function ebBannerFlash_0_9014021074557795_DoFSCommand(command,args){ebScriptWin0_9014021074557795.gEbBanners[0].displayUnit.handleFSCommand(command,args,"ebBannerFlash_0_9014021074557795");} ebBannerFlash_0_9014021074557795_DoFSCommand(command,args); function ebIsFlashExtInterfaceExist(){return true;}
ภาพปริศนายามโพล้เพล้
ค่ำแล้ว !!!
สามเณรน้อยเดินลัดเลาะไปตามตัวโบสถ์ ผ่านเขตพัทธสีมาเข้าสู่ลานกว้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แทรกซอนด้วยหญ้าสูงขนาดหน้าแข้ง บางจุดถูกถางเตียนโล่งเนื่องจากภิกษุสามเณรใช้เป็นที่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน ห่างออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตรจะเข้าสู่เขตสถานที่เรียกว่า หางดอน ซึ่งเป็นบริเวณป่ารกทึบ มีต้นไม้หนาแน่น ไม่มีใครย่างกรายไปที่นั่น เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัยจากสัตว์เลื้อยคลานแล้ว ยังมีเสียงเล่าลือว่า ผีดุ นัก
แต่สำหรับสามเณรวิรพลกลับชอบที่จะปลีกวิเวกไปในบริเวณนั้นเสมอ และหลายครั้งได้ถูกภูติผีปีศาจลองดี แต่เมื่อเขาไม่กลัว ก็กลายเป็นว่าวิญญาณเรร่อนเหล่านั้นต้องล่าถอยไปเอง
ในยามโพล้เพล้เช่นนี้ บางคนถือเป็นช่วง “อาถรรพณ์” เพราะกลางคืนก็ไม่ใช่ กลางวันก็ไม่เชิง เป็นการผสมกันระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ถึงขนาดมีความเชื่อว่า หากดวงวิญญาณดวงใดซึ่งถูกคุมขังสามารถเล็ดรอดออกมาได้ในยามนี้ จะเป็นวิญญาณที่มีพลังแกร่งกล้ายากต่อการปราบปรามเป็นอย่างยิ่ง
คราแรกเณรน้อยคิดว่าจะเดินไปยังบริเวณหางดอนเพื่อนั่งสมาธิทั้งคืน แต่มีอะไรบางอย่างทำให้เปลี่ยนความคิด เดินลงไปยังศาลาริมน้ำแม่มูลแทน อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนจำนวนมากนั่งอยู่บริเวณนั้น ซึ่งแต่ละคนแปลกหน้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งที่โดยปกติสามเณรรู้จักชาวบ้านละแวกนั้นทุกคน เณรน้อยจึงเพียงต้องการแวะไปถามว่าพวกเขาเป็นใคร มาจากไหน
กระนั้นก็ตาม ! แม้สามเณรวิรพลจะเดินเข้าไปจนเกือบถึงตัวพวกเขา แต่กลับไม่มีใครหันมามอง ราวกับว่าทุกคนไม่ได้ยินหรือรับรู้การเข้ามาของสามเณร พวกเขามองผ่านร่างสามเณรราวกับว่าไม่มีตัวตน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ สิ่งที่สะดุดใจเณรน้อยเป็นยิ่งนักก็คือ แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยงาม โดยเฉพาะผู้หญิงที่นุ่งผ้าถุงสวมสไบมีเกล็ดระยิบระยับเหมือนมรกต ชายผ้าห้อยลงมาปิดเท้ามองเผินๆคล้ายหางปลา ในขณะที่ผู้ชายแต่งกายชุดไทยเดิมสีสันแตกต่างกัน แต่ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือทุกคนไม่มีตาดำ !!! ในขณะที่ตาขาวนั้นมีสีเหลืองคล้ายหลอดไฟกลม
ถ้าเป็นใครก็ตามมาเจอสภาพแบบนี้คงวิ่งป่าราบ หรือไม่ก็กระโจนลงน้ำ แต่สำหรับสามเณร แทนที่จะตกใจกลับหยุดยืนตรงหน้าเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
“พวกท่านมาจากที่ใดหรือ”
คราวนี้สามเณรเห็นความตระหนกเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้น ทุกคนจ้องมองคนถามเป็นจุดเดียว ประหนึ่งเพิ่งมองเห็นคนที่เดินเข้ามา และแทนที่จะตอบคำถามนั้น กลับหายวับไปต่อหน้าต่อตา
เณรน้อยจ้องมองไปยังผิวน้ำแม่มูล บรรยากาศเริ่มขะมุกขะมัวลงเรื่อยๆ นอกเหนือจากกลุ่มคนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยกลุ่มนั้นแล้วก็ไม่เหลือใครอีก ด้วยสภาวจิตของสามเณรที่ผ่านการฝึกฝนมาดีแล้ว สามารถกำหนดธาตุทั้ง๔ ในกายคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เกิดมวลเบาได้เหนือคนธรรมดาทั่วไป วิรพลเดินทีละก้าว..ทีละก้าว ไปที่ริมแม่น้ำ ลมหายใจสงบนิ่ง มีสติประคองกายทุกย่างก้าว ว่างและปลอดโปร่ง มองเห็นภาพเบื้องหน้าด้วยดวงจิต
การเดินจงกรมเช่นนี้ หากมิใช่ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีย่อมไม่มีทางกระทำได้ แต่สำหรับสามเณรวิรพลช่างเป็นเรื่องง่าย เพราะผ่านการปฏิบัติมาหลายชาติ มาถึงชาตินี้เพียงแค่ประสงค์จะกระทำการเช่นนั้น สติก็กำหนดรู้แจ้ง กายเคลื่อนไหวได้ราวอัตโนมัติ หากจะกล่าวให้ถูกก็คือ การเคลื่อนไหวของสามเณรในเวลานี้ หาได้ก้าวเดินไปดังเคย
หากเป็นการ “ล่องลอย” ในลักษณะจิตเบา กายเบา
เมื่อเคลื่อนมาถึงริมแม่น้ำ แทนที่จะหยุด สามเณรยังคงก้าวต่อไป เคลื่อนไปบนผิวน้ำ ใช้จิตกำหนดภาพเบื้องล่าง เกิดนิมิตเห็นสายน้ำแหวกเป็นทางยาวตามร่องรอยการเคลื่อนไหว ณ ขณะนั้น สามเณรเกิดปุจฉาในใจว่า
ฤาพวกเขาจะเป็น...?
กระนั้นก็ตาม ด้วยนิมิตที่ยังไม่แจ่มชัดนัก สามเณรวิรพลจึงมิอาจปักใจเชื่อ ๑๐๐% ในสิ่งที่คาดหมาย กำหนดจิตถอยหลังเข้าฝั่ง เมื่อเท้าสัมผัสพื้นดินจึงถอนสมาธิ ปล่อยร่างกายให้เป็นไปโดยธรรมชาติ
เดินทางกลับไปยังที่พัก โดยมิได้ไปนั่งสมาธิบริเวณหางดอนตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก
ทว่า ! เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เณรน้อยกลับหยุดเดิน ยืนสำรวมอยู่ครู่ใหญ่...ก่อนจะก้าวต่อไป ?!?
ท่ามกลางความมืดแห่งราตรีที่ซึมแทรกเข้ามา แสงทิวาหายไปจนสิ้นแล้ว แต่ดวงตาคู่หนึ่งยังเจิดจ้า แอบมองการกระทำของเณรน้อยอย่างตะลึงลาน
---------------------------------