ผีมีจริง...?

ผีมีจริง...?
 
ผี....มีจริงหรือ ?

ผี...มี จริงหรือ?....เป็นคำถามที่ไม่สามารถอธิบายโดยมีพยานอ้างอิงได้เต็มปากเต็มคำ เรื่อง..ผี..เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานมนาน ไม่มีที่สิ้นสุด หากแต่คนที่ยังไม่เคยเจอผีก็มักมีเหตุผลมาอ้างอิงเสมอ เช่น ตาฝาดหรือเปล่า เมาหรือเปล่า โกหกหรือเปล่าและอีกหลาย ๆ เหตุผลมาเปรียบเทียบแต่...คนที่เคยเจอ..ผี.. จึงรู้ว่า..ผี..มีอยู่จริง ไม่ได้เมา ตาไม่ฝาดและไม่ได้โกหก คนที่เคยเจอมักจะพูดได้ประโยคเดียว....คุณไม่เคยเจอ คุณไม่รู้หรอก....ก่อน ที่จะบอกได้ว่า..ผี..มีจริงหรือไม่?..เรามาดูกันก่อนสิว่าไอ้เจ้า..ผี..มัน คืออะไร....จากหนังสือ..ผีในวรรณคดี..ครับ เขียนโดยคุณวิชาภรณ์ แสงมณี ข้าพเจ้าขอนุญาตคัดมาเป็นบางส่วนซึ่งเป็นข้อมูลทางวิชาการอาจมีประโยชน์ต่อ ท่านผู้อ่านหรือไม่ก็เอาแค่พอคลายเครียดจากการทำงานในชีวิตประจำวัน ครับ...เราเริ่มกันเลยนะครับ
ผี....คืออะไร ?
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้คำจำกัดความไว้ว่า..ผี..สิ่ง ที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีหรือร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า ; เรียกคนที่ตายแล้วว่า ..ผี..
นี่คือคำอธิบายเรื่อง..ผี..ตามพจนานุกรม
พลตรี หลงวิจิตรวาทการ ท่านปราชญ์คนหนึ่งของเมืองไทยได้อธิบายเรื่องผีไว้ในหนังสือ...วิชชาแปดประการ...ของท่านว่า
ลัทธิโยคีนั้น เขาถือว่าในมนุษย์เรามีส่วนใหญ่ที่แบ่งออกได้เป็น ๗ ส่วนคือ
๑. กาย
๒. เจตภูต
๓. ปราณ
๔. สัญญา
๕. ปัญญา
๖. ดวงจิต
๗ . วิญญาณ


คือท่านเรียงลำดับจากละเอียดมาหาของหยาบที่สุดคือ..กาย..และท่านอธิบายเรื่องเจตภูตไว้ว่า
เจตภูต..เป็นกายอีกกายหนึ่งซึ่งมีลักษณะละเอียดกว่ากายธรรมดา เพราะปกติเราเห็นด้วยตาไม่ได้ แต่ก็ยังหยาบกว่าธรรมชาติอีก ๕ ประการเพราะเจตภูตนี้ยังอาจเห็นได้ด้วยตาในบางครั้งเจตภูตเป็นสิ่งซึ่งคนในสมัยโบราณรู้จักดีที่สุด และเป็นบ่อเกิดของการ..ถือลาง..หรือ..ผีสาง.. หรือสิ่งลึกลับอะไรต่าง ๆ แต่ตามลัทธิของ..โยคี..นั้น..เจตภูต..เป็น ส่วนหนึ่งของกาย แยกออกจากกายได้เป็นบางครั้ง เช่นเวลาหลับนอน การที่แยกออกไปนั้นก็ยังมีความเกี่ยวพันกับกายอยู่ คล้ายมีสายใยผูกติดกันไว้ สามารถดึงเอากลับกายได้เมื่อต้องการ ในบางครั้งถูกดึงเข้ามาแรงหรือเร็วเกินไป เจตภูตก็กระทบกายอย่างแรงจนคนเรารู้สึกตัว ตัวอย่างเช่น เรานอนหลับอย่างสบาย...เจตภูตกำลังออกจากร่างกายไปท่องเที่ยวอย่างเพลิด เพลิน พอเกิดมีเสียงโครมครามขึ้นข้าง ๆ ตัวเราตกใจตื่น สายใยดึงเอาเจตภูตเข้ามาสู่กายทันทีและกระทบกายอย่างแรง จนเมื่อเราตื่นขึ้นมารู้สึกใจเต้นหรือตัวสั่นอยู่นาน
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการกล่าวต่อไปว่า
.....เมื่อกายแตกหรือถูกทำลายลง ที่เราเรียกว่า..ตาย..เจตภูต จึงไม่มีกายอยู่และออกท่องเที่ยวไป จนบางครั้งทำให้คนอื่นเห็นประจักษ์ตาอย่างที่เราเรียกว่า..ปีศาจ..