เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 4.30 น. เวลาประเทศจีน ประเทศอเมริกาได้ส่งยานกระสวยอวกาศของยาน
อะพอลโล่ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลกเข้าสู่ห้วงอวกาศ นักบินอวกาศ นิล อาร์มสตรองค์
ได้ส่งสายตามองลงมายังพื้นโลก เขาได้เห็นปิรามิดของประเทศอียิปต์โบราณ เห็นแนวกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่
แต่ทันใดนั้น ที่ประเทศจีนตามแนวฝั่งของแม่น้ำ ฮวงโห ปรากฏว่ามีขีดเป็นขีดสีดำขีดอยู่ 9 ขีด
เรียงรายไปตามแนวฝั่งแม่น้ำ ทีแรกเขาเข้าใจว่า นี่คงเป็นสถานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงของค่ายคอมมิวนิส แห่งประเทศม่านไม้ไผ่ ด้วยเหตุที่ว่า ขณะนั้นมีการถ่ายทอดสดออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุและทางโทรทัศน์ กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก
เขาจึงไม่กล้าส่งข่าวนี้โดยตรง ไปยังศูนย์อวกาศขององค์การนาซ่า แต่เขาได้ส่งข่าวนี้ตรงไปยังประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน
แห่งสหรัฐอเมริกาแทน
นีล อารมสตรองค์ ได้เก็บข้อมูลที่สงสัยนี้เป็นความลับตลอดมาเป็นเวลา 10 กว่าปี จนกระทั่งประเทศจีน
และประเทศอเมริกา ได้มีการเปิดสัมพันธ์ไมตรีเป็นมิตรต่อกัน มีการแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนะธรรมและทางการทูต
นีล อาร์มสตรองค์ ได้มีโอกาสเป็นแขกรับเชิญของรัฐบาลจีนไปเยือนประเทศจีน ภายหลังกลับจากการเที่ยวเตร่ชมกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่ นีล อาร์มสตรองค์ ได้เอ่ยปากขอร้องต่อเจ้าหน้าที่ต้อนรับฝ่ายจีนว่า ขอให้พาไปชมท่องเที่ยวยังสถานที่
ณ บริเวณจุดตัดระหว่างของเส้นรุ้งที่ 107 องศา 38 ลิปดาตะวันออก และของเส้นแวงที่ 34 องศาเหนือ
อันเป็นบริเวณที่ นิล อาร์มสตรองค์ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน คงไม่ยอมให้เข้าไปเด็ดขาด ต่อเมื่อ นีล อาร์มสตรองค์
ได้รับการอนุญาติและถูกพาไปยังสถานที่ดังกล่าว ปรากฏว่าเป็นบริเวณที่ราบสูง หวงถู่ (อึ่งโท้ว) ซึ่งแปลว่าดินเหลือง
ในมณฑลซ่านซี
เขาได้เห็นหลุมฝังศพของกษัตริย์จีนโบราณจำนวนมากกว่า 20 หลุม เขาจึงได้เข้าใจประดุจตื่นจากความฝันว่า
ที่แท้จริงบริเวณขีดสีดำ 9 ขีด ที่เขามองเห็นจากห้วงอวกาศนั้น กลับเป็นบรรดาสุสานของกษัตริย์จีนโบราณนั่นเอง
หาใช่เป็นสถานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศจีนไม่ แต่ความสงสัยเกี่ยวกับพลังอันเร้นลับของบรรดาสุสานโบราณเหล่านี้
ตามที่เขามองจากห้วงอวกาศเป็นแนวสีดำ 9 ขีด ยังฝังประทับใจประทับตาอยู่ในห้วงสมองของเขา
นับเป็นความมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อของเขามาตลอดตราบเท่าทุกวันนี้
การที่สุสานของกษัตริย์จีนโบราณ มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและความเชื่อถือต่อชาวโลกเช่นนี้
มีเหตุผลอยู่ 2 ประการคือ
