ปริศนาภาพถ่ายใบหน้าลึกลับ!!!! จากดาวอังคาร

เมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมานี้ (1998) องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันที่ในชื่อขององค์การนาซา ได้เผยแพร่ภาพถ่ายล่าสุดจากยานสำรวจดาวอังคารโกลบอลเซอร์เวเยอร์ (Mars Global Surveyor) ที่ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับแถบไซโดเนียบนดาวอังคาร หลังจากที่ยานไวกิง 1 และ 2 ไปสำรวจและถ่ายไว้เมื่อ 22 ปีมาแล้ว และกลายเป็นปริศนาดำมืดมาตลอดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมบนดาวอังคารว่ามีจริงหรือไม่

 

 

ภาพดาวอังคารและตำแหน่งที่ยานไวกิง 1 และ 2 ยานพาทไฟน์เดอร์ลงจอด และพื้นที่แถบไซโดเนีย (สี่เหลี่ยมสีฟ้า) ที่ปรากฏใบหน้าลึกลับและวัตถุ ทรงพีระมิดลึกลับ (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย)

 

 

 

ตำแหน่งของไซโดเนียบนทรงกลม ดาวอังคาร

 

ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ขั้วความคิดต่างก็พยายามวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนียใบนั้นโดยอาศัยคณิตศาสตร์ชั้นสูงและคอมพิวเตอร์เข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าความเป็นจริงคืออะไร เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีผลการวิเคราะห์ที่สนับสนุนฝ่ายตนอยู่

 

นาซาเปลืองตัวเพราะเหตุใบหน้าลึกลับ

 

หากแนวความคิดที่ว่าใบหน้าลึกลับนี้เป็นสถาปัตยกรรม ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติ เป็นจริงแล้วละก็ นั่นหมายความว่าเรื่องชีวิตนอกพิภพก็ต้องเป็นเรื่องจริง รวมทั้งยังต้องเป็นผู้ที่มีอารยธรรมอันสูงส่งอีกด้วย เพราะใบหน้าลึกลับนั้นมีขนาดกว้างราว 2 กม. ยาว 2.5 กม. และมีความสูงราว 400 เมตร หากไม่มีวิทยาการสูงแล้วก็ไม่อาจที่จะสร้างได้

 

ภาพถ่ายที่นาซานำมาเผยแพร่เพราะต้องการให้เห็นเป็นเรื่องตลกกลายเป็นเรื่องที่ทำให้นาซาต้องเปลืองตัว เพราะหลังจากนั้น ผู้ที่สนใจติดตามเรื่องสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารต่างพยายามเรียกร้องให้นาซาถ่ายภาพใบหน้าลึกลับนี้มาอีกครั้งในโครงการสำรวจดาวอังคารรุ่นหลังๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานาซาไม่เคยถ่ายภาพใบหน้าลึกลับแถบไซโดเนียนี้อีกแม้แต่ครั้งเดียว ในปี ค.ศ. 1993 ยานมารส์ออบเซอร์เวอร์ (Mars Observer) ซึ่งถูกกำหนดแผนการไว้ให้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับอีกครั้งก็ไม่สามารถถ่ายภาพส่งกลับมาได้ ซึ่งในครั้งนั้นนาซาแถลงว่าเกิดจากยานสูญเสียการควบคุมในช่วงนั้นพอดี จึงไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ตามแผน

 

ต่อมาโครงการยานอวกาศพาทไฟน์เดอร์ (Mars Path Finder) ที่ลงสำรวจดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1997 รวมทั้งยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ที่เดินทางถึงดาวอังคารเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1997 จากนั้นก็โคจรรอบดาวอังคารเพื่อถ่ายภาพทำแผนมาตลอด ก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับนี้เลย

 

นี่เองที่ทำให้นาซาถูกระแวงสงสัยจากผู้สนใจเรื่องดาวอังคารว่ากำลังปกปิดความลับอะไรเอาไว้ และปกปิดไว้เพื่ออะไร ประกอบกับเหตุการณ์ที่ยานลึกลับตกแถบรอสเวลล์อีกทั้งยังมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ภายในยานอีกด้วย ซึ่งผู้สนใจเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นยานที่มาจากต่างดาวจริงเพราะมีพยานและหลักฐานมากมาย แต่ทางการสหรัฐฯก็แถลงว่าไม่มีอะไร เป็นเพียงอุปกรณ์ตรวจอากาศธรรมดา จากกรณีนี้ก็ยิ่งทำให้นาซาถูกระแวงและถูกโจมตีมากยิ่งขึ้น