ในเรื่อง กายกับเจตภูตนี้อาจเปรียบเทียบได้อย่างดีกับตัวเราและบ้านของเรา สมมุติว่าเรามีบ้านซึ่งอยู่มานานจนจวนพังแล้ว เรารู้ว่าบ้านนั้นจะพังลงในวันหนึ่งจึงเตรียมแสวงหาที่อยู่ไว้ใหม่ เมื่อบ้านนั้นพังทลายลงจริง ๆ เราก็ไปอยู่บ้านใหม่ทีเดียว โดยมิต้องมาวนเวียนอยู่ที่เก่าหรือต้องไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ แต่ถ้าบ้านของเรายังดีอยู่แท้ ๆ เราไม่เคยนึกว่าบ้านของเราจะพังทลาย บังเอิญเกิดภัยพิบัติเช่นอัคคีภัยมาทำลายบ้านของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัวหรือเตรียมแสวงหาที่อื่นไว้ เช่นนี้ เราก็มีอยู่สองทาง ทางหนึ่งวิ่งไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ อีกทางหนึ่งเราไม่รู้จะไปอาศัยใครเราก้ต้องวนเวียนอยู่ในบริเวณบ้านเก่าที่ ถูกทำลายลง ตากแดดตากฝนอยู่ในที่นั้น จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ดังนี้ฉันใด เจตภูตก็ฉันนั้น เมื่อกายเจ็บปวดทนทุกขเวทนาอยู่นาน เช่นเป็นโรคเรื้อรังแรมปี เจตภูตรู้ตัวแล้วว่ากายอันนี้จะทนทานอยู่ไม่ได้นาน ก้เริ่มท่องเที่ยวออกมองหาที่ไปอยู่ไว้ก่อน พอกายอันนี้ถูกทำลายลงเจตภูตก็ออกจากกายโดยเรียบร้อย ไม่ต้องวนเวียนไปมาอยู่ใกล้ ๆ แต่ถ้าร่างกายถูกทำลายลงเพราะอุบัติเหตุ เช่นถูกรถทับตาย ถูกฆ่าตาย หรือตายด้วยโรคปัจจุบันอย่างใดอย่างหนึ่งเจตภูตต้องออกจากกายโดยมิทันเตรียม ตัวจึงไม่รู้จะไปทางไหน จึงต้องวนเวียนอยู่ตรงนั้นเองหรือวิ่งไปหาพี่น้องที่ตนรักใคร่ จนบางครั้งไปปรากฏแก่ตาของใครคนหนึ่งเข้า จึงถูกเรียกว่า..ปีศาจ..และเพราะเหตุนี้เองคนที่ตายด้วยโรคเรื้อรังทน ทุกขเวทนามาตลอดกาลนานนั้น ไม่ค่อยมีใครจะเห็น..ปีศาจ..แต่คนที่ตายโดยปัจจุบันทันด่วนมักจะมีคน เห็น..ปีศาจ..บ่อย ๆ จรเราถือกันว่าคนที่ตายโหงมักจะ..เป็นผีดุ.. แต่ถ้าเราเชื่อตามลัทธิโยคีที่อธิบายมานี่แล้ว เราจะไม่กลัวผีเลย เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า..ผี..หรือ..ปีศาจ..ซึ่งเราหมายความถึงธรรมชาติที่ ดุร้ายอะไรต่าง ๆ นั้นที่จริงก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนี้เอง และมีอยู่ตั้งแต่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีขึ้นหลังจากเราตายไปแล้ว....
ครับ...นี่เป็นคำอธิบายเรื่อง..ผี...ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ คราวนี้ลองไปศึกษาท่านเสถียรโกเศศหรือท่านพระยาอนุมานราชธนกันบ้าง...ท่านกล่าวไว้ในหนังสือ..ผีสางเทวดา..ไว้ว่าอย่างนี้ครับ
.....สิ่ง ใดตามปกติไม่สามารถมองเห็นตัวได้ แต่เราถือหรือเข้าใจเอาว่ามีฤทธิ์อำนาจอยู่เหนือมนุษย์ อาจให้ดีหรือให้ร้าย คือให้คุณหรือให้โทษแก่เราได้ สิ่งเหล่านี้เรากลัวเกรงและบางทีก็ต้องนับถือด้วย เราจึงเรียกสิ่งที่ว่านี้ว่า..ผี.. จริงอยู่ บางคนเคยเห็นผี แต่ที่ว่าเห็นนั้นไม่ใช่เห็นตัวตนจริง ๆ ของผี ..ผี ..นั้น ตัวจริงจะมีอย่างไรแน่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าถ้าผีต้องการจะให้เห็นตัวตนก็จะสำแดงเป็นรูปร่างราง ๆ ไม่ชัดเจน หรือไม่ก็เป็นรูปต่าง ๆ ตามแต่ผีจะต้องการจะให้เห็น หรือตามที่เราจะเห็นไปเอง และว่านั่นแหละคือ..ผี.. หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งใดที่ปรากฏขึ้นแก่เราและเราไม่สามารถอธิบายด้วยปัญญาและเหตุผลหรือคิด ว่าเป็นสิ่งประหลาดน่าอัศจรรย์ผิดธรรมดาสามัญที่ควรจะเป็น สิ่งนั้นเราก้เรียกว่า..ผี..และเรียกอาการที่ปรากฏขึ้นในธรรมชาติที่ประหลาด อัศจรรย์หรือรุนแรงน่าสะพรึงกลัวว่า ..ผี..เป็นผู้บันดาลให้ปรากฏขึ้น ผีนั้นจะต้องมีอยู่ตลอดไป ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาจนทุกวันนี้.....
