10 เรื่องลับบันลือโลก
รวมหลายๆเรื่องที่ยังหาคำตอบไมได้ อาจจะมีบางเรื่องที่หลายๆท่ารู้แล้วและอีกหลายๆเรื่องที่ยังไม่รู้
ลองไปชมกันครับว่ามีอะไรกันบ้าง
1. ผีย้ายโลง
ประเดิมเรื่องแรกเป็นเรื่องลึกลับเกี่ยวกับศพคนในตระกูลเชสที่เก็บอยู่ในห้องเก็บศพใต้ดินของโบสถ์คริสต์ที่ตั้งอยู่บนเกาะบาร์บาดอสฝั่งตะวันออกของทะเลแคริบเบียน เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าบศพถูกสลับที่สลับทาง ทั้งที่ห้องล็อกแน่นหนา และศพหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายบได้ บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน มีหลายทฤษฎีถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว
2. ปัวโรต์ยังปวดขมับ (10 วันที่อกาธาคริสตี้หายไป)
ปีพ.ศ.2569 อกาธาคริสตี้ นักเขียนนิยายสืบสวนมือพระกาฬของโลกเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับชนิดที่ถ้านักสืบปัวโรต์ตัวเอกในนิยายนักสืบของเธอมีจริง ยังต้องมึนตึ้บไปกับการหายตัวอย่างไรร่องรอยของนักเขียนดังท่านนี้
ตำรวจพบรถของคริสตี้ฝังซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ไฟหน้าแตก เบาะหลังมีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ แต่ไร้ร่องรอยของนักเขียนเรืองนาม หลังจากหาตัวกันจ้าละหวั่นนานสิบวัน ตำรวจพบอกาธานั่งอ่านข่าวการหายตัวของเธออยู่ในห้องโถงรับรองของโรงแรมในเมืองยอร์กเชียร์ เธออ้างว่าเกิดความจำเสื่อมเพราะเครียดที่สามีบอกเลิก แต่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจริงหรือไม่ จนกระทั้งเธอตาย ปริศนานี้เลยเป็นปริศนาตลอดกาล ยกเว้นอกาธาเคยบอกว่านิยายเรื่องล่าสุดของเธอมีคำตอบที่แท้จริงว่า 10 วันที่เธอหายไปเธอไปอยู่ที่ไหน.....
3. ปล้นกลางเวหาสะท้านโลกันตร์
ปีพ.ศ.2514 ชายที่ใช้ชื่อว่า ดี.บี.คูเปอร์ จี้เครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่งของสหรัฐ เรียกเงิน 2 แสนดอลลาร์
เป็นใบละ 20 ดอลลาร์ล้วน พร้อมร่มชูชีพสี่ชุด ผู้โดยสารลึกลับรายนี้กระโดดออกจากเครื่องบินแล้วหายวับไปในอากาศ โดยเขาโดดร่มหายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบตะวันตกของสหรัฐฯ อย่างลอยนวล ซึ่งเอฟบีไอตามล่าอย่างไม่ลดละอยู่ 8 ปี ไม่พบทั้งคน ร่มชูชีพ หรือเงิน อย่างนี้ต้องยกให้เป็นโจรเทวดาขนาดแท้
4. ปีศาจลอคเนส (เนสสี ไดโนเสาร์หรืองวงช้าง)
ทุกวันนี้"เนสสี" กลายเป็นสถาบันระดับชาติของสกอตแลนด์ไปเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่ "ภาพปริศนา" ปรากฏ
ให้ฉงนว่ามันเป็นสัตว์โลกดึกดำบรรพ์หลงยุคที่ยังมีลมหายใจอยู่ในโลกปัจจุบัน ช่วงปีที่บันทึกภาพสัตว์ประหลาด
แห่งทะเลสาบเนสสีบังเอิญเป็นปีเดียวกับคณะละครสัตว์ของเบอร์ทรัม มิลล์ ยกขบวนมาแสดงที่เมืองแห่งนี้ อาจเป็นไปได้ว่า แท้จริงแล้วภาพที่ดูเหมือนลำคอยาวของไดโนเสาร์ที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเป็นแค่งวงช้างละครสัตว์ช่วงที่มันดำน้ำเล่นพักร้อนระหว่างเดินทาง ไม่ว่าจะอย่างไร ลอคเนสทำรายได้ท่องเที่ยวให้กับแดนปี่สกอตปีละ 50 ล้านปอนด์
