มนุษย์ใต้พิภพ ไดโนแมน



ทฤษฎีมนุษย์ไดโนเสาร์

ความจริงแล้วมนุษย์ไดโนเสาร์นั้นมีมานานแล้วครับ
นัก วิทยาศาสตร์บอกว่าถ้าเจ้าไดโนเสาร์ชื่อ “โนนิโคซอรัส” ไม่สูญพันธุ์ไปก่อน(สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปี)ละก็มันจะวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์ไดโนเสาร์แน่นอน
แล้วทำไมเจ้าโนนิโคซอรัสถึงวิวัฒนาการได้แค่ชนิดเดียว ในขณะที่ไดโนเสาร์พันธุ์อื่นๆ ไม่วิวัฒนาการละ
นั้นก็เพราะเจ้าโนนิโคซอรัสนี้มีลักษณะแตกต่างจากไดโนเสาร์อื่นๆ นั้นเองครับ
หนึ่ง คือมันฉลาด และที่สำคัญคือมันสามารถใช้เท้าหน้าหยิบจับสิ่งของได้นั้นเอง(ก็เหมือนทฤษฎี ที่ว่าทำไมแมลงสาปไม่สามารถเป็นเจ้าโลกได้)



ความ จริงแล้วเรื่องของมนุษย์ไดโนเสาร์นั้นอาจไม่ใช้เรื่องจริงก็ได้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้นว่ามันมีอยู่จริง โดยอาศัยจากปากนักวิทยาศาสตร์บางคนที่เผลอปากเล่าสู่กันฟังและความสื่อที่ ออกมาไม่รู้จะจริงหรือไม่เท่านั้นเองครับ โดยพวกสื่อมวลชนมักชอบไปแต่งเรื่องจนมั่วมาก ขนาดบ้านเราก็มีอยู่ในนิตยสารแปลกโลกที่มีรูปที่ดูแล้วก็บอกได้ว่า “มั่ว”พร้อมประวัติมั่วๆ มาเล่าสู่กันฟัง
โดยต้นตอของเรื่องนี้คือ..............................
ที่เทือกเขาแอนดีส ประเทศเปรู ค.ศ. 1996
นัก วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเจอมนุษย์ประหลาดตัวหนึ่งในบริเวณที่ตกสำรวจในเทือกเขา เป็นเพศชาย อายุ 18 ปี โดยตอนพบกันครั้งแรก มนุษย์ประหลาดพยายามต่อสู้ แต่นักสำรวจได้ใช้ลูกดอกอาบยาสลบยิงจนสามารถจับได้



จาก การสำรวจพบว่ามันเป็นมนุษย์ที่พึลึกกึกกือ มีส่วนสูง 5 ฟุต 4 นิ้ว ส่วนหัวหน้าเหมือนไดโนเสาร์มีครีบใต้คางเหมือนกิ้งก่า ตากลมโตเหมือนมนุษย์ต่างดาว ผิวหนังเป็นเกล็ดสีเขียวอมเทา แขนขายาวเก้งก้าง มือแต่ละข้างมี 3 นิ้ว ส่วนเท้ามี 5 นิ้ว ทั้งมือและเท้ามีพังผืดยึดติดไว้คล้ายตีนเป็ด
มนุษย์คือตัวอะไรกันแน่??????????

นัก มานุษยวิทยาอเมริกันได้ขอตัวมนุษย์ประหลาดนี้นำไปวิจัยที่ศูนย์วิจัยลับแห่ง หนึ่งทางตอนเหนือของมลรัฐมิชิแกน พร้อมกับตั้งชื่อโครงการวิจัยนี้ว่า “โครงการวิจัยสิ่งมีชีวิตกึ่งคนกึ่งไดโนเสาร์” มันถูกนำเข้าห้องพักที่มีลูกกรงเหล็กรายล้อมรอบ มีโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาพฤติกรรมได้ตลอดเวลา
ผลจากการวิจัย ในระยะแรกมนุษย์ประหลาดไม่ยอมกินอะไร ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน เอาแต่เดินงุ่มง่านภายในที่พัก
ต่อ มาเมื่อมันคุ้นเคย เจ้าสิ่งนั้นเริ่มพูดภาษาคนได้ มันเรียกเผ่าตัวเองว่า “พีซะห์”หมายถึงสิ่งสะเทินบกสะเทินน้ำ อยู่ได้ทั้งที่มืดและที่สว่าง

