นักวิจัยเรียกกะโหลกนี้ว่า Starchild (กำลังหาคนแปล) เป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์โบราณที่ถูกค้นพบในอุโมงค์เหมืองแร่ในเม็กชิโกเมื่อปี 1930
ต่อมาในปี 1999 กะโหลกนี้ได้มาถึงมือนักวิจัย ชาวอเมริกัน Lloyd Pye เขาร่วมทีมกับนักวิจัยจากแคนาดาและอังกฤษ ได้ทดลองพิสูจน์ตรวจหาผลทั้ง สะแกน เอ๊กซเรย์ และอีกสารพัด..(มั้ง) เรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว การวิจัยได้แล้วเสร็จ พวกเขาสรุปว่า Starchild เป็นกะโหลกคนต่างด้าวหรือเอเลี่ยนลิ้งก์ข้างล่างนี้จะช่วยอธิบายเนื้อข่าวให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
Starchild Skull 2010 Nuclear DNA Recovery
Introduction to the Starchild Skull by Lloyd
ราว 50-60 ปีก่อน ครอบครัวชาวอเมริกันครอบครัวหนึ่งได้พาบุตรสาววัยรุ่นเดินทางไปเยี่ยมญาติ ที่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองชิวาวา ในประเทศเม็กซิโก ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปราว 100 ไมล์ บริเวณใกล้ ๆ กับหมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยถ้ำและอุโมงค์ใต้ดินที่เกิดจากการทำเหมือง แม้ว่าบิดามารดาของสาวน้อยจะห้ามปรามไม่ให้เธอไปเล่นในพื้นที่อันตรายดัง กล่าว แต่เธอก็เหมือนสาววัยรุ่นทั่ว ๆ ไปที่มักจะคอยขัดคำสั่งพ่อแม่อยู่เสมอ
ขณะ ที่เธอเข้าไปเล่นในอุโมงค์ แห่งหนึ่ง เธอพบว่าที่ปลายอุโมงค์นั้นมีโครงกระดูกมนุษย์โผล่ขึ้นมาบนพื้น และที่ข้าง ๆ กันนั้นก็มีโครงกระดูกรูปร่างประหลาดที่พันโอบอยู่กับกระดูกท่อนแขนส่วนบน ของมนุษย์
สาวน้อยค่อย ๆ บรรจงปัดเอาเศษดินออกจากกระดูกท่อนนั้น มันเป็นกระดุกที่มีขนาดเล็กกว่ากระดูกทั่ว ๆ ไปเธอค่อย ๆ คุ้ยดินบริเวณนั้นออก ก็พบว่าโครงกระดูกที่ถูกฝังอยู่ในดินนั้นก็มีรูปร่างที่ผิดปรกติและมีขนาด เล็กกว่า โครงกระดูกของมนุษย์เช่นกัน
เธอจัดแจงรวบรวมเอาโครงกระดูก ทั้งหมดที่พบบรรจุลงในตะกร้าที่เธอนำไปด้วย เมื่อมาถึงบ้านเธอได้ทิ้งตะกร้านั้นไว้นอกบ้าน โชคร้ายที่ต่อมาได้เกิดน้ำท่วมฉับพลันทำให้โครงกระดูกถูกน้ำพัดพาไปจนหมด เหลือทิ้งไว้ก็แต่หัวกระโหลก 2 ใบกับเศษฟัน 2 ซี่เท่านั้น
สาว น้อย ได้นำเอาหัวกระโหลกคู่นั้นกลับที่อเมริกาด้วย เธอเก็บมันไว้ตลอดชั่วชีวิตของเธอ ก่อนที่จะเสียชีวิตลงเธอยกกะโหลกคู่นั้นให้กับเพื่อนบ้านชาวอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็เก็บมันไว้ที่บ้านนานถึง 5 ปีแต่ภรรยาของเขาไม่ได้รู้สึกชื่นชมเจ้ากระโหลกคู่นี้ เธอทั้งรบเร้าและดุด่าให้เขานำมันไปทิ้งซะ วึ่งในที่สุดเขาก็ต้องจำยอมทำตามที่ภรรยาบอก
แต่ ชายคนนั้นก็ไม่ได้นำ มันไปทิ้งเสียทีเดียว เขานึกขึ้นมาว่ามีเพื่อนคนหนึ่งที่สนใจเรื่องจานบินและมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเจ้ากระโหลกที่มีรูปร่างประหลาดนี้อาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เหล่านี้ เขาจึงติดสินใจยกกระโหลกคู่นี้ให้กับเพื่อนของเขาเมื่อต้นปี 1999 และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของกระโหลกปริศนาแรกในวันนี้ครับ