1. เป็นเพราะเกิดจากพลังอำนาจอิทธิพลของวิชา ฮวงจุ้ย อันเหลือเชื่อ ตามหลักปรัชญาของวิชา ฮวงจุ้ย
ศาสตร์ เป็นวิชาที่มีการถ่ายทอดและสืบทอดมาแต่อดีตนับเป็นระยะเวลาหลายพันปี
2. เป็นเพราะมีการใช้สารเคมี สำหรับเคลือบศพและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บรรจุใส่เข้าไปในสุสาน
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันยังไม่สามารถค้นคว้าพิสูจน์ได้ ดังเช่นในสุสาน ปิรามิด ของประเทศ อียิปต์โบราณ
เพราะฉะนั้นรัฐบาลของประเทศจีนในปัจจุบัน จึงเพียรพยายามอนุรักษ์สุสามโบราณเหล่านี้ไว้ เพื่อรอการพิสูจน์การศึกษา
ของผู้รู้ต่อไปในภายภาคหน้า
จริงอยู่ที่ได้มีการขุดค้นสุสานโบราณขึ้นมาแล้วหลายแห่งเพื่อการศึกษาทางโบราณคดี แต่ยังมีสุสานอีกจำนวนมาก
ที่ยังไม่อนุญาตให้ขุด ด้วยเกรงว่าบรรยากาศของโลกในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวยต่อสารเคมีภายในสุสาน
ดังเช่นตัวอย่างการขุด ปิรามิด ของสุสานอียิปต์โบราณ ปรากฏว่าเมื่อนำชิ้นส่วนตัวอย่างภายในสุสานออกมายังโลกภายนอก
ชินส่วนเหล่านั้นถ้าไม่ระเหยกลายไอก็ละลายกลายเป็นของเหลว จึงยังความเป็นที่สงสัยแก่นักวิทยาศาสตร์ชั้นหลัง
จีน นับเป็นชาตินักบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่ชำนาญที่สุด และมีอายุอันยาวนานที่สุดตามกาลเวลา
ของโลกชาติหนึ่ง ยังความเป็นอารยะธรรมที่สืบต่อเนื่องมานานถึง 5,000 ปี และมีการใช้สืบเนื่องต่อกันๆ
มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันเป็นอารยะธรรมที่ไม่ตาย ยังหายใจอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับอารยะธรรมโบราณ
ของชนชาติโบราณหลายประเทศ เช่น กรีก โรมัน อียิปต์ เมโสโปเตเมีย อินคา และของอินเดียบางแห่ง
โดยเหตุที่ว่า จีน มีความได้เปรียบทางด้านอักษรศาสตร์และวัฒนะธรรมทางภาษาต่อชนชาติอื่นหลายประการคือ
1. จีน สามารถผลิตกระดาษหรือวัสดุสำหรับการขีดเขียนมาตังแต่ยุคราชวงศ์ ฮั่น
แล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีการบันทึก
แกะสลักจารลงบนแผ่นไม้ไผ่ ไม้ ภาชนะ อิฐ ดินเผา และเศษกระดูก
2. จีน สามารถผลิตกระดาษ พู่กัน หมึก และจานฝนหมึก สำหรับบันทึกเขียนหนังสือหรือวาดรูป
เป็นเครื่องมือที่สะดวกมากสำหรับการบันทึกทางประวัติศาสตร์
มีความสงสัยมานานแล้วว่า ประเทศไทยมีสัมพันธ์ไมตรีติดต่อกับจีน ทั้งทางด้านการค้าการพาณิชย์และการแลกเปลี่ยน
ทางวัฒนะธรรมตั้งแต่เริ่มแรกที่ ไทยเรามีประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งยุคกรุงสุโขทัย ในราชวงศ์พระร่วง
ตรงกับแผ่นดินจีนในยุคราชวงศ์ หยวน ในยุคสมัยของพระเจ้า กุปไลข่านฮ่องเต้
ซึ่งจีนได้มีการผลิตกระดาษหมึกพู่กันใช้มาก่อนหน้าพันปีที่แล้ว แต่ทำไมจีน จึงไม่นำกระดาษหมึกพู่กัน
เครื่องมือการเขียนบันทึกมาเผยแพร่แก่ทางกรุงสุโขทัยบ้าง ทั้งๆ ที่ไทยเราก็มีวัฒนะธรรมทางภาษา
และอักษรศาสตร์อยู่แล้ว ถึงแม้จะนำเอาวัฒนะธรรมของชนชาติอื่นมาปนในการใช้บ้างก็ตาม