5. พิศวงกลางทะเล (ลูกเรือแมรี่เซเลสเต้หายสาบสูญอย่างพิศวง)
เรือแมรี่เซเลสเต้(The Mary Celeste) เป็นเรือสัญชาติอเมริกาขนาด 103 ฟุต 282 ตัน เดิมเป็นเรืออเมซอนซึ่งถูกสร้างในปี 1861 และในปี 1869 ก็ถูกปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อเป็นแมรี่เซเลสเต้ วันที่ 7 พฤศจิกายน 1872 เรือแมรี่เซเลสเต้ออกเดินทางจากนิวยอร์คมุ่งไปยังเจนัว ประเทศอิตาลี ภายในเรือบรรทุกเอทิลแอลกอฮอล 1,701 บาร์เรล บังคับการเดินเรือโดยกัปตันเบนจามิน บริกก์ส และลูกเรือ 7 คน มีผู้โดยสาร 2 คนคือภรรยาและบุตรสาววัย 2 ปีของกัปตันบริกก์ส วันที่ 4 ธันวาคมปีเดียวกัน เรือ Dei Gratia พบแมรี่เซเลสเต้ลอยลำอยู่ในอ่าวโปรตุเกส หลังจากทำการสังเกตุการณ์เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้วก็ลงความเห็นว่าอาจจมีเหตุฉุกเฉินบนเรือแมรี่เซเลสเต้ แม้ว่าจะไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ กัปตันเรือ Dei Gratia ได้ส่งเรือเล็กพร้อมลูกเรือจำนวนหนึ่งไปยังแมรี่เซเลสเต้ แต่เมื่อไปถึง กลับไม่มีใครอยู่บนเรือเลย คนทั้ง 10 คนหายสาบสูญไปราวกับละลายไปในอากาศ ตามรายงานกล่าวว่า เรือเปียกทั้งลำ แต่ยังอยู่ในสภาพที่เดินเรือได้ นาฬิกาไม่ทำงานและเข็มทิศ
ถูกทำลาย หากสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ทุกอย่างบนเรืออยู่ในสภาพที่ราวกับว่าเพิ่งมีคนอยู่ที่นั่นจนเมื่อครู่ และพวกเขาพากันจากไปอย่างเร่งร้อน ขนมปังและจานซุปยังวางอยู่บนโต๊ะ (บางข่าวบอกว่าซุปยังร้อนอยู่ด้วยซ้ำ) ไปป์ถูกวางไว้รอจุดไฟรองเท้าบู้ธถูกวางทิ้งทั้งๆที่ยังขัดค้างไว้อยู่ มีรอยเลือดเหลืออยู่บนราวรั้วของเรือ และมีการพบดาบเปื้อนเลือดใต้เตียงนอนของกัปตัน บันทึกเดินเรือถูกฉีกขาดไปหลายหน้า แต่ก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นว่าคนทั้ง 10 หายไปไหนและก็ไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลยจริงๆ มีการสันนิษฐานไปต่างๆนานาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนแมรี่เซเลสเต้ บ้างก็ว่าเพราะเจอสัตว์ประหลาดปลาหมึกยักษ์ บ้างก็ว่าเพราะไอระเหยของเอธิลแอลกอฮอลทำให้พวกเขาเห็นภาพลวงตา บ้างก็ว่าเพราะอาหารที่เก็บไว้นานจนเกิดสารพิษ
6. หายไปกับเสียงเพลง (เกลน มิลเลอร์ )
หัวหน้าวงดนตรีแจสเกลนมิลเลอร์ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างเดินทางไปแสดงดนตรีขับกล่อมทหารพันธมิตรในกรุงปารีสปี2487 ตำรวจแถลงว่า มิลเลอร์ร้องเพลงครั้งสุดท้ายที่ซัน วัลเลย์ แต่ไม่มีใครพบเขาอีกเลย บ้างพูดว่าเขาถูกทหารอเมริกันยิงโดยไม่ตั้งใจ บางคนบอกว่าเขาช่วยเดวิด นีเวน ช่วยมาร์ลีน เดียทริชจากพวกนาซี และเสียชีวิตหลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทในบาร์ บางคนเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่
7. ใครฆ่ามาริลีน มอนโร (มาริลีน มอนโร ชู้รักประธานาธิบดี)
