ศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
เอื้อเฟื้อข้อมูลโดย : ไทยรัฐออนไลน์
อ้างอิงจาก : การสอนโดยวิธีการล้างสมอง (Brainwashing) | ThaiGoodView.com Knowledge for Thai Student
ผม เห็นว่า บทความเป็นประโยชน์ต่อ สาธารณชนทั่วไป ในยุคข้อมูลข่าวสาร จึงขออนุญาตินำมาเผยแพร่ แม้ บทความจะยาวไปซักหน่อย ถ้าสนใจลองค่อยๆอ่านและพิจารณาไตร่ตรองดู อาจเกี่ยวโยงสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หากซ้ำหรือมีผู้ใดเคยลงไว้ในเวบพลังคลิปแมสขออภัย ณ ที่นี้ ....
ผลของการสอน ทำให้เกิด “การเรียนรู้” ซึ่งเป็น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่จัดให้จากกระบวนการสอน
“การล้างสมอง” เป็นวิธีการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลเช่นกัน...
การ สอนด้วยวิธีการล้างสมองนิยมใช้กับการปลูกฝังความเชื่อ ทางศาสนา ลัทธิการเมือง การขายสินค้า การทำสงคราม และการสร้างอำนาจและความยิ่งใหญ่ให้กับวัตถุ หรือ บุคคล เป็นต้น...
ffice>>
การ ล้างสมอง ไม่เหมือนการล้างจาน หรือ การซักผ้า ซึ่งเป็นการทำให้เกิดความสะอาดเอี่ยม ไม่มีสิ่งสกปรกหลงเหลือ แต่การล้างสมองเป็นการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ และความศรัทธา จนเกิดเป็นค่านิยม บุคลิกภาพ และนำไปสู่การแสดงพฤติกรรมตามความคิด>>
การล้างสมอง เป็นคำที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบและใช้ในประเทศที่มีระบบการปกครองตรงข้ามกับระบบเสรีประชาธิปไตยในยุคสงครามเย็น
สำหรับ ในประเทศฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนิยมใช้คำว่า “การควบคุมจิตใจ” หรือ Mind Control นอกจากนี้ยังมีคำที่ใช้มีความหมายใกล้เคียงกัน ได้แก่ Coercive Persuasion และ Thought Control รวมทั้ง Thought Reform เป็นต้น
>>
การล้างสมอง เป็นเทคนิควิธีทางจิตวิทยา ที่นำมาใช้เพื่อปรับแนวความคิดของบุคคลเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบหรือแบบแผนที่ได้กำหนดไว้
คำว่า "Brainwashing" นี้ได้มาจากภาษาพูดในภาษาจีนที่เขียนตามคำอ่านว่า สี-เหน่า (แปลว่า ล้างสมอง)
การล้างสมองที่ใช้ในประเทศจีนจะดำเนินการโดยให้มีการสารภาพความผิดเสียก่อนแล้วจากนั้นก็จะมีการใช้กระบวนการให้การศึกษาใหม่ วิธี การต่าง ๆ ที่นำมาใช้เพื่อให้เกิดผลในการล้างสมองแก่บุคคลนั้นก็จะมีการใช้วิธีรุนแรง และผ่อนปรนผสานกันไป หรือจากเบาไปหาหนัก และจะมีการสลับด้วยการใช้วิธีการ บังคับ ขู่เข็ญ ให้คุณและให้โทษทั้งทางร่างกายและทางจิตใจอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ละทิ้งความคิด ความเชื่อแบบเก่านั้นเสียก่อนแล้วจึงสร้างความคิดแบบใหม่ใส่เข้าไปไว้แทน อาจเรียกว่าเป็นการปลูกถ่ายความคิดก็ได้>>
การ สอนโดยวิธีการล้างสมองนี้ ได้ถูกนำไปใช้สอนมวลชนชาวจีนในช่วงหลังปี ค.ศ. 1949 ที่คอมมิวนิสต์ได้ชัยชนะในสงครามกลางเมืองในประเทศจีนแล้ว ในช่วงสงครามเกาหลีคนจีนได้ล้างสมองเชลยศึกอเมริกันได้สำเร็จในบางราย มีเชลยศึกอเมริกันบางรายประกาศเลิกจงรักภักดีต่อสหรัฐอเมริกา ได้สารภาพบาปที่ได้ก่ออาชญากรรมสงคราม และคนกลุ่มนี้ก็ได้เลือกที่จะขอลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนแทนที่จะถูกส่งตัวกลับ ประเทศสหรัฐอเมริกา และในช่วงที่เกิดความขัดแย้งในสงครามเกาหลี โดยเกาหลีเหนือนำวิธีการนี้ไปสอนเยาวชนของประเทศเกาหลีเหนือตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 1960 จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้อยู่แต่ลดระดับความเข้มลงไปบ้าง