หรือว่า จีน ยังคงงกไม่ยอมให้ชนชาติอื่นร่วมใช้กับวัฒนะธรรมจีนอันนี้ แต่นั่นก็ใช่ที่
เพราะถ้ามีการติดต่อกันทางการค้าการพาณิชย์ เขาจะไม่นำเอากระดาษพู่กันและหมึกมาบันทึกอักขระเกี่ยวกับ
รายการสินค้าที่ขายออกและซื้อเข้าตามระบบการค้าขายของมนุษย์ชาติหรอกหรือ
ทำไมพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ทรงมาหลังขดหลังแข็งแกะสลักอักษรไว้บนศิลาจารึกให้คนรุ่นหลังอ่าน
ศิลาจารึกของพระเจ้า รามคำแหง เป็นจริงหรือเท็จ ยังเป็นที่สงสัยแก่นักประวัติศาสตร์ไทยบางท่าน
หากมีหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์ไทยบนแผ่นกระดาษ ประวัติศาสตร์ไทยยุคนั้นก็คง
ละเอียดแจ่มแจ้งเหมือนกับการบันทึกทางประวัติศาสตร์จีนในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา
3. จีนสามารถรวบรวมตัวอักษรจีนที่เป็นสมบัติทางวัฒนะธรรมเป็นเอกภาพเอกลักษณ์หนึ่งเดียวทั่วทั้งประเทศ
ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ จีน มีชนเผ่าที่แตกต่างกันทางภาษาและอักษรศาสตร์หลายสิบเผ่า
และแตกต่างกันทางภาษาพูดทางวัฒนะธรรมของพลเมืองตามพื้นที่ภาคต่างๆ
อีกมากมายทั่วผืนแผ่นดินจีน อันกว้างใหญ่ไพศาล
ดังนั้นความเป็นเอกภาพทางด้านอักษรศาสตร์ ทำให้ชาวจีนทั่วประเทศสามารถติดต่อสื่อสารกันได้
มีความเข้าใจในภาษาต่อกันทั้งๆ ที่บางแห่งกันติดต่อกันทางภาษาพูดอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเขียนเป็นตัวอักษรจีนออกก็เข้าใจกันทั่วทุกถิ่นฐานชนบท เป็นสาเหตุให้สามารถแลกเปลี่ยนหล่อหลอมกันทางวัฒนะธรรมซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นชนเผ่า
ชนชาติ และประเทศชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ชาวจีนทุกคนต่างเป็นหนี้บุญคุณของพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ ที่ออกกติกาให้ชาวจีนทั่วทั้งประเทศ
สามารถสื่อสารกันได้ แม้ว่าพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ ออกจะเป็น ฮ่องเต้ ที่เหี้ยมโหดดุร้ายทารุนก็ตาม
ความเป็นเอกลักษณ์ทางอักษรศาสตร์และการหล่อหลอมทางวัฒนะธรรมที่เป็นเอกภาพนี่เอง
ทำให้ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนนอกแผ่นดินจีน หลายชนเผ่า ต่างก็รับเอาอักษรภาษาศาสตร์ของจีน
มาใช้กับชนเผ่าของตน ทั้งๆ ที่ชนเผ่าของตนเองก็มีอักษรภาษาศาสตร์ใช้เป็นวัฒนะธรรมของตนเองอยู่แล้ว
แม้กระทั่งบางชนเผ่าที่สามารถรุกรานเข้ามายังแผ่นดินใหญ่ของจีน ตั้งตัวเป็นประเทศมีราชวงศ์ตามอย่างประเทศจีน
ในแผ่นดินจีน เช่น ชนเผ่าจิน ชนเผ่าซีเซี่ย ชนเผ่ามงโกล และชนเผ่าแมนจู หรือที่ฝรั่งเรียกชื่อว่าชนเผ่ายุรเชน
ต่างก็เอาภาษาอักษรและวัฒนะธรรมของจีน มาใช้ในชนชาติของตน และมี 2 ชนเผ่าที่สามารถเข้ามายึดครองปกครองประเทศจีน
ทั้งประเทศ สถาปานาเป็นราชวงศ์ หยวน และราชวงศ์ ชิน ลงในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศจีน
แต่ก็ไม่สามารถปกครองควบคุมชาวจีน ส่วนใหญ่ทั้งประเทศโดยอาศัยภาษาอักษรศาสตร์และวัฒนธรรมของชนเผ่า
