรน มักจะพบในช่วงอายุ 10–50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง
ร้อยละ 18 เพศชายร้อยละ 6
วิธีการดูแลให้ห่างไกลจากไมเกรน
ทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ
อยู่ในที่อากาศถ่ายเท ไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ
ให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ
หรือปรึกษาแพทย์อายุรเวท เพื่อทำการกดจุดสลาย Trigger Point
บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
อันดับ 2. สภาวะเสียสมดุล
ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ
จากสิ่งแวดล้อม พร้อมขจัดและปรับระบบให้ทำงานได้อย่างปกติ
มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีสมองเป็นจุดศูนย์รวมการทำงานของร่างกาย
สมองทำหน้าที่ออกคำสั่งและส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาท
เพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ
รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ ระบบรากประสาททั้งหมดออกมา
ตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากว่าแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล
ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ (เช่น ค่อม งอ คด แอ่น)
สาเหตุหลัก
มาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆ
ตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายจะฟ้องออกมา
ในรูปแบบความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชาหรือแขนขาไม่มีแรง
ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท
อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย
การดูแลและป้องกัน
มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย
เช่น การยืดหยุ่นร่างกาย ไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป
เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน
เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติ
ถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสามารถปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อปรับโครงสร้างร่างกาย
พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน
หนุ่มสาวออฟฟิศสมัยใหม่ ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ
ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง
ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ เคยลองสังเกตไหมว่า
ร่างกายสะสมความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน
และรู้หรือไม่ว่านั่นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง
โดยค่าเฉลี่ยร้อยละ 80 มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต
และกว่าร้อยละ 20 พบว่ามีอาการปวดหลังเรื้อรัง
มาจาก “กระดูกสันหลังคดงอ”
วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ
1. การรักษาด้วยการให้ยา
2. กายภาพบำบัดแบบ Passive ช่วยลดอาการปวดได้ดี
แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างเพียงพอที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซาก
ในอนาคตได้
ส่วนวิธีการรักษาแบบ Active Rehabilitation เป็นแนวทางใหม่
ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับ
ปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้ถาวร ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ และการออกกำลังกาย
ที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียว
อย่างชัดเจน
อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้นปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ
เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ หรือ Carpal Tunnel Syndrome (CTS)
ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์
เป็นเวลานานๆ
สาเหตุหลัก
เกิดจากการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือ เมาส์คอมพิวเตอร์
ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็น
จนอักเสบ เกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงาน
ของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอก
ไปยังบริเวณข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท
หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบซึ่งมาจากสาเหตุเดียวกัน
อยากห่างไกลความเสี่ยงเลือกวิธีปฏิบัติง่ายๆ
ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือทุก 15–20 นาที
หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการรักษา
แบบ Manual Therapy หรือการบำบัดด้วยวิธีการใช้มือเป็นหลัก
ผสานเข้ากับการใช้เครื่องมือบำบัดเฉพาะทาง
เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ
ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรง
ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการบาดเจ็บที่รุนแรง
และลดอัตราการผ่าตัดลง
โรคยอดฮิตอันดับสุดท้าย นั่นก็คืออีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้
กับปัญหา “หูดับ” หรือโรคประสาทหูเสื่อม
ส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ
อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น
ส่งผลให้ระดับการได้ยินลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ
ในช่วงอายุประมาณ 30–50 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี
เข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น สังเกตได้จากค่านิยม
ในการใช้มิวสิคโฟนผ่านทางมือถือและเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ
ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประสาทหูเสื่อมสภาพในขั้นต้น
หากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง หรือไม่ชัดเจน ต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนา
ต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
หรือปรึกษาศูนย์บริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับการได้ยิน
พร้อมรับคำปรึกษาและแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิต
ในสังคมได้อย่างปกติ
นี่เป็นเพียง 5 อันดับโรคยอดฮิตเรียกน้ำย่อยสำหรับคนเมืองยุคนี้
แต่ความเป็นจริงยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา
ถ้าเรายังเลือกที่จะทำแต่งาน แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง
ใส่ใจตัวเองซักนิด หาความสมดุลให้กับชีวิต
แล้วจะรู้ว่าชีวิตที่มีสุขเป็นอย่างไร