>>
การ ล้างสมองที่ใช้เป็นเทคนิควิธีสำหรับปรับค่านิยมใหม่ให้แก่บุคคลและเพื่อ เปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีของบุคคลนี้ยากที่จะประเมินประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล เพราะเป็นกระบวนการที่สร้างให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ซึ่งมีความซับซ้อนในโครง สร้างความคิดอย่างมาก แม้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญทางสงครามจิตวิทยาบางรายมีความเชื่อว่า การล้างสมองนี้สามารถใช้อย่างมีประสิทธิผลในการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางด้าน อุดมการณ์มากยิ่งกว่าในการเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีต่อชาติของบุคคล วิธีการสอนแบบล้างสมอง
ffice>>
การ สอนโดยวิธีการล้างสมองนิยมใช้กับการปลูกฝังความเชื่อทางศาสนา ลัทธิการเมือง การขายสินค้า และสร้างอำนาจและความยิ่งใหญ่ให้กับวัตถุ หรือ บุคคล เป็นต้น การสอนโดยวิธีการล้างสมองมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
>>
1. ทำการศึกษาผู้เรียนหรือกลุ่มเป้าหมายเพื่อหาจุดอ่อนไหวร่วมกัน แล้วทำการให้ข้อมูลใหม่หรือความคิดใหม่ ที่ขัดแย้งกับข้อมูลเดิมหรือความคิดเดิมที่อ่อนไหวซึ่งผู้เรียนไม่แน่ใจใน ข้อมูลหรือความคิดเดิมมากนัก ถึงแม้ข้อมูลหรือความคิดใหม่ที่ให้จะไม่เป็นความจริงหรือถูกต้องทั้งหมดก็ ตาม โดยพยายามสร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับข้อมูลหรือความคิดใหม่นั้นให้กับ ผู้เรียนก่อนเป็นอันดับแรกด้วยกลอุบายต่าง ๆ แม้แต่การแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทั้งที่มีจริงหรือใช้กระบวนการทางจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ มายากล รวมทั้งใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่คนส่วนมากไม่รู้จักจัดกระทำให้เกิดขึ้นก็ ตาม
>>
2. ไม่เปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงในการสอน ให้ใช้การแสดงออกของผู้เรียนบางคนที่พร้อมรับการตอบสนองกับข้อมูลหรือความ คิดใหม่ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะมีบุคคลประเภทนี้ปะปนอยู่ในกลุ่มเสมอแม้จะไม่ได้มีการ จัดกระทำเตรียมไว้ก็ตาม โดยใช้คนเหล่านี้เป็นตัวแทนของข้อมูลใหม่หรือความคิดใหม่ เพื่อนำเสนอให้กับกลุ่มเป้าหมายโดยรวมหรือผู้เรียนที่เหลือ
>>
3. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอันเป็นที่เป็นที่มาของเรื่องราวหรือเนื้อหาที่ สอนในมิติที่แตกต่างไปจากที่ผู้เรียนเคยได้รับรู้หรือเรียนรู้มา เพื่อเสริมการนำเสนอข้อมูลหรือความคิดใหม่ที่ให้กับผู้เรียน ในขั้นนี้ต้องแสดงความขัดแย้งของข้อมูล และเสนอทางเลือกให้ โดยการโน้มน้าวจากข้อมูลใหม่ให้เห็นคล้อยตาม แต่จะยังไม่บังคับ ขู่เข็ญ ลงโทษในทันที ให้เริ่มใช้มาตรการขั้นเบาก่อน แล้วจึงเริ่มกดดันให้รับความคิดใหม่หรือความเชื่อใหม่ด้วยกระบวนการกลุ่มและ อิทธิพลของกลุ่ม ตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก
>>
