Amazing grace บทเพลงจากผู้ประพันธ์ที่เป็นพ่อค้าทาส กลายมาเป็นบทเพลงที่ปลอบประโลมโลกทั้งใบ

 

“Amazing grace, how sweet the sound...” เริ่มต้นขึ้นจากคนหนึ่งที่มีความรักเต็มเปี่ยม หัวใจที่สรรเสริญพระเจ้า ทุกเวลา Amazing grace เป็นบทเพลงที่คริสตจักรทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี และมีความยืนยาวมาเกือบ 200 ปีทีเดียว เป็นเพลงที่ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีการบันทึกเป็นอัลบั้มมากกว่า 3,200 ครั้ง ได้รับการขับขานจากสุดยอดศิลปินแห่งยุคมากมาย อาทิ เรย์ ชาส์ล , วิทนีย์ ฮุสตัน , จอห์นนี่ แคช, บ๊อบ ดีแลน, อารีทา แฟรงคลิน, อัล กรีน, วิลลีย์, เนลสัน, เอลวิส เพรสลีย์ จนถึง ร็อด สจ๊วต เป็นต้น

ผู้ประพันธ์เพลงอมตะนี้คือ จอห์น นิวตัน ผู้ประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงความรักของพระเจ้าที่ แสนยิ่งใหญ่ ในชีวิตของเขา เพลงนี้  เป็นเพลงที่เรียกว่าเป็น The most beloved song ของอเมริกันชน  ทหารทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ต่างร้องเพลง Amazing grace  ในสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ  เพลง นี้ถูกนำมาใช้เป็นเพลงอำลาศพในพิธีของอินเดียนแดงเผ่าเชโรกี และยังถูกนำมาร้องในโอกาสสำคัญๆนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นในวันที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวสุนทรพจน์ I had a dream  วันที่ เนลสัน เมนเดลลา ถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง  และยามเมื่อกำแพงเบอร์ลินอันแสนอัปยศถูกพังทลายลง

นิวตันเกิดที่ ประเทศอังกฤษ วันที่ 24 กรกฎาคม ปี 1725 เขา เป็นลูกของกัปตันเรือ ผู้เป็นพ่อค้าขายทาส การค้าทาสที่ว่านี้คือ การไปไล่ล่ากวาดต้อนคนผิวดำจากทวีปแอฟริกาและหมู่เกาะต่างๆมาเป็นแรงงานให้ กับ คนขาว ทั้งรับใช้ในบ้าน ทำงานในไร่ โดยไม่มีค่าแรง และอยู่ในฐานะที่ต่ำพอๆกับสัตว์ เราเห็นภาพการกวาดต้อนคนดำขึ้นเรือและเครื่องมือชนิดต่างๆที่ใช้ทารุณแล้ว น้ำตาแทบไหล แต่ความคิดที่ว่า ฉันสูงกว่าเธอ ฉันประเสริฐกว่าเธอ เพราะสีผิวเราไม่เหมือนกันนั้น เป็นความคิดที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วไปในสมัยนั้น ขนาดที่เมื่อมีความพยายามจะออกกฎหมายเลิกการนำทาสเข้ามาในอังกฤษ และผู้เปิดประเด็นได้ให้เหตุผลว่า ในสายตาของพระเจ้าแล้วมนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน วุฒิสมาชิกคนหนึ่งในสภาขุนนางของอังกฤษกลับแย้งอย่างเผ็ดร้อนด้วยซ้ำว่า พวกมันน่ะเหรอ มนุษย์! 

เมื่อ จอห์น นิวตัน อายุได้ 11 ปี เขาออกทะเลกับพ่อของเขา และออกเดินทางถึง 6 ครั้งกับพ่อ ก่อนที่พ่อของเขาจะเลิกจากการเดินเรือ ในปี ค.ศ.1744 เขาถูกเกณฑ์ไปอยู่บนเรือ H. M. S. Harwich (เรือ ของทหารอังกฤษ) เพื่อทำงานบนเรืออย่างหนักสภาพแวดล้อมที่สุดจะทนได้ เขาถูกลดตำแหน่งจากนักเรียนทหารเรือ กลายเป็นเพียงลูกเรือธรรมดา เพราความประพฤติที่ไม่ดีของเขา ในที่สุดเขาก็ขอร้องให้ตัวเอง ถูกแลกเปลี่ยน ให้ไปอยู่ในเรื่อค้าทาส ซึ่งกำลังไปที่ ชายฝั่ง Sierra Leone จอห์น คิดว่าน่าจะดีกว่า ต้องทนอยู่บนเรือทหารอย่างนี้ และบัญชาการของเขาก็เห็นด้วย คงเป็นเพราะ ความประพฤติที่แย่มากของเขาด้วยที่ทำให้ทุกคนทนไม่ได้