ของตนเองปกครองคนจีน จำใจต้องนำเอาภาษาอักษรศาสตร์และวัฒนะธรรมของประเทศจีน มาปกครองคนจีน
ทำให้วัฒนะธรรมของจีน กลับกลืนกินเอาวัฒนะธรรมของชนเผ่าแร่ร่อนเหล่านั้น กลับเป็นคนจีนไปโดยปริยาย
สำหรับประเทศไทย เริ่มมีการเขียนบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานพอเห็นได้ก็ในสมัย กรุงศรีอยุธยา
แต่ก็ยังเป็นที่สับสนสำหรับประวิศาสตร์ของไทยบางตอน ถึงกับมีการใช้วิชาไสยศาสตร์มาสืบเสาะหรือนั่งทาง
ในดูเหตุการณ์ของประวัติศาสตร์ไทยในอดีต จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับของบรรดานักประวัติศาสตร์ไทยเกี่ยวกับศาสตร์อันงมงายเช่นนี้
ประวัติศาสตร์ของไทยบางตอนต้องอาศัยการบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีน และจดหมายเหตุของฝรั่งบางชาติ ที่มีการกล่าวพาดพิงถึงแผ่นดินของ ไทย เมื่อในอดีต
สุสานของพระเจ้า ฉินซี่หวางฮ่องเต้ ถูกสร้างอยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้าน เซี่ยเหอชุน ห่างไปทางทิศตะวันออกของเมือง หนินถง (นิ่มท้ง) 5 กิโลเมตร เมือง หนินถง นี้อยู่ค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ นครซีอาน ในมณฑลซ่านซี ทำเลสุสานทางด้านทิศใต้หันเข้าสู่เชิงเขา ลี่ซาน ทำเลทางทิศเหนือหันไปที่ลำน้ำ เว่ยเหอ (อุ่ยฮ้อ)
ตัวสุสานเป็นเนินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองดูคลับคล้ายกับปิรามิด ของอียิปต์โบราณ แต่ที่ฐานกว้างกว่า ที่ยอดไม่แหลมเท่า บนยอดนั้นยังมีที่ราบที่กว้างขวาง มีความสูงทั้งหมดนับตั้งแต่ห้องฝังพระศพที่อยู่ใต้ดิน ไปถึงยอดที่ราบบนตัวสุสานวัดได้ 120 เมตร เส้นรอบวงของฐานสุสานวัดได้ 2,167 เมตร ได้ผ่านกาลเวลาอันยาวนานนับด้วยสองพันกว่าปี
พระเจ้า ฉินเอ้อซื่อ หูไห่ ฮ่องเต้องค์ต่อมา ได้นำพระศพมาฝังยังท้องพระโรงใต้ดินนี้ แล้วทรงมีพระราชโองการให้กรรมกรสร้างสุสาน 400,000 กว่าคน ก่อมูลดินกลบฝังสุสานท้องพระโรงใต้ดิน ซึ่งต้องใช้เวลานาน 2 ปี จึงสามารถก่อเป็นมูลดินของสุสานได้สำเร็จ นับได้ว่าสุสาน ฉินหวางหลิน เป็นสุสานโบราณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และแม้กระทั่งเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นได้
กล่าวกันว่า ตามแบบแผนของการสร้างสุสาน ด้านบนของสุสานไม่คิดว่าจะสร้างเป็นเนินราบ แต่ทว่าในขณะที่คนงานกำลังถมดินสุสานอยู่นั้น กบฏชาวนาซึ่งนำโดย เฉินเสิ้น (ตั่งเส่ง) และ อู๋กว่าน (โง่วก้วง) ได้นำกำลังบุกเข้ามาถึงดินแดน กวานจง (กวงตง) ถึงด่าน หันยู่กวน (หั่งยู่กวง) พระเจ้า ฉินเอ้อซื่อ (ชิ่งยีสี่) ทรงมีรับสั่งให้เหล่ากรรมกรที่กำลังพูนดินขึ้นยังยอดของสุสานจำนวน 400,000 กว่าคน เลิกงานพูนดินและทรงติดอาวุธให้บรรดากรรมกรเหล่านี้
แปรสภาพเป็นกองทัพ มุ่งหน้าสู่ด่าน หันยู่กวน เพื่อรับมือกับกองทัพของผู้ก่อการ เพราะฉะนั้น สุสาน ฉินหวางหลิน ด้านบนยอดจึงเป็นพื้นที่หน้าตัดเป็นที่ราบมาตาบเท่าทุกวันนี้