4. สรุปบทเรียนด้วยการสร้างเป็นหลักการ หรือทฤษฎี ที่ง่ายกับการจดจำเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือในข้อมูลหรือความคิด ใหม่โดยเน้น ข้อดี ตามที่ต้องการมากกว่า ข้อเสีย ที่ไม่ต้องการให้นำไปใช้และแสดงให้เห็นว่าการยอมรับความคิดใหม่เป็นทางเลือก ที่ถูกต้อง ถ้าเลือกแตกต่างออกไปจะมีปัญหาในการทำกิจกรรม หรืออยู่ร่วมกับหมู่คณะ ในขั้นนี้อาจมีผู้เรียนบางคนที่ต้องออกไปเพราะไม่สามารถยอมรับได้ ถือเป็นสิ่งปกติ และไม่แสดงการขัดขวางอย่างรุนแรง
>>
5. ทำการเลือกสัญลักษณ์ คำพูด หรือรหัสสำหรับการนำไปใช้ โดยให้สามารถสัมผัสได้ หมายถึง ทำให้นามธรรมจากการสรุปบทเรียนนั้น เป็น “รหัส” ที่มองเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสได้ด้วยผัสสะปกติของมนุษย์ เพื่อที่จะสามารถถอดรหัสออกมาใช้ได้ตลอดเวลา และรวมถึงเป็นการสร้างความเป็นพวกเดียวกันให้กับผู้อื่นที่มีความคิดเหมือน กัน เพิ่มความเข้มแข็งให้กับพลังของกลุ่มหรืออิทธิพลของกลุ่ม>>ทำไมต้องใช้วิธีการล้างสมอง
ffice>>
ผล ของการสอนทำให้เกิด “การเรียนรู้” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่จัดให้จากกระบวน การสอน “การล้างสมอง” เป็นวิธีการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลเช่นกัน
>>
การ ใช้วิธีการล้างสมองในการสอนนั้นเป็นวิธีการที่เป็นอยู่จริง มีการใช้จริง และมีผลเกิดขึ้นอยู่แล้วจริง จึงถือว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลถึงแม้จะเป็นวิธีการที่มีภาพลบของคำ ว่า “ล้างสมอง” แต่สาระสำคัญนั้นอยู่ที่การปลูกฝังสิ่งใหม่ให้กับผู้เรียน ซึ่งการกระทำเพื่อปลูกฝัง เผยแพร่ความคิดใหม่หรือให้ข้อมูลใหม่ที่ลบล้างความคิดเดิมหรือข้อมูลเดิมดัง กล่าวนั้นมีการดำเนินการอยู่เป็นปกติวิสัย แต่ในโลกเสรีประชาธิปไตยอาจเลือกใช้ วาทกรรม และใช้คำพูดที่ให้ความรู้สึกทางบวก มากกว่าเท่านั้น
>>
มี รายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สื่อ โทรทัศน์ เป็นสื่อสำคัญที่ใช้สำหรับการล้างสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมการบริโภคของแม่บ้านในการเลือกจับจ่ายสินค้า การเผยแพร่ศาสนา การโฆษณาชวนเชื่อของลัทธิต่าง ๆ จึงหันมาใช้สื่อโทรทัศน์ในการนำเสนอความคิดหรือข้อมูลให้กับประชาชนมากกว่า ดำเนินการสอนศาสนาหรือความเชื่อเฉพาะในสถานที่เท่านั้น
>>
การ สร้างกลุ่มมวลชนให้มีความคิดเหมือนกัน ยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกัน เข้าใจตรงกันเป็นพลังที่สำคัญสำหรับการดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม การใช้วิธีการล้างสมองจะสามารถสร้างมวลชนให้ยึดมั่นอยู่กับกลุ่มได้คงทนและ ทุ่มเท เสียสละให้กับกิจกรรมของกลุ่มความคิดได้มากกว่า ยาวนานกว่าวิธีการสอนทั่วไปเพราะสามารถเข้าถึงจิตใจ หรือควบคุมจิตใจมวลชนได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ผ่านการล้างสมองของลัทธิบางลัทธิสามารถทำกิจกรรมได้ทุกประการเพื่อ ลัทธิของตนอย่างไม่เกรงกลัว
>>
พลัง ของสมองและพลังของความคิดแบบนี้จึงมีพลังมากและคงทน นักการศึกษาสามารถประยุกต์และนำข้อดีเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการ เรียนการสอนได้ และเชื่อว่าวิธีการนี้จะสามารถสร้างคนที่มีพลังความคิด ความสามารถไปในทางดีงามหรือทางบวกได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรปรับนำมาใช้ ถึงแม้จะเป็นเสมือนดาบที่แหลมคม แต่ถ้านำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และควบคุมให้ดี ก็จะมีประโยชน์มากเช่นกันการหลีกเลี่ยงการถูกล้างสมอง