เขากลายเป็นคนงานของ เรือค้าทาส เขาเริ่มมีความหวัง ชีวิตใหม่ เขาเรียนรู้วิธีค้าทาส จากเรือนี้ และไม่นานเขากลับต้องเผชิญ กับการทำงานที่หนัก ป่าเถื่อน และสาหัสกว่าเสียอีก ในปี1748 เขาก็ได้รับการช่วยเหลือ จากเรือเดินสมุทรอีกลำหนึ่งที่พ่อของเขา วานให้ช่วยลูกของเขาด้วย และเมื่อกลับมายังประเทศอังกฤษ จอห์น ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกับตันเรือค้าทาสทันที จอห์นได้รับการปลูกฝั่งเกี่ยวกับ เรื่องของพระเจ้าจากแม่ของเขาในวัยเด็ก แม่ของจอห์นตายตั้งแต่เขายังเล็ก อย่างไรก็ตามการเดินทางกลับประเทศอังกฤษ ครั้งนั้น เขาต้องพบกับพายุใหญ่ซัดกระหน่ำเรือของเขาจนแทบอับปาง ตลอด 4 สัปดาห์ที่ไม่มีอย่างอื่นตกถึงท้องนอกจากการตกปลาพอประทังหิว นิวตันอธิษฐานกับพระเจ้า และภายหลังเขาจึงได้รู้ว่า นี้คือการช่วยกู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา
จนเขากล่าวกับทุกคนว่า พระเจ้ามีพระคุณอย่างยิ่ง จากที่เขาปฎิเสธพระเจ้าและชอบล้อเลียน พระคัมภีร์ไบเบิลตลอดมา จอห์นเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้น อันตรายต่างๆนาๆ ที่เขาต้องเผชิญ การยั่วยวน การล่อลวง เปลี่ยนเขาไปมาก เขาเข้าหาพระองค์มากขึ้น เมื่อต้องผจญกับสิ่งเหล่านี้ แต่การค้าของเขาก็ยังดำเนินต่อไป การค้าทาส (ในสมัยนั้น เป็นยุคที่ผู้คนเห็นว่า การค้าทาสเป็นเรื่องถูก ด้วยแนวความคิดที่ว่า การนำคนผิวสีจากแอฟริกา คนป่า คนไม่มีวัฒนธรรม มาอยู่กับ คริสเตียน มาเป็นทาสในประเทศอังกฤษ จะเป็นการช่วยเหลือพวกทาสเหล่านี้ ให้มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ) แต่เขาก็ปฎิบัติกับ ทาสที่จับมาอย่างดี อย่างมีมนุษยธรรม

 
ปี ค.ศ.1750 เขาได้แต่งงาน กับ Mary Catlett หลังจากหลงรักเธอมานานหลายปี ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ปีค.ศ.1755 ภายหลังการป่วยของเขา เขาก็เลิกเดินเรือไปตลอดกาล เขาเริ่มเรียนรู้ภาษาลาตินด้วยตัวเอง ปีค.ศ.1755-1760 นิวตัน ก็ได้รับงานใหม่ให้เป็น ผู้ตรวจท่าที่เมืองลิเวอร์พูล ที่นี่เขาได้พบกับGeorge Whitefield เป็น ผู้ช่วยบาทหลวงในโบสถ์ประจำชาติของอังกฤษ นักเทศ และเป็นผู้นำของกลุ่มที่เชื่อตามแบบพระคัมภีร์ เขามีความกระตือรือร้นมาก จนกระทั้งวันหนึ่งเขาก็มีโอกาสที่จะได้พบกับ John Wesley ผู้ ก่อตั้ง กลุ่ม ผู้ที่เชื่อตามแบบพระคัมภีร์ นิวตันศึกษา ภาษากรีกและฮิบบรูเพิ่ม และวันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจที่จะมอบชีวิตเพื่อพระเจ้าด้วยการเป็น ศิษยาภิบาล โดยร้องขอให้อาร์คบิชอปแห่งยอร์ค แต่งตั้งเขา แต่ได้รับการปฎิเสธ เพราะเขาไม่ได้ เรียนด้านพระคัมภีร์มา แต่นิวตันเองยังยืนยัน ความมั่นใจว่า เขาจะต้องเป็นศิษยาภิบาลให้ได้ เขาจึงหันไปเขียนหนังสือ และได้รับความนนิยมอย่างมาก และได้รับเชิญให้ไปพูดในที่ต่างๆ หลังจากนั้น เขาก็ได้รับการแต่งตั้งหลังจากพยายามอยู่นาน โดย บิชอป แห่ง ลินคอล์น และให้ไปดูแลคริสตจักรเล็กๆแห่งหนึ่งที่เมือง Olney โบสถ์ของนิวตัน กลายเป็นที่รองรับคนมากมาย มีการขยายอย่างมาก เขาไม่ได้เทศนาแค่ที่ Olney แต่ได้รับเชิญไปเทศน์ทั่วประเทศ ในปีค.ศ.1767 กวีชื่อดัง William Cowper ก็ย้ายมาอยู่ที่เมือง Olney และเขาทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนกัน

William Cowper ช่วยนิวตันในการประชุมนมัสการ และดูแลคนที่มาเยี่ยมชม มีการจัดประชุมอธิฐานทุกสัปดาห์ พวกเขาร่วมกันแต่งบทเพลง สรรเสริญพระเจ้ามากมาย ที่แม้ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมอยู่ และมีการตีพิมพ์ครั้งแรก ในปี 1779 มีเพลงของ Cowper 68 เพลง และของนิวตัน 280 เพลง เพลงที่ยังได้รับความนิยม จนถึงปัจจุบันก็เช่น เพลง “How Sweet the Name of Jesus Sounds” ”Glorious Things of Thee Are Spoken,” “Amazing Grace.” ถูกแต่งขึ้น ระหว่างปี 1760-1770 ที่เมืองOlney ”Amazing Grace” เป็น เพลงสรรเสริญ เพลงหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อการสรรเสริญพระเจ้าระหว่างสัปดาห์ ตลอดทั้งปี ผู้เขียน มีการแต่งและเพิ่มเติ่ม บทกลอน ในการสรรเสริญพระเจ้า จนได้เพลง “Amazing Grace” มันไม่ได้บรรจุอยู่ใน เพลงสรรเสริญของOlney ที่ตีพิมพ์ไป อย่างไรก็ตาม กลอนทั้งหกบทนี้ เป็นการรรวมกันของต้นฉบับแรก ในปี 1779 และฉบับปี1808 ใกล้วันที่นิวจันเสียชีวิต
 

 

ที่มาของทำนองไม่มีใครรู้ เพลงสรรเสริญส่วนใหญ่ มักจะคล้ายกับ ทำนองเพลง อเมริกันโฟลค์ ในหนังสือของ Bill Moyers ที่ชื่อ “Amazing Grace” คิด ว่าเพลงน่าจะมีทำนองต้นฉบับ ในลักษณะเพลงของพวกทาส นิวตันไม่ใช้นักแต่งเพลงอาชีพ หรือมีความสามารถด้านนี้นัก แต่ เขาเป็นนักเขียน เขามีข้ความที่เป็นจดหมายจำนวนมาก ที่เกี่ยวกับการค้าทาสในศตวรรษที่18 เขาเขียนบทความ จำนวนมากที่สะท้อน แนวความคิดเกี่ยวกับการเชื่อตามแบบพระคัมภีร์ และความคิดเห็นจากเพื่อนของเขา จอห์นเวสลีย์ นิวตันเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้มีการเลิกทาส ปี 1780 นิวตันย้ายจาก Olney ไปที่ อยุ่ที่โบสถ์ เซนต์แม่รี่ (โบสถ์ใหญ่ในลอนดอน) ที่นี้ทำให้คำพูดของนิวตัน มีอิทธิพลกับคนจำนวนมาก ร่วมทั้ง วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ เขา เป็นนำ การรณรงค์การเลิกล้มความเป็นทาส นิวตันเทศนา จนกระทั่งปีสุดท้ายของชีวิต จนตาของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ในเวลานั้น เขาเสียชีวิตในปี 1807 วันที่ 21 ธันวาคม ณ กรุงลอนดอน

 

เนื้อเพลงที่ร้องกันในสมัยนี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยนิยมร้องกันแค่ 5 ท่อน และปรับภาษาให้ทันสมัยขึ้น
เนื่องจากภาษาเดิมเป็นภาษาโบราณ แต่ไหนๆ ก็เขียนถึงที่มาแล้วก็ขอเอาเวอร์ชั่นภาษาดั้งเดิมมาให้ชมก็แล้วกัน


Amazing grace, how sweet the sound
That say’d a wretch like me!
I once  was lost, but now am found,
Was blind, but now I see.