 

แต่เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผานมานี้เอง นาซาก็เปลี่ยนแผนโดยกำหนดภารกิจให้ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ซึ่งโคจรรอบดาวอังคารเพื่อถ่ายภาพมากว่า 200 รอบแล้ว เข้าไปถ่ายภาพใบหน้าลึกลับในแถบไซโดเนีย โดยนาซาแถลงว่ายานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ประสบปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับแผงเซลล์สุริยะที่ลำตัวยานอันเป็นแหล่งผลิตพลังงานเลี้ยงยานอวกาศ ทำให้ต้องปรับเส้นทางการโคจรใหม่ และในการปรับเส้นทางโคจรใหม่นี้ทำให้สามารถโคจรผ่านแถบไซโดเนียและถ่ายภาพใบหน้าลึกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ยานไวกิงถ่ายภาพไว้เมื่อ 22 ปีมาแล้วและก่อให้เกิดข้อถกเถียงตลอดมา เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงกันเสียที

 

ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์
 

 

ภาพวาดแสดงยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ ขณะกำลังสำรวจทำแผนที่ดาวอังคาร

 

วันที่ 5 เมษายน ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ก็ได้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารและส่งกลับมายังโลก และในวันรุ่งขึ้น นาซาก็ได้เผยแพร่ภาพดังกล่าวไปทั่วโลกทางอินเตอร์เนตทันที โดยนาซาให้เหตุผลว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถนำข้อมูลภาพถ่ายใหม่นี้ไปวิเคราะห์เพื่อไขปริศนาได้ตามอัธยาศัย

 

 
ภาพถ่าย “ใบหน้า” ล่าสุดจากยาน
 
 
โกลบอลเซอร์เวเยอร์ที่นาซานำมา
 
เผยแพร่และสรุปว่าแท้ที่จริงแล้ว
 
เป็นเนินเขาที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะ
 
ประกอบกับแสงและเงาขณะถ่าย
 
ภาพที่ทำให้หลอกตาว่าเป็นใบหน้า
 
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย)  

 

จากข้อมูลภาพถ่ายใหม่ที่ถ่ายโดยยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ซึ่งกล้องถ่ายภาพมีคุณภาพสูงกว่ากล้องประจำยานไวกิงที่ใช้ถ่ายภาพใบหน้าเมื่อครั้งก่อนถึง 10 เท่า ทำให้พบว่า ใบหน้า นั้นแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ใบหน้า หากแต่เป็นเนินเขาที่มีรูปทรงคล้ายใบหน้าเท่านั้นเอง เมื่อประกอบเข้ากับทิศทางแสงที่เหมาะสมก็เลยทำให้เห็นเป็นรูปใบหน้า

 

ความจริงเริ่มกระจ่าง?

 

หลังจากที่นาซาเผยแพร่ภาพใบหน้าดังกล่าวพร้อมทั้งสรุปว่าเป็นเพียงเนินเขาธรรมดาที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะจนคล้ายใบหน้า แทนที่ปริศนาจะคลี่คลาย แต่กลับกลายเป็นว่าภาพ ใบหน้า อันเป็นหลักฐานชิ้นใหม่นี้ทำให้ผู้ติดตามเรื่องดาวอังคารแบ่งออกเป็น 3 ขั้วความคิด นั่นคือ ส่วนหนึ่งเชื่อถามถ้อยแถลงของนาซา อีกส่วนหนึ่งยังแบ่งรับแบ่งสู้พร้อมทั้งขอเวลาวิเคราะห์ภาพอย่างละเอียดเสียก่อน และส่วนที่เหลือนั้นคือส่วนที่ยังเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าใบหน้าลึกลับนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมนอกพิภพ และส่วนหลังนี่เองที่วิพากษ์วิจารณ์นาซาหนักกว่าเดิมว่าเป็นการวางแผนอย่างแยบยลและใช้ภาพซึ่งถูกตกแต่งมาหลอกลวงประชาชนเพื่อยุติเรื่องใบหน้าลึกลับ และตัวองค์การนาซาเองต่างหากที่มีความลึกลับดำมืดอยู่ภายในหน่วยงาน กลายเป็นว่านาซามีแต่เรื่องเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

 