ffice>>
เมื่อ เกิดความรู้สึกว่า ตนเองกำลังถูกล้างสมอง ตามกระบวนการขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น และพิจารณาเห็นว่าข้อมูลใหม่หรือความคิดใหม่ยังไม่ตรงกับความต้องการให้ทำ การหลีกเลี่ยงโดยพิจารณาและดำเนินการต่อไปนี้
>>
1. พึงตระหนักว่า การล้างสมองเป็นวิธีและกระบวนการสอนอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่หลอกลวง แต่เป็นกระบวนการและวิธีการที่มีอยู่จริงและเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถทดลองและพิสูจน์ได้ ผู้ที่อยู่ในกระบวนการล้างสมองไม่ใช่เฉพาะคนที่โง่ สมองไม่ดี หรือถูกหลอกง่ายอย่างที่เข้าใจกัน ถึงแม้คนฉลาด อัจฉริยะ ก็อยู่ในกระบวนการล้างสมองหรือถูกล้างสมองได้ ดังนั้นคนดี คนเก่ง และน่านับถือในสายตาของคนทั่วไปจึงถูกล้างสมองได้เช่นกัน คนสมองดีเสมือนเป็นดินที่ดี เอาต้นไม้อะไรไปปลูกก็งอกงามดี การล้างสมองเป็นการเอาต้นไม้เดิมออกและปลูกต้นไม้ใหม่ เป็นต้นไม้ความคิด เมื่อไปอยู่กับดินที่ดีหรือคนสมองดี จะมีพลังมาก
>>
2. เมื่อได้รับการสอนหรือเชิญชวนในลักษณะที่แปลก ๆ อย่าใช้ตรรกศาสตร์ หรือความคิดเชิงเหตุผลมากนัก ใช้ความรู้สึกของตนเองให้มากขึ้น เพราะกระบวนการล้างสมองใช้หลักตรรกศาสตร์ที่เหนือกว่า ดีกว่าเสมอ ให้เลือกรับข้อมูลตามความรู้สึก หรือใช้สามัญสำนึกทั่วไปก่อนในอันดับแรก
>>
3. อย่าคล้อยตามหรือชื่นชมในกิจกรรมต่าง ๆ และอย่าทำตัวเป็นฟองน้ำที่ซึมซับทุกอย่างที่ผู้ต้องการล้างสมองนำเสนอ ให้หลีกเลี่ยงการร่วมกิจกรรมจากกลวิธีต่าง ๆ
>>
4. แสวงหาข้อเท็จจริงรายรอบที่เป็นข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ไม่เฉพาะในสาระ ที่ผู้ต้องการล้างสมองนำเสนอเท่านั้น ในการแสวงหาข้อเท็จจริงจะพบประเด็นที่ชัดเจนในมูลเหตุของการจูงใจของผู้ต้อง การล้างสมอง และในขั้นนี้จะพบอีกว่าเป็นการสร้างความรู้สึกให้ท่านคล้อยตามมากกว่าการให้ ข้อมูลที่แท้จริง หรือการใช้ความคิดเชิงเหตุผล ดังนั้นความรู้สึกท่านจึงนำมาใช้ต่อสู้กับความรู้สึกของผู้ต้องการล้างสมอง ไม่ใช่การใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียว เพราะกระบวนการของการล้างสมองมักจะนิยมให้ข้อมูลเท็จหรือจริงเพียงบางส่วน (ดูข้อที่ 1 ของวิธีการล้างสมอง)
>>
5. หาคำตอบ เหตุผล และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสำหรับผู้ที่คล้อยตามหรือชื่นชมกับการนำเสนอของ ผู้ล้างสมอง กระบวนการกลุ่มและอิทธิพลของกลุ่มซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยบุคคลที่ท่านนับถือ ท่านไม่ต้องทำตามกลุ่มเหล่านั้น เพราะเขาเหล่านั้นได้ถูกล้างสมองไปแล้ว ท่านจะเป็นผู้ที่ก้าวออกมาและหลุดพ้นจากกระบวนการล้างสมองได้อย่างสบายใจ
>>
ความ สำคัญจึงอยู่ที่ ต้องมีความสบายใจและมั่นใจกับการก้าวออกมาจากกระบวนการล้างสมอง และสามารถตอบโต้กับการคุกคามต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้วาทกรรม กระบวนการกลุ่ม รวมทั้งอิทธิพลของกลุ่มได้อย่างฉลาด องอาจ กล้าหาญ และปลอดภัย