ดารา vs ขายบริการ โลกมืดคู่ขนานในวงการมายา
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
21 กรกฎาคม 2554 18:05 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
คำโบร่ำโบราณที่กล่าวกันต่อๆ มาว่า 'นารีมีรูปเป็นทรัพย์' นั้น มาถึงวันนี้คงไม่มีใครปฎิเสธได้ว่า มันไม่จริง!
ดูอย่างเหล่าดาราทั้งหลายในเมืองไทยและในต่างประเทศเป็นตัวอย่างก็ ได้ ขยับตัวกันแต่ละทีตัวเลขเงินฝากในบัญชีก็จะมีแต่สูงขึ้น สูงขึ้น นั่นก็เป็นเพราะเขามีหนทางในการแปรรูปสมบัติที่มีติดตัวให้กลายเป็นทรัพย์
แต่สำหรับบางคนการขายรูปร่างหน้าตาของตนเองผ่านวงการมายา อาจจะไม่นำมาซึ่งรายได้ที่พอใจ พวกเธอ (ในบางครั้งก็มีพวกเขาด้วย) จึงได้ตัดสินใจเปิดให้เช่าสมบัติส่วนตัว ให้คนที่สนใจเข้ามาเชยชม แลกกับผลตอบแทนก้อนโต
หลักฐานที่เพิ่งมีให้เห็นกันหมาดๆ ก็คือกรณีที่ อุ้ม - ลักขณา วัธนวงส์ศิริ ดาราสาวเซ็กซี่ ออกมาแสดงแสดงความไม่พอใจ ในกรณีที่มีเพื่อนนางแบบของตน ได้เข้ามายื่นข้อเสนอเป็นเงิน 500,000 บาท เพื่อแลกกับการให้เธอไปกินข้าวและนอนกับนักการเมือง ซึ่งตัวอุ้มเองถึงกับตัดพ้อออกมาดังๆ ว่า
“รู้สึกมันทุเรศ รู้สึกแย่ ทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้”
แต่จะว่าไป เหตุการณ์เสนอเงินมาแลกกับตัวในวงการมายานั้น มันก็มีมานานแล้ว นานเสียจนอาจจะเรียกได้ว่า เป็นมิติคู่ขนานกันเลยทีเดียว
ขายบริการคืองานเสริม
ลองมาดูกันว่ากว่าจะได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับดาราสักคน จะต้องทำอย่างไรกันบ้าง
“เส้นทางของมันเริ่มจากการติดต่อผ่านทางผู้จัดการดารา หรือคนที่คุ้นเคยกับดาราคนนั้น เช่น สไตลิสต์ ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ฯลฯ คือทุกคนสามารถทำอาชีพแฝงเป็นนายหน้าได้หมด โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเริ่มต้นจากการนัดกินข้าว แล้วมันจะมีเรตราคา กินข้าวกับคนที่ดังๆ อาจจะประมาณสัก 50,000 บาท แต่ถ้ายกขาอาจจะเป็น 100,000-200,000 บาท ซึ่งอาจจะนัดกันเป็นสถานที่ซึ่งเป็นประเทศใกล้เมืองไทย อาจจะเป็นฮ่องกงหรือที่อื่นๆ ในย่านเอเชีย ส่วนค่าใช้จ่ายทุกอย่างผู้ซื้อก็ต้องเป็นคนออกให้ทั้งหมด”
สุชาติ (นามสมมติ) นักข่าวสายบันเทิงอาวุโส ที่โลดแล่นอยู่ในวงการมายามาหลายสิบปี และได้ขอสงวนนามจริงเพื่อความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ได้เปิดเผยถึงเส้นทางในการค้ากาม ซึ่งเป็นงานเสริมรายได้งามของดาราบางคน โดยเขาบอกว่า ส่วนมากดาราเหล่านี้มักจะเข้าสู่วงจรโดยการชักนำจากนายหน้าฝีปากดี ที่ต้องการได้ค่าหัวคิว โดยเริ่มจากการนัดให้ไปกินข้าวกับแขกกันก่อน จากนั้นจะทำอะไรต่อค่อยว่ากัน