เดือนกุมภาพันธ์ 1999 สามีภรรยาคู่นั้นได้ติดต่อมายัง ลล์อยด์ พาย (Llyod pye) ผู้ที่จบการศึกษาด้านจิตวิทยาแต่กลับสนใจตามสืบหาต้นตอที่มาของเผ่าพันธุ์ มนุษย์ เพื่อให้เขาช่วยไขปริศนาหัวกะโหลกประหลาดผู้คนทั่วสารทิศมัก จะมาหาลล์อยด์และเล่าเรื่องพิลึกพิลั่นต่าง ๆ นานาให้เขาฟัง และลล์อยด์ก็คิดว่าสามีภรรยาคู่นี้คงไม่ต่างจากคนอื่น แต่คราวนี้ขาคิดผิด ทั้งคู่ได้มอบกล่องกระดาษให้กับลล์อยด์ เมื่อเขาเปิดดูก็พบหัวกะโหลกมนุษย์หนึ่งอันกับหัวกะโหลกอีกอันที่มีขนาดพอ ๆกับหัวกะโหลกอันแรก แต่ว่ามีรูปร่างที่แปลกประหลาด
ลล์อยด์ มองตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น เจ้ากะโหลกประหลาดนี้มีกระดูกเบ้าตาที่ไม่เหมือนกะโหลกมนุษย์และรวมทั้งรูป ร่างของกะโหลก ก็ไม่เหมือนด้วยเช่นกัน เขารู้ทันทีว่าคราวนี้เขาเจอของจริงเข้าให้แล้วจากการวิเคราะห์เบื้องต้น ลล์อยด์สันนิษฐานว่ากะโหลกประหลาดนั้นเป็นกะโหลกของเด็กอายุราว 5-6 ปี ส่วนกะโหลกมนุษย์นั้นเป็นกะโหลกเพศหญิง ซึ่งอาจเป็นมารดาของเจ้ากะโหลกประหลาด สามีภรรยาคู่นั้นถามลล์อยด์ว่า เขาสามารถหาคำอธิบายให้กับกะโหลกประหลาดนี้ได้ไหม ลล์อยด์จึงแนะนำว่ากะโหลกนี้อาจเป็นของคนพิการหรือไม่ก็เด็กที่ติดเชื้อตอน เกิด เขาขอให้มีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดก่อน
ลล์อยด์ เคยศึกษาเรื่องประวัติความเป็นมาของชาวอินเดียนแดงโบราณ เขาเคยได้ยินตำนานเรื่องเล่า "สิ่งมีชีวิตจากต่างดาว" ที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่าในสมัยโบราณกาล เทพเจ้า(จากการวิเคราะห์รูปร่างหน้าตาตามคำบรรยายในตำนานพบว่ามีลักษณะคล้าย กับมนุษย์ต่างดาว เกรย์) ได้เสด็จลงมาจากสวรค์เพื่อสมสู่กับหญิงสาวชาวโลกที่เป็นหมันและอาศัยอยู่ใน หมู่บ้านที่ห่างไกล
ต่อมาสาวชาวบ้าน นางนั้นเกิดตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกกลายพันธุ์ที่ชาวบ้าน เรียกว่า "เด็กจากดวงดาว" เธอได้เลี้ยงดูอุ้มชูเด็กจากดวงดาวจนเขาเติบโตได้ราว 6 ขวบปี แต่แล้วในคืนหนึ่งเทพเจ้าได้เสด็จลงมาจากสวรรค์อีกครั้งเพื่อมารับเอาตัว บุตรไปอยู่ด้วย
เมื่อรู้ว่าลูกน้อย จะถูกพรากจากไป เธอจึงแอบพาเด็กจากดวงดาวหนีออกจากหมู่บ้าน และแอบซ่อนอยู่ในอุโมงค์ อาจเป็นเพราะความเครียดจัดหรือประสาทหลอนเธอจึงตัดสินใจสังหารลูกตัวเอง และฝังศพไว้ในอุโมงค์นั้น โดยให้แขนของลูกเธอโผล่ออกมาจากพื้นจับแขนของเธอไว้ และเธอก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายนอนสิ้นใจอยู่ข้างหลุมศพของลูก
จากลักษณะของสถานที่ที่พบโครงกระดูกดูจะเข้ากับเรื่องราว ในตำนานได้พบดิบพอดี จึงสันนิษฐานว่าโครงกระดูกมนุษย์นั้นเป็นโครงกระดูกของผู้ที่เป็นแม่ ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมให้มนุษย์ต่างดาวพรากตัวลูกน้อยไปจากเธอ จึงตัดสินใจทำอัตนิวิบาตกรรมพร้อมกับลูกน้อย(หรืออาจถูกฆาตกรรม)
กะโหลกศีรษะเด็กต่างดาวนั้น มีีความจุถึง 1,600 ลูกบาศก์เซนติเมตร ในขณะที่กะโหลกศีรษะของคนทั่ว ๆ ไปที่เจริญเต็มวัยจะมีความจุเฉลี่ยเพียงแค่ 1,400 ลุกบาศก์เซนติเมตร และถ้าหากเด็กต่างดาวเติบโตเต็มที่คาดว่าเขาน่าจะมีกะโหลกศรีษะที่ใหญ่ขนาด บรรจุสมองได้ถึงปริมาณ 1,800 ลูกบาศก์เซนติเมตรทีเดียว กระดูกเบ้าตามนุษย์นั้นจะมีลักษณะรูปกรวยและลึกลงไปในกะโหลกราว 5 เซนติเมตร แต่กระดูกเบ้าตาของเด็กต่างดาวกลับเป็นรูปหยดน้ำและตื้นแค่ 3 เซนติเมตร
