ตำนานสุดยอดดาบ

ดาบเป็นอาวุธคู่กายของนักรบมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ยิ่งในยุคกลางของทวีปยุโรป ดาบของบรรดาอัศวินเกาะเหล็กมีความหมายลึกซึ้งถึงขนาดเป็นอาวุธคู่ใจด้วย เพราะมีรูปลักษณ์เหมือนไม้กางเขนในศาสนาคริสต์นั้นเอง ดาบแต่ละเล่มของอัศวินดัง ๆ มักจะมีชื่อเรียกเป็นการเฉพาะและได้รับการยกย่องประดุจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีการลงวิญญาณไว้เสมอ คตินิยมนี้เป็นที่เชื่อถือกันแพร่หลายในยุโรปและเอเชีย อีกทั้งพระแสงดาบยังเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขององค์พระมหากษัตริย์ส่วนพระ แสงดาบของจจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นนั้น เชื่อกันว่าเทวดาประทานให้เลยทีเดียว 

ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ( Excalibur ) เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน จริงเท็จอย่างไร ไม่มีใครกล้ายืนยัน แต่ดาบที่ปักแน่นอยู่ในก้อนหินแบบเดียวกันกับดาบของกษัตริย์อาเธอร์ก็มีอยู่ จริง ๆ ที่ประเทศอิตาลี ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 โน่น โดยอยู่ในโบสถ์ซานกัลกาโน (San Galgano) ชานเมืองเซียน่า Excalibur คือดาบในตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ ที่เล่าลือว่ามีอำนาจวิเศษ หรือมีความเกี่ยวข้องกับสิทธิ์อันชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินอังกฤษ ในบางครั้งก็เรียกดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ว่า ดาบในศิลา (Sword in the Stone) ซึ่งใช้ในการพิสูจน์สิทธิ์ครองแผ่นดินของอาเธอร์ 
 


ดาบผีสิง 



มุรามาสะ ( Muramasa) ดาบที่ต้องดื่มเลือดมิตรสหาย 

ถ้าชีวิตของมาซามูเนะค่อนข้างเป็นตำนานแล้ว ชีวิตของมุรามาสะก็คงยิ่งกว่า เพราะเรารู้แค่ว่ามีนักตีดาบชื่อมุรามาสะ ซึ่งมีนามเต็มว่า เซ็นโง มุรามาสะ แต่ไม่รู้ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ แค่กะได้จากสำนักตีดาบของมุรามาสะที่ตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1501 และเปิดจนถึงช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 16 

แม้จะได้รับการกล่าวขาน คู่กับมาซามูเนะ แต่ชื่อเสียงของมุรามาสะนั้นคนละด้านของมาซามูเนะเลยทีเดียว 

โดย ขณะที่คาตานะของมาซามูเนะได้รับการยกย่องให้เป็นงานศิลปะเป็นเครื่องแสดง เกียรติของผู้ปกครองระดับสูง แต่คาตานะของมุรามาสะนั้นกลับเป็นของต้องห้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซามูไรตระกูลโตกุงาวะขึ้นมามีอำนาจในปีค.ศ.1603 มีเรื่องเล่ากันว่าในสงครามก่อนหน้านั้น โตกุงาวะ อิเอยาสุได้สูญเสียสหายร่วมรบไปด้วยคาตานะที่มุรามาสะตีขึ้นจำนวนมาก แม้แต่ตัวของอิเอยาสุเองก็ยังเคยถูกฟันด้วยผลงานของมุรามาสะ โชกุนคนแรกของสมัยเอโดะจึงได้ของคำสั่งห้ามซามูไรทุกคนพกคาตานะของมุรามาสะ คาตานะของมุรามาสะจึงมีชื่อเสียงในฐานะของอาวุธปีศาจ เป็นสัญลักษณ์ของความบ้าคลั่งและกระหายเลือด จนมีเรื่องเล่าว่า ถ้าคาตานะของมุรามาสะไม่ได้ดื่มเลือดจะไม่ยอมคืนฝัก 

ความแตกต่างของ นักตีดาบทั้งสองและคาตานะที่ทั้งคู่ตีขึ้นทำให้ทั้งสองถูกนำไปผูกเรื่องเป็น ตำนานที่ได้รับการเล่าสืบต่อกันมา โดยตำนานนั้นกล่าวว่า มุรามาสะเป็นลูกศิษย์ของมาซามูเนะ ได้ท้าทายอาจารย์ของตนให้ตีคาตานะแล้วมาเปรียบเทียบกัน ระหว่างนั้นพระรูปหนึ่งได้ผ่านมาเห็นการเปรียบเทียบเข้าก็เลยอาสาเป็นกรรม ตัดสิน ซึ่งพระรูปนั้นบอกว่า คาตานะของมุรามาสะนั้นเป็นคาตานะที่ดี แต่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความชั่วร้ายของปีศาจ ขณะที่ของมาซามูเนะนั้นเป็นคาตานะที่อ่อนโยนบริสุทธิ์ จะตัดเฉพาะสิ่งจำเป็นเท่านั้น
 






ดาบฟ้าพื้น ดาบที่เป็นที่สิงสู่งของเหล่าผีตายโหง 
ดาบฟ้าฟื้นเกิดจาก การเอาเหล็กทุกชนิดรวมทั้งโลหะอื่นนำมาหล่อรวมกัน แต่จะเน้นหนักไปที่ตะปูตอกฝาโลงผี7ป่าช้า พอฤกษ์งามยามดีก็ตั้งศาลเพียงตาแล้วให้ช่างตีเหล็กบรรจงแต่งตามรูปที่ต้องการ เมื่อเสร็จแล้วมีสีเขีบวแมลงทับ จากนั้นก็เจาะไม้ชัยพฤกษ์เอาผมผีพราย ตัวร้าย ๆ ใส่เข้าไปแลเวเอาชันกรอกทับเป็นด้าม เมื่อทขุนแผน ลองแกว่งดูก็เกิดเมฆลมพัดตลบอบอวลฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง แล้วเอาไม้สรรพยามาทำฝักแต่งเติมเสริมความงามจนพอใจจึงตั้งชื่อว่า ดาบฟ้าฟื้น ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผนบ้างก็ว่าเป็นแค่นิทานประรัมปะรา บ้างก็ว่าดาบถูกฝั่งไว้ใต้กรุง 



11 ส.ค. 54 เวลา 09:46 45,076 41 550
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...