ทางด้านสมาคมค้นคว้าชีวิตบนดาวเคราะห์อื่น (Society for Planetary SETI Research) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้าหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ นักค้นคว้าหลายคน อย่างเช่น สแตนลีย์ แมคแดเนียล สมาชิกคนหนึ่งของสมาคมซึ่งเป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือชื่อ กรณีใบหน้าลึกลับ (Case for the Face) ซึ่งเพิ่งวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ได้แสดงความเห็นว่าจากหลักฐานภาพถ่ายของยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ก็ยังไม่ได้ทำให้ตนตัดสินใจว่าเรื่องใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรม ควรมีการสำรวจอย่างละเอียดเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับได้หากผลออกมาว่าใบหน้านั้นเป็นเพียงเนินเขาตามธรรมชาติ

 

สแตนลีย์ แมคแดเนียล ผู้ค้นคว้า เรื่องใบหน้าลึกลับและเป็น บรรณาธิการร่วมของหนังสือ “กรณีใบหน้าลึกลับ” ที่เขียน วิเคราะห์เกี่ยวกับใบหน้าลึกลับ บนดาวอังคาร

 

ทางด้านมาร์ก คาร์ลอตโต และจอห์น แบรนเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมเช่นกัน ทั้งสองเคยใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์วิเคราะห์ภาพถ่ายใบหน้าบนดาวอังคารภาพเก่าที่ถ่ายจากยานไวกิงและเชื่อว่าใบหน้านั้นเป็นสถาปัตยกรรม ทั้งสองให้ความเห็นว่าภาพถ่ายใหม่นี้ยังบอกอะไรไม่ได้ ต้องใช้เวลาวิเคราะห์ภาพถ่ายอย่างละเอียดอีกระยะหนึ่ง

 

ดร. มาร์ก คาร์ลอตโต มาร์ก คาร์ลอตโต นักวิจัย หนุ่มผู้สนใจค้นคว้าเรื่องความลึกลับบน ดาวอังคาร คาร์ลอดโตได้ใช้ความรู้ทาง คณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ ภาพถ่ายดาวอังคารและมีความเห็นว่าเรื่อง ใบหน้าลึกลับน่าจะเป็นความจริง รวมทั้ง เหตุที่ภาพถ่ายจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ ดูแล้วไม่คล้ายใบหน้าเป็นเพราะทิศทางของแสง และดร. จอห์น แบรนเดนเบิร์ก

 

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างก็ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาพถ่ายชุดใหม่นี้หลายประการ เช่น

 

ประการแรก ภาพถ่ายใหม่นี้ถ่ายในตอนเช้าของเวลาบนดาวอังคาร ส่วนภาพถ่ายเดิมนั้นถ่ายเมื่อเวลาบ่าย ซึ่งทิศทางแสงผิดกัน เมื่อนาซาบอกว่าทิศทางแสงช่วยหลอกตาให้เห็นเนินเขาเป็นใบหน้าได้ ในทางตรงกันข้าม ทิศทางแสงก็อาจหลอกตาให้เห็นใบหน้าเป็นเนินเขาได้เช่นกัน

 

ประการที่สอง ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพนี้จากมุมเอียง ไม่ได้โคจรไปถ่ายเหนือใบหน้าโดยตรง จึงเป็นไปได้ว่ามุมกล้องและทิศทางแสงอาจหลอกตาให้เห็นภาพใบหน้าเป็นอย่างอื่นไปได้

 

ประการที่สาม ในช่วงที่ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพใบหน้าเป็นเวลาที่แถบไซโดเนียมีเมฆครึ้มและมีทัศนวิสัยที่ไม่ดีนัก ทำให้ภาพถ่ายที่ได้ขาดรายละเอียดไปมาก

 

ภาพใบหน้าที่ถ่ายจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ภาพซ้ายเป็นภาพขาวดำ ที่ยานส่งมา ดูไปแล้วจะเห็นว่าไม่คล้ายใบหน้า แต่เมื่อทดลองกลับภาพให้ขาวเป็นดำ เหมือนดู จากฟิล์มเนกาตีฟ (ภาพขวา) ปรากฏว่าภาพนี้ กลับดูคล้ายใบหน้า มีส่วนที่เป็นตา จมูก และ ปาก (ภาพเล็กตรงกลาง) นี่แสดงให้เห็นว่า ทิศทางของแสงมีส่วนช่วยให้วัตถุประหลาด สิ่งนี้ดูทั้งคล้ายและไม่คล้ายใบหน้า ดังนั้น ผู้ที่มีแนวโน้มเชื่อไปทางอารยธรรมนอก พิภพจึงยังไม่ปักใจเชื่อภาพและคำแถลงของ นาซานัก (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย)