’Twas grace that taught my heart to fear,
And grace my fears relieved;
How precious did that grace appear,
The hour I first believed!

Thro’ many dangers, toils and snares,
I have already come;
’Tis grace has brought me safe thus far,
And grace will lead me home.

The Lord has promis’d good to me,
His word my hope secures;
He will my shield and portion be,
As long as life endures.

Yes, when this flesh and heart shall fail,
And mortal life shall cease;
I shall possess, within the veil,
A life of joy and peace.

The earth shall soon dissolve like snow,
The sun forbear to shine;
But God, who call’d me here below,
Will be forever mine.

+++ คำแปลภาษาไทยเพลง Amazing Grace +++

พระคุณพระเจ้านั้นแสนชื่นใจ ช่วยได้คนชั่วอย่างฉัน

ครั้งนั้นฉันหลงพระองค์ตามหา ตาบอดแต่ฉันเห็นแล้ว

บ่วงมารวางไว้ทุกข์ภัยหลายอย่าง ตามทางฉันพ้นมาแล้ว

แต่เพราะพระคุณฉันจึงคลาดแคล้ว พระองค์นำฉันกลับบ้าน

พระคุณสอนให้ใจฉันยำเกรง เร่งให้ความกลัวต้องหนี

พระคุณอันเลิศประเสริฐยิ่งใหญ่ ไม่มีหมู่มารได้ชัย

พระเจ้าประทานแต่สิ่งที่ดี พระธรรมให้มีความหวัง

พระองค์คุ้มครองป้องกันทุกที เมื่อมีสิ่งชั่วบีฑา

เมื่อเราได้ไปอยู่เมืองสวรรค์ ช้านานนับหลายพันปี

ยังมีเวลาร้องเพลงสรรเสริญ เท่ากันกับเมื่อเริ่มต้น

 
นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำนำของหนังสือ John Newton and the English Evangelical Tradition เขียนโดย ดี. บรูซ ไฮนด์มาร์ช กล่าวถึงเพลง Amazing Grace ไว้ น่าสนใจ ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัวที่สูญเสียพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนรัก มิตรสหาย จากอุบัติเหตุสายการบิน สวิสแอร์ ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก นอกชายฝั่งเมืองโนวา  สโคเทีย ประเทศแคนาดา ปี 1998 ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 229 คน เสียชีวิตหมดทั้งลำ บรรดาครอบครัวที่สูญเสีย ยืนรวมกันที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Peggy’s Cove สาย ตาของพวกเขามองข้ามโขดหิน ไปยังมหาสมุทรเบื้องหน้าที่ที่บรรดาคนรักของพวกเขาได้จากไป ท่ามกลางความเศร้านั้น พวกเขาพร้อมใจกันร้องเพลง Amazing Grace เสียง เพลงดังไปทั่วชายฝั่งแห่งนั้น ยามชายฝั่งรวมทั้งหน่วยกู้ภัย ต้องหยุดทำงาน ยืนสงบนิ่งจนกระทั่งเพลงนี้ร้องจบลง ถ้าจอห์น นิวตัน ยังอยู่ เขาคงมาร่วมร้องเพลงนี้ด้วย

จากบทเพลงส่งต่อเจตนารมน์การต่อสู้เพื่อการเลิกทาส

วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ คริสเตียนหนุ่ม ผู้เป็นสมาชิกรัฐสภาอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น เพื่อยกเลิกกฎหมายการค้าทาสในสหราชอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งเวลานั้นนับได้ว่าเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงจนแทบประเมินค่าไม่ได้ เนื่องจากมีทาสผิวดำชาวแอฟริกาถูกเกณฑ์มาขายในตลาดค้าทาสกว่า 12 ล้านคน ผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลเกิดขึ้นบนเลือดเนื้อ ความตายและความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ ที่พวกเขาถูกมองว่าไม่ได้แตกต่างอะไรจากสัตว์ใช้งาน ใคร ๆ ก็มีสิทธิกอบโกยประโยชน์จากชีวิตทุกหยาดหยดของพวกเขาได้อย่างชอบธรรม เพียงเพราะเขาเกิดมามีสีผิวและหน้าตาที่แตกต่างจากคนบางกลุ่มเท่านั้น

