ภาพจำลองขณะดวงจันทร์ดวงเล็กปะทะชนดวงจันทร์ดวงใหญ่
ภาพแสดงการค่อย ๆ ปะทะและหลอมรวมกันของดวงจันทร์
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยในอดีตโลกเคยมีดวงจันทร์บริวาร 2 ดวง ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ "Big Splat" ถูกดวงจันทร์ดวงปัจจุบันดูดเข้าไปรวมเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกัน
โดยทฤษฎีนี้ ถูกศึกษาและเปิดเผยโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองซานตาครูส ระบุว่า เมื่อราว ๆ 4.4 พันล้านปีก่อน โลกของเราเคยมีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง 2 ดวง คือ ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบัน และดวงจันทร์ดวงเล็กอีกหนึ่งดวงที่โคจรรอบโลกในระยะห่างที่ไม่ไกลกันมากนัก แต่แล้วหลังจากผ่านไปอีกหลายล้านปี ดวงจันทร์ดวงเล็กที่มีขนาดเล็กกว่าก็ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดของดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่า และน้ำหนักมากกว่า 25 เท่าได้ ดวงจันทร์ดวงเล็กจึงค่อย ๆ ถูกดูดเข้าหาดวงจันทร์ดวงใหญ่ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดดวงจันทร์ทั้งสองดวงก็ชนปะทะกันและค่อย ๆ หลอมรวมกลายเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกันในที่สุด แต่มีลักษณะบิดเบี้ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายล้านปี การหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ก็ค่อย ๆ ทำให้รูปทรงของดวงจันทร์กลายเป็นทรงกลมขึ้นมาอีกครั้ง ดังที่เห็นในปัจจุบัน โดยการดึงดูดและหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เรียกว่า ทฤษฎี "Big Splat"
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า โดยปกติแล้วคนบนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวเท่านั้น เนื่องจากดวงจันทร์มีคาบการหมุนรอบตัวเองและคาบการหมุนรอบโลกที่เท่ากัน ทำให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก คือ ด้านใกล้เท่านั้น ส่วนด้านไกลนั้น คนบนโลกไม่สามารถมองเห็นได้เลย แต่หลังจากที่มีการส่งยานออกไปสำรวจภูมิประเทศของดวงจันทร์ ทำให้พบว่าด้านใกล้และด้านไกลของดวงจันทร์มีภูมิประเทศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยด้านไกลของดวงจันทร์ที่เรามองไม่เห็นนั้น จะมีลักษณะเป็นที่ราบสูง และมีเปลือกหุ้มที่หนาแน่นมาก ซึ่งบริเวณนี้ก็คือบริเวณที่ดวงจันทร์ดวงเล็กถูกดูดเข้ามานั่นเอง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก redicecreations.com, redicecreations.com