ท่านเสถียรโกเศศได้กล่าวไว้อีกว่า
.....คน โดยมากถือว่าเมื่อตายแล้วก็ไปเป็นผี...อะไรตาย..ตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า สิ้นลมหายใจ ร่างกายไม่เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกได้อีกต่อไป แล้วก้เน่าเปื่อยสูญสิ้น เพราะฉะนั้นที่ว่าตายคือตายแต่ร่างกาย แต่เราซึ่งเป็นลม ๆ มองไม่เห็นตัวนั้นถือว่าไม่ตาย สิ่งที่เป็นลม ๆ นี้เดิมเราเรียกว่า..ขวัญ..แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า..วิญญาณ..และวิญญาณนี้แหละถ้ายังไม่มาเกิดเป็นคนอีกก็ไปเกิดเป็นผีวิญญาณนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไรก้ไม่มีใครเคยเห็น ถ้าจะนึกเอาก็เห็นจะมีรูปร่างกลม ๆ อย่างดวงไฟ เราจึงเรียกว่า..ดวงวิญญาณ..และ คงจะมีลักษณะแบน ๆ ด้วยเราจึงพูดว่า..ขวัญบิน..คือขวัญหนีออกจากร่างกายไปเมื่อคนยังมีชีวิต หรือยังมีลมหายใจอยู่ก็เรียกว่ายังเป็นอยู่หรือยังไม่ตายเพราะวิญญาณสิงอยู่ ครั้นเมื่อตายแล้ววิญญาณจะได้อะไรอาศัยเป็นร่างกายตัวจนเล่าและจะรู้ได้ อย่างไรว่าเป็นใคร ตอบง่ายนิดเดียวว่ามีร่างเหมือนอย่างเดิมและแบบบางแต่โปร่งมาก เห็นได้แต่เงา ๆ เป็นลม ๆ เท่านั้น เรียกในภาษสันสกฤตว่า..อาตมัน..เดิม แปลว่า..ลมหายใจ..แต่เราเรียกว่า..วิญญาณ..เดิมแปลว่าความรู้สึก เพราะฉะนั้นเมื่อวิญญาณยังไม่มีโอกาส มาเกิดมีรูปร่างเป็นคนอีกก็เป็นผีไปก่อน เหตุนี้ผีจึงไม่มีรูปร่างเป็นแต่ลม ๆ ถ้าจะมีรูปร่างเมื่อเป็นผีก็เป็นรูปหากบันดาลให้เราเห็นไปเอง .....
ท่าน ผู้อ่านครับ...พอจะมองเห็นความหมายหรือตัวตนของคำว่า..ผี..กันหรือยัง...ไม่ น่ากลัวอย่างที่คิดกันใช่ไหมครับ คงจะลดหรือเลิกกลัวกันไปได้บ้าง...ผมผู้เขียนก็เคยโดนสอง-สามครั้งครับ เขียนลงในเรื่องสั้นเรื่อง..อุปาทาน..นั่นก็ใช่ ท่านที่ยังไม่ได้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านสิครับ....ผมก็ยังชี้ชัดไม่ได้ว่า ..ผี..มีตัวตนเป็นอย่างไร..แค่..มาเป็นลม ๆ วูบ ๆ วาบ ๆ อย่างที่ท่านเสถียรโกเศศกล่าวไว้ไม่ผิดเลย
หาก ใครที่ไม่เชื่อหรือยังไม่เคยเจออยากลองพิสูจน์ก็ย่อมได้....ตอนดึก ๆ หลังเที่ยงคืนไปแล้ว เชิญไปนั่งตามสี่แยกที่มีอุบัติเหตุตายกันบ่อย ๆ( ไปคนเดียวนะโยม ) อาจพบเห็นเจตภูตก็ได้หรือไปที่ป่าช้าเก่า ๆ ตามบ้านนอก ( ป่าช้าฝังแบบโบราณนะครับ หรือซองเก็บศพก็ได้ ..อย่าลืม!..ไปคนเดียวนะโยม ) คุณอาจโชคดีเจอแจคพอต ฟรีไสตล์ 1500 เมตร แบบม้วนเดียวจบก็เป็นได้ ก่อนไปก็หาเครื่องลางของขลังคล้องคอไปเสียหน่อยนะจ๊ะ...เหล่าคนไม่กลัวผี... เผื่อท่านจะช่วย.บำรุงขวัญและสร้างสรรกำลังใจให้เพิ่มมากขึ้น
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร : 22-07-2011 เมื่อ 09:30 AM
Credit: พลังจิตดอดคอม
#ผีไทย
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
12 ส.ค. 54 เวลา 06:55 7,851 12 170
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...