“มันจะมีส่วนค่าตอบแทนของนายหน้า อย่างนัดนี้ให้ดาราห้าหมื่นโดยมารยาท ส่วนนายหน้าก็บวกให้ต่างหาก แต่นายหน้าบางคนก็หักจากก้อนห้าหมื่นอีกต่อหนึ่ง มันจะมีการตกลงราคากันก่อน จะมีเกรดลดหลั่นลงไป ถ้าคนดังระดับนางเอกเบอร์หนึ่งกินข้าวก็คงเป็นแสน เพราะฉะนั้นค่ายกขามันก็เพิ่มจากนี้ ส่วนใหญ่จะรับเป็นเงินสด และไม่มีการโกงแน่นอน เพราะพวกนี้เขาเป็นคนรวยอยู่แล้ว คือการนัดกินข้าวมันเหมือนกับเป็นสะพานเชื่อมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย อีกอย่างเงินจากการกินข้าวเป็นเงินที่ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าอย่างไปออกอีเวนท์งานหนึ่งมันต้องเสีย มันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะหาเงินได้ และในบางครั้งคนขายก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเสียหายอะไร
“ยกตัวอย่างการซื้อบริการทางเพศจากดาราชายก็ได้ สมมติเขาไปนอนกับเกย์ ตัวดาราก็จะนอนเฉยๆ ตรงนี้บางคนก็เลยมองว่ามันไม่ได้เสียหาย เพียงแค่ไปนอนเป็นไม้ซุงก็ได้เงินมาใช้สบายๆ”
วิธีการที่ดูเหมือนพิธีรีตองดังกล่าวนั้น เป็นวิธีการที่ใช้กับดาราในระดับพระเอกนางเอก หรือพวกที่มีชื่อเสียงมากๆ แล้วเท่านั้น แต่กับพวกที่เพิ่งเข้าวงการมีงานตัวประกอบนิดหน่อย หรือมีงานโฆษณาออกอากาศไม่กี่ชิ้นก็จะมีวิธีการแตกต่างออกไป
“นายหน้าพวกนี้จะมีคอนแทกต์ของลูกค้าอยู่ในมืออยู่แล้ว ซึ่งเขาก็จะเพียรส่งเอ็มเอ็มเอสรูปภาพแล้วก็ราคามาให้ลูกค้าเป็นประจำ ถ้าสนใจก็ติดต่อกลับไปนัดวันเวลาได้เลย พวกนี้จะไม่เรื่องมากเพราะเขาขายเป็นประจำอยู่แล้ว” เป็นปากคำของ ลลิตา (นามสมมติ) ว่าที่ภรรยาหลวงของหนุ่มใหญ่ระดับมหาเศรษฐีซึ่งพบเห็นเรื่องแบบนี้มานักต่อนัก โดยเธอเล่าต่อว่า
“วิธีการของดาราที่รับจ็อบนั้น นอกจากจะผ่านบรรดาเหล่านายหน้าแล้ว มันยังมีอีกทาง โดยทางฝ่ายคนซื้อเขาจะรวมตัวกันจัดไพรเวทปาร์ตี้แล้วก็เชิญดาราที่เขาชอบมา ร่วม (ไม่ว่าดาราคนนั้นจะเคยมีข่าวว่าขายหรือไม่ก็ตาม) จากนั้นก็จะลองเลียบๆ เคียงถาม ซึ่งวิธีแบบนี้มันก็เหมือนกับการเข้าไปจีบนั่นแหละ แต่เป็นการจีบเป็นกิ๊ก ไม่ได้จีบเป็นแฟน เพราะคนที่จัดปาร์ตี้ลักษณะนี้ ร้อยทั้งร้อยก็มักจะมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว ซึ่งถ้าดูๆ แล้วมีแววว่าดาราคนนั้นจะโอเค คนซื้อก็จะเสนอผลตอบแทนในระดับที่สูงมากๆ ให้ทันที ส่วนมากก็จะสำเร็จนะ”
ลลิตาบอกว่า เรื่องของผลประโยชน์นั้นไม่เข้าใครออกใคร ดาราระดับซูเปอร์สตาร์ในวันนี้บางคนก็เคยผ่านกระบวนการทำตนเองให้เป็นสินค้า ในช่วงเริ่มต้นของการเข้าวงการบันเทิงมาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต เพราะถ้าเกิดทำแบบเดิมในปัจจุบัน มันย่อมได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน
ไม่มีมูลหมาไม่ขี้
แต่ถึงแม้จะมีการไปฟีเจอร์ริงกันไกลถึงต่างประเทศ แต่แต่สุดท้ายมันก็ยังมีข่าวหลุดมาอยู่ดี ซึ่งสุชาติบอกว่า ต้นตอนั้นมันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากการเมาธ์มอยของบรรดานายหน้าด้วยกันเอง
“ที่ข่าวหลุด ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะนายหน้าด้วย เพราะโดยมากนายหน้ามักเป็นเกย์ที่ช่างเมาธ์อยู่แล้ว มันอดไม่ได้ที่จะต้องมาเมาธ์ อุ๊ย!...คนนี้ฉันไปส