การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรามักจะอยากรู้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะ
เพื่อนฝูงของเราได้ดิบได้ดีไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาขับรถอะไร ได้ตำแหน่งระดับไหนแล้ว ลูกๆ
ของเขาเรียนโรงเรียนอะไร สอบเข้าอะไรได้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเราเองว่าเราดีกว่าหรือ
ด้อยกว่า และก็เป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะดีกว่าคนอื่น แต่หลายๆ ครั้งการเปรียบเทียบทำให้
เราเกิดความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดเมื่อ
เราเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีดีมากกว่าเราโดยเฉพาะเป็นการมีในสิ่งที่เราอยากมีแต่ยังไม่
มีหรือยังมีไม่พอและโดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นคู่แข่งด้วย เช่น เราคงไม่รู้สึกด้อย เวลา
ได้ข่าวนักเรียนไทยได้เหรียญทองชีวะโอลิมปิค เราชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ความรู้สึกอาจต่างกันถ้า
นักเรียนคนนั้นเป็นลูกของญาติของเราและเรียนชั้นเดียวกับเรา
เราเปรียบเทียบตัวเราในปัจจุบันกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจแต่
เดี๋ยวนี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนเราอาจเคยเรียนเก่งมากแต่เดี๋ยวนี้ด้วยปัญหาต่างๆ ทำ
ให้เราเรียนได้แค่ปานกลาง แต่ก่อนเราเคยมีเงินมากมายแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้เรามี
หนี้มากมาย ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้เราก็จะรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเรากำลังตกอับ และมักจะคิด
ไปเองว่าคนอื่นก็มองว่าเรากำลังตกอับด้วย
เราเปรียบเทียบปัจจุบันกับความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เช่น อยากมีบ้านสวยๆ แต่ก็ยังไม่มีสักทีทำให้
รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น
หลายๆ ครั้งเราก็อยู่ของเราดีๆ แต่คนอื่นชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งแล้วก็มาตัดสิน
ว่าเราด้อยกว่าและมาพูดให้เราได้ยินด้วยเช่น บรรดาแม่ๆ มักจะเอาลูกของคนอื่นที่เรียนเก่งมา
เปรียบเทียบกับลูกของตัวเองแล้วบ่นให้ลูกฟังเพราะหวังจะกระตุ้นให้ลูกเกิดความมานะเอาอย่าง
คนเก่งๆ นั่น แต่ลูกอาจกลับเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น บางครั้งการที่คนอื่นเอาเราไป
เปรียบเทียบแล้วมาพูดให้เราได้ยินอาจเป็นการเหน็บแนมไม่ใช่ความหวังดีแบบนี้ก็ได้
การเปรียบเทียบนั้นบางครั้งก็ช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นมาถ้าเรารู้สึกด้อยกว่าแล้วเราพยายาม
ปรับปรุงตนเองหรือเมื่อเราอยากเป็นแบบบุคคลที่เราชื่นชมแล้วพยายามพัฒนาตนเอง หรือ
พยายามเอาชนะคำสบประมาทของคนอื่น แต่ถ้าการเปรียบเทียบทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้
เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งแทนที่จะพยายามปรับปรุงตนเอง
หรือยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้มีอย่างคนอื่นเขา แบบนี้ท่าทางเราจะเกิดภาวะการเปรียบเทียบที่
เป็นพิษเสียแล้ว
การพบว่าจริงๆ แล้วเราด้อยกว่าคนอื่นนั้นเป็นความเจ็บปวด แต่การเปรียบเทียบที่ไม่ตรงกับ
ความเป็นจริง เกินจริง และเป็นไปในแง่ลบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเรากำลังเจ็บ
ปวดจากการเปรียบเทียบอยู่ให้ลองถามตัวเองว่ากำลังเปรียบเทียบอะไร เช่น ความสวย ความเก่ง
ความรวย ความเด่นดัง ฯลฯ เพราะบางครั้งเราจะ "มึน" แยกประเด็นไม่ออกแล้วสรุปรวมว่าตัว
เราโดยรวมทั้งหมดนั่นแหละที่ด้อย สู้เขาไม่ได้
ข้อมูลแม่นแค่ไหน รู้แน่หรือเดาเอา เรารู้แน่แล้วหรือรถที่เขาขับน่ะใช่รถของเขา เพื่อนเราไป
เรียนเมืองนอกเพราะเก่งหรือเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้
เรารู้หมดทุกแง่ทุกมุมหรือยังหรือเห็นแต่แง่ดีของเขาเพียงด้านเดียว เวลาเห็นคนที่ร่ำรวยเรามัก
คิดว่าเขาคงจะมีความสุข ที่จริงแล้วคนที่ร่ำรวยไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเสมอไป คนที่มีแฟน
แล้วหรือคนที่ "ขายออก" แต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากกว่าสาวโสด คนที่มีเงิน
เหลือเก็บมากเพราะประหยัดมากๆ ก็ไม่น่าจะมีความสุขเท่าไรโดยเฉพาะคนที่เป็นลูกเป็นภรรยา
เมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้วลองคิดต่อไปว่า เขาดีกว่าเราแล้วมันจะเป็นอะไรไป ถึงเขาจะมีเงิน
มากกว่าแต่เราก็ยังมีเงินเท่าเดิม เงินที่เรามีอยู่มันไม่ได้หดหายไป ถึงคนข้างบ้านจะสวยกว่าเรา
มันก็ไม่ได้ทำให้เราสวยน้อยลง เราก็ยังคงเป็นคนสวยคนหนึ่งเหมือนกัน
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรบางอย่างเหมือนที่เขาทำหรือไม่ เพื่อนของเรา
อาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาดูแลลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาไปว่ายน้ำ
หลังเลิกงานจึงมีเงินขนาดนั้นได้ จะทำอย่างนั้นหรือไม่
เปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ แทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไปเราอาจเปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบ
เสียใหม่โดยเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้าถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง
เช่น ออกวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 1 ปีผ่านไปเราน่าจะหุ่นดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ดีขนาดคนข้างบ้านก็
ตามการเปรียบเทียบจะเป็นปัญหาเมื่อมันไม่สมเหตุผล มากเกินไป บ่อยเกินไป
ลดการเปรียบเทียบลงแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น
โดย : ผศ.น.พ.สเปญ อุ่นอนงค์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี ที่มา : เว็บไซต์ กรมสุขภาพจิต