 

                        William Wilberforce(24 August 1759 – 29 July 1833)

                                                               

ประวัติการต่อสู้ของ วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ (William Wilberforce) วิ ลเบอร์ฟอร์ซ เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1759 ได้เข้าศึกษาที่วิทยาลัยเซ็นต์จอห์น เมืองเคมบริดจ์ ขณะที่ศึกษาอยู่เขาได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับ วิลเลียม พิตต์ ซึ่งกลายเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในเวลาต่อมา พิตต์เป็นผู้จุดประกายและชักชวนให้วิลเบอร์ฟอร์ซเข้าสู่เวทีการเมืองเพียง อายุ 21 ปี เขาได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในสมาชิกรัฐสภาประจำเมือง Hull เขาเป็นผู้มีวาทะศิลป์เข้าขั้นหาตัวจับยาก และนั่นทำให้เขาได้รับการขนานนามว่า "นักการเมืองฝีปากกล้าแห่งยุค"

วิลเลี่ยม วิลเบอร์ฟอร์สรู้จักกับ จอห์น นิวตัน เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ช่วงนั้น นิวตันเป็นศิษยาภิบาล ของโบสถ์ที่วิลเบอร์ฟอร์ส ซึ่งวิลเลี่ยมไปเป็นประจำ ต่อมาหลังจากวิลลเลี่ยมเข้าเป็นสมาชิกรัฐสภา และเริ่มนำเสนอประเด็นการเลิกค้าทาส จึงเปิดโอกาสให้นิวตัน ผู้เคยทำธุรกิจค้าทาสได้สารภาพความสำนึกผิดต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก นิวตันนับเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมแรงร่วมใจในการต่อสู้ร่วมกับวิลเบอร์ฟอร์ซ จนกระทั่งวาระสุดท้ายวิลเบอร์ฟอร์ซยื่นฎีกาขอให้มีการล้มเลิกการค้าทาส ในวันที่ 11 พฤษภาคม 1815 แต่ไม่สำเร็จ นับจากนั้นตลอด 18 ปีต่อมาเขายังคงเสนอฎีกา และต่อสู้ด้วยความทรหดอดทนจนในที่สุดพระราชบัญญัติเลิกทาส (Emancipation Act) ก็ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 กรกฎาคม 1833 ซึ่งหลังจากนั้น 3 วัน วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ ก็เสียชีวิตลงในปีเดียวกัน รวมอายุได้ 74 ปี

 

ภาพยนต์ เรื่อง Amazing grace(1997) เป็นภาพยนต์ที่ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 200 ปี การเลิกทาสบนเกาะอังกฤษ กล่าวถึงการต่อสู้ของ William Wilberforce

 

 

นี่เป็นบทกลอนของเด็กแอฟริกาผิวดำคนหนึ่ง  ที่ได้รับรางวัลจาก UN
Nominated by UN as the best Poem of 2006 -
Written by an African Kid


When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ
When I grow up, I black : เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ


When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ
And when I die, I still black : และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ


And you white fellow : และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว


When you go in sun, you red : เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง


When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา
And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี??

ขอขอบพระคุณที่มาของบทความและรูปภาพ
 

http://www.weareimpact.com/content/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-amazing-grace-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99

http://eqplusmag.com/bbs/viewthread.php?tid=22835

http://lukeworship.wordpress.com

http://shiaeru.exteen.com/20100120/amazing-grace-violin-solo

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=181700

http://chihaya.exteen.com/20090321/amazing-grace

http://www.pocketonline.net/board/view.php?id=22028

http://www.hymnsandcarolsofchristmas.com/Hymns_and_Carols/NonChristmas/amazing_grace.htm

http://louismariebangkae.wordpress.com/2009/10/20/amazing-grace/

http://en.wikipedia.org/wiki/File:Peggys_Cove_Swissair_Flight_111.jpg

http://www.eyewitnesstohistory.com/slaveship.htm

http://wysinger.homestead.com/mapofafricadiaspora2.html

http://www.learnnc.org/lp/media/uploads/2008/07/slaveshipposter.jpg

http://fr.wikipedia.org/wiki/Fichier:William_Wilberforce_1.jpg

Credit: http://atcloud.com/stories/98983
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...