จาก การตรวจสอบอายุฟันพบว่า เจ้าของฟันเสียชีวิตลงเมื่ออายุราว 5-6 ปีแต่ทั้งนี้ต้องพิสูจน์ Nuclear DNA ก่อน เนื่องจากหัวกะโหลกนี้มีอายุนานมากจึงจะสามารถยืนยันได้ 100% ว่าฟัน 2 ซี่นั้นเป็นฟันที่จากหัวกะโหลกประหลาด แต่การพิสูจน์ Nuclear DNA นั้นต้องใช้เงินสูงถึง 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งลล์อยด์เองก็ยังคงกำลังเรี่ยไรหาเงินทุนก้อนนี้อยู่
การ พิสูจน์ DNA นี้ยังสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกะโหลกทั้งสองได้ อีกทั้งยังสามารถบอกถึงชาติกำเนิดของเด็กต่างดาวได้อีกด้วยว่าเขาเป็นมนุษย์ ธรรมดาทั่วไป หรือมนุษย์กลายพันธุ์กันแน่
สิ่ง ที่แตกต่างกะโหลกทั่ว ไปเป็นอย่างมากคือ บริเวณระหว่างฟันกรามและเขี้ยว พบว่ามีรากฟันอยู่ 3 ชุด ซึ่งในมนุษย์ทั่วไปจะมีเพียงแค่ 2 ชุด คือฟันน้ำนมกับฟันแท้ จึงเป็นไปได้ว่าเด็กต่างดาวมีฟัน 3 ชุด
สันนิษฐานว่าเด็กต่างดาวอาจมีช่วงเวลาในการผลัดฟันชุดแรก เร็วกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปจึงต้องมีฟันสำรองอีกหนึ่งชุด หรือไม่ก็เด็กต่างดาวมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์โดยทั่วไป จึงทำให้เขาต้องใช้ผลัดฟันชุดที่สามเมื่อฟันชุดที่สองเริ่มเสื่อมสภาพลง
คา เรน สเก็ตท์(Karen Scheidt) ทราบว่าลล์อยด์กำลังวิเคราะห์หาที่มาที่ไปของกะโหลกประหลาดอยู่ เธอจึงแจ้งให้เขาทราบว่าเธอเคยพบกะโหลกรูปร่างประหลาดแบบเดียวกับที่ลล์อยด์ มีอยู่
คาเรนมีภาพถ่ายกระโหลก 2 ใบที่เธอถ่ายมาจากวิหารร้างแห่งหนึ่งในเมืองโซลูล่า ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 1975 มันเป็นกะโหลกที่สมบูรณ์คือมีทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ต่างกับกะโหลกของลล์อยด์ที่ส่วนล่างหายไป
เธอ บอกกับลล์อยด์ว่ากะโหลก ที่เอพบนั้นมีลักษณะไม่ผิดเพี้ยนไปจากกะโหลกเด็กต่างดาว น่าเสียดายที่เธอมีเพียงภาพถ่ายด้านหน้า และเวลาก็ล่วงเลยมานานกว่า 25 ปีแล้ว จึงทำให้เธอจำไม่ได้แน่ชัดว่าด้านหลังของกะโหลกนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร
แต่ ความเป็นมาของกะโหลกที่เธอพบนั้นก็น่าทึ่งพอ ๆ กับกะโหลกเด็กต่างดาว มัคคุเทศก์ที่นำกลุ่มของเธอไปทัศนาจรได้เล่าให้ฟังว่ากะโหลกทั้งสองใบนี้ เป็นของเทพเจ้าที่เดินทางมาจากท้องฟ้าเมื่อหลายพันปีก่อน
พระองค์เดินทางมาเพื่อสอนคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ พระองค์มีหมายกำหนดการที่จะเดินทางกลับสู่เบื้องบนหลังจากที่ได้ถ่ายทอด วิชาการให้กับมนุษย์เสร็จสิ้น ไม่นานนักก็มีเทพเจ้าอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางตามมา และสังหารเทพเจ้าสององค์แรก
ลล์อยด์ ได้พิจารณาดูภาพถ่ายที่คาเรนส่งมาให้ เขาพบว่ามันไม่มีความเหมือนกับกะโหลกเด็กต่างดาวเลย ลล์อยด์จึงไม่คิดที่จะเดินทางไปเม็กซิโกเพื่อที่จะพิสูจน์มัน ลล์อยด์เชื่อว่ากะโหลกประหลาดที่เขาครองครองอยู่นี้เป็นเพียงหนึ่งเดียวใน โลก และเขาจะพิสูจน์ให้ได้ว่าแท้จริงแล้วเจ้ากะโหลกนี้เป็นสามัญชนหรือมนุษย์ ต่างดาวกันแน่
ที่มา:
http://topicstock.pantip.com
Credit:
สื่อเทศอึ้ง! นักวิจัยมะกันสรุป ผล DNA เป็นกะโหลกเอเลี่ยน