มักพูดกันว่าผู้ชาย(อเมริกัน) ชอบผู้หญิงผมบลอนด์ แต่สำหรับ มาริลีนมอนโร ดาราสาวเลอโฉมที่ตกเป็นข่าว "กิ๊ก" กับประธานาธิบดี คู่ควงเจ้าพ่อ นักเขียนบทละคร และนักเบสบอล กลับตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมสยองที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่เคยเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ปี ค.ศ.1962 วันที่ 4 สิงหาคม ตำรวจได้รับแจ้งว่าดาราสาวรวยเสน่ห์สัญลักษณ์ของฮอลลีวู้ด"ฆ่าตัวตาย" ตอน 04.25 น. ทั้งที่สตูดิโอภาพยนตร์ทเวนตี้ เซนจูรี ฟ็อกซ์ โทรไปแจ้งตั้งแต่สี่ชั่วโมงก่อน ทำไมศพของมาริลีนถึงดูไม่เหมือนคนฆ่าตัวตายเลย ทำไมถึงพบยาอยู่ในเลือด แต่ไม่มีในกระเพาะอาหาร ทำไมไม่มีรอยเข็มฉีดยา หรือว่า มาริลีนถูกหมอ เคนเนดี หรืออาจะเป็นซีไอเอฆ่าโดยไม่ตั้งใจ หรืออาจเป็นฝีมือมาเฟีย
8. ความตายของกวี
ความตายของเอ็ดการ์อัลเลน โพ กวีชาวอเมริกัน( Edgar Allan Poe) เจ้าพ่อแห่งเรื่องสยองขวัญ มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่สิบเก้า มีชื่อเสียงเรื่องความดาร์คสุดกู่ ช่างดูมืดมนและลึกลับ เช่นเดียวกับเรื่องราวของตัวเขาหลังจากเขาบอกว่าจะไปเยี่ยมอดีตแม่ภรรยา โพได้ถามถึงจดหมายที่ลงชื่อ อี.เอส.ที. เกรย ส่งหาเขาจากสำนักงานไปรษณีย์ฟิลาเดลเฟีย อีกห้าวันต่อมามีคนพบเห็นเขาที่บัลติมอร์ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนคนไร้สติ สวมเสื้อผ้าของคนอื่น และเสียชีวิตอีกหนึ่งวันให้หลัง มีคนเห็นว่าเขาถูกสะกดรอยตามตั้งแต่ขึ้นรถไฟ หรืออาจจะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง
9. คาสเปอร์ เฮาเซอร์ เป็นใคร
ปี2471 ชายหนุ่มท่าทางโง่ๆ คาสเปอร์เฮาสเซอร์ เดินท่อมๆอยู่บนถนนในเมืองเนิร์นแบร์ก เยอรมนี พูดอยู่ประโยคเดียวว่า "ฉันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ" ในกระเป๋าของเขามีจดหมายอยู่สองฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนชื่อเขาเอง ส่วนอีกฉบับเป็นจดหมายบอกให้เขามอบให้กับกองทัพ ซึ่งมีข้อความระบุว่าถ้าเขาไม่ได้รับเลือกให้เป็นทหาร ก็เอาเขาไปแขวนคอซะ หลังจากตรวจสอบข้อมูลพบว่า ชายผู้นี้มีอายุเพียง 16 ปี แต่มีสมองและความสามารถสื่อสารได้เท่ากับเด็กหกขวบ แถมยังมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับแกรนด์ ดุ๊ก แห่งบาเดนด้วย แต่ไม่ทันได้ไข เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสเปอร์วิ่งพรวดพราดกลับบ้านโดยมีบาดแผลถูก
แทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา และจะเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสเปอร์ก็ได้เสียชีวิตลง จนปริศนาก็กลายเป็นปริศนาต่อไป ว่าใครฆ่าเขาและฆ่าเพื่ออะไร
10. ใครฆ่าเจมส์บอนด์ ตัวจริง
ลิโอเนลบัสเตอร์ แครบ ถูกรับเข้าเป็นสายลับเอ็มไอ 15 ช่วงเกิดข้อพิพาทคลองสุเอซ เขาได้รับมอบหมายภารกิจให้ค้นหาอุปกรณ์หลบเลี่ยงคลื่นโซนาร์บนเรือรัสเซีย แต่ไม่มีใครพบแครบอีกเลย เชื่อกันว่าเขาอาจถูกสายลับเอ็มไอ 15 ของอังกฤษด้วยกันฆ่าทิ้ง บ้างเชื่อว่าเขาทรยศ ไม่ก็ถูกรัสเซียลักพาตัว และทรมาน ต่อมามีคนพบร่างไร้ศีรษะในชุดมนุษย์กบ ซึ่งเอ็มไอ 15 ยืนยันว่าคือศพของแครบ ทั้งที่ไม่มีทางแน่ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าคือเขา บางทีเขาอาจโดนใบสั่งฆ่าเสียเอง