แต่นักวิทยาศาสตร์และนักมานุษย์วิทยาศึกษาเจาะลึกมากกว่านั้น เบื้องต้น พวกเขาตั้งสันนิษฐานไว้เป็นข้อๆ ดังนี้

1. ถิ่นกำเนิด อาศัยของมนุษย์ประหลาดนี้น่ามาจากใต้พิภพโลก เพราะมันมีนัยน์ตากลมโต บ่บอกว่ามันต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตองอาศัยที่มืดมิด จึงต้องมีม่านตาขยายใหญ้หมือนกับตาของนกฮูกและแมว
2. น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวมาอาศัยบนโลกเมื่อหมื่นปีมาแล้ว แต่ต้องลงจอดใต้พิภพ เพราะบนโลกสว่างมาก
3. อาจเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกเรามาก่อน เพราะจากการทดสอบมันสามารถอยู่ใต้น้ำนานถึง 3 ชั่วโมง ถึงโผล่มาหายใจเหนือผิวน้ำครั้งหนึ่ง ซึ่งมีรูปแบบคล้าย จระเข้ กบ เขียด เป็นต้น
4. มันน่ามีวัฒนาการจากไดโนเสาร์มาเป็นมนุษย์



นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามสอนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโลกให้กับมนุษย์ประหลาดตัวนั้น ทำให้มันตอบสนองได้ในหลายประการ เช่น

1. สามารถเรียนรู้ภาษาของชาวโลกได้ 2 ภาษา คือภาษาอังกฤษและสเปน(ไม่มีภาษาไทย) แต่เป็นแค่การเรียนรู้แบบเด็กหัดเดิน
2. เป็นนักฟังที่ดี แต่มีการแสดงออกน้อยนิด ไม่ค่อยตอบสนองต่อความก้าวร้าว และมีความเมตตา ชอบออกกำลังกายตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่งๆ
3. วัดไอคิวอยู่ที่ 80-85 น้อยกว่าของมนุษย์โลก แต่มากกว่าของสัตว์ ตรงนี้ทำให้เชื่อว่ามันน่าอยู่ระหว่างรอยต่อของความเป็นไดโนเสาร์กับมนุษย์ มันชอบกินอาหารประเทศสัตว์ขนาดเล็ก เช่น งู หนอน หนู และพวกพืชก็รากไม้สดๆ
4. มันส่งเสียงประหลาดๆ ออกมาได้ 4 ระดับเสียง คือเสียงหวีดร้อง คำราม ตะโกน เสียงที่เปร่งอยู่ระดับ 125 เดซิเบล คาดว่าพวกมันน่าจะสื่อสารทางเสียงมากกว่าภาษาและท่าทาง
5. และนักวิจัยนี้ได้เรียกมันว่า “ไดโนแมน”

น่าเสียดายนักที่โครงการวิจัยนี้เป็นความลับสุดยอด(ยังอุตสาห์ปล่อยออกสู่ ภายนอกอีกนะ) เราทราบเรื่องของมันเล็กน้อยจากนักวิทยาศาสตร์ที่เปิดปากให้ฟังเท่านั้นเอง
ทฤษฎีมนุษย์ไดโนเสาร์

ความจริงแล้วมนุษย์ไดโนเสาร์นั้นมีมานานแล้วครับ
นักวิทยาศาสตร์บอกว่าถ้าเจ้าไดโนเสาร์ชื่อ “โนนิโคซอรัส” ไม่สูญพันธุ์ไปก่อน(สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปี)ละก็มันจะวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์ไดโนเสาร์แน่นอน
แล้วทำไมเจ้าโนนิโคซอรัสถึงวิวัฒนาการได้แค่ชนิดเดียว ในขณะที่ไดโนเสาร์พันธุ์อื่นๆ ไม่วิวัฒนาการละ
นั้นก็เพราะเจ้าโนนิโคซอรัสนี้มีลักษณะแตกต่างจากไดโนเสาร์อื่นๆ นั้นเองครับ
หนึ่งคือมันฉลาด และที่สำคัญคือมันสามารถใช้เท้าหน้าหยิบจับสิ่งของได้นั้นเอง(ก็เหมือนทฤษฎี ที่ว่าทำไมแมลงสาปไม่สามารถเป็นเจ้าโลกได้)

ที่มา
http://galantai.inno.bme.hu/talalman...kessegek4.html
http://my.dek-d.com/kodomo_qoo/story...85&chapter=141

Credit: http://galantai.inno.bme.hu/talalman...kessegek4.html
9 ธ.ค. 52 เวลา 15:19 14,178 61 354
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...