 

 
เปรียบเทียบภาพใบหน้า (ซ้าย)
 
 
ภาพถ่ายจากยานไวกิงเมื่อกว่า
 
20 ปีมาแล้ว (กลาง) ภาพที่ถ่าย
 
จากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ แ
 
ละ (ขวา) ภาพกลางที่ถูกนำมากลับ
 
เป็นภาพเนกาตีฟ  

 

ประการที่สี่ วัตถุทรงพีระมิดในบริเวณใกล้เคียง เช่น ป้อมปราการ (The Fortress) พีระมิดดีและเอ็ม (D&M Pyramid) และเมือง (The City) ฯลฯ ยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นวัตถุตามธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรม หากสิ่งต่างๆเหล่านี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมจริง ใบหน้าลึกลับก็มีโอกาสที่จะเป็นสถาปัตยกรรมได้ด้วย

 

คาร์ลอตโตได้นำภาพถ่ายใบหน้า
 

 

คาร์ลอตโตทดลองเติมแสงและเงา ที่ขาดหายใบในใบหน้าซีกขวาโดย ให้มีสมมาตรกับใบหน้าซีกซ้าย ก็พบว่าดูไปก็คล้ายใบหน้ามาก

 

ปริศนาที่ยังคงเป็นปริศนา

 

ทางด้านผู้ที่เชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าใบหน้าลึกลับนี้เป็นผลงานของอารยธรรมนอกพิภพก็กล่าวหานาซาว่านาซาแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าต้องการยุติเรื่องใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารเพื่อปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องอารยธรรมนอกพิภพ โดยสังเกตได้จากการที่นาซารีบร้อนเผยแพร่ภาพและสรุปเรื่องอย่างรวดเร็วภายในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้รับสัญญาณภาพจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์โดยยังไม่มีการวิเคราะห์ภาพ นอกจากนี้ยังกล่าวหานาซาอีกด้วยว่าเมื่อครั้งที่ยานออปเซอร์เวอร์ที่สำรวจดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1993 แล้วไม่ได้ถ่ายภาพใบหน้าส่งกลับมายังโลกโดยอ้างว่ายานสูญเสียการควบคุมนั้น ที่จริงแล้วเป็นข้ออ้างของนาซาที่จะไม่ถ่ายภาพใบหน้ามามากกว่า

 

 
นักค้นคว้าเรื่องใบหน้าลึกลับบางรายถึงกับนำ
 
 
เรื่องฝบหน้าลึกลับบนดาวอังคารไปเกี่ยวโยง
 
กับเรื่องปริศนาผ้าห่อศพแห่งเมืองตูริน (เรื่อง
 
ผ้าห่อพระศพนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับผ้าห่อศพที่
 
ถูกค้นพบที่เมืองตูรินเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว
 
บนผ้ามีรอยประทับรูปเค้าหน้าและร่างกาย
 
มนุษย์อยู่ ผ้าห่อศพผืนนี้ถูกเชื่อกันว่าเป็นผ้า
 
ที่ใช้ห่อศพพระเยซูหลังจากที่ถูกตรึงบน
 
ไม้กางเขนแล้ว และรอยประทับของใบหน้า
 
นี้ก็คือใบหน้าของพระเยซูนั่นเอง แต่ต่อมา
 
นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์อายุของผ้าแล้วลง
 
ความเห็นว่าอายุของผ้าไม่สอดคล้องกับยุค
 
สมัยของพระเยซู ดังนั้นผ้าห่อศพนี้จึงไม่ใช่
 
ผ้าห่อศพของพระเยซู แต่เรื่องดังกล่าวก็ยัง
 
มีผู้ที่เชื่ออยู่จนทักวันนี้  

 

ดังนั้นแทนที่ปริศนาใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารจะกระจ่าง ก็กลับกลายเป็นว่าใบหน้านั้นยิ่งลึกลับกว่าเก่า แต่อย่างไรก็ตาม ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถูกกำหนดให้โคจรผ่านแถบไซโดเนียและถ่ายภาพใบหน้าอีก 2 ครั้งในเดือนเมษายนนี้ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าภาพถ่ายในชุดหลังจะช่วยคลี่คลายปริศนาที่ดำมืดมากว่า 20 ปีได้หรือไม่

26 ส.ค. 54 เวลา 17:54 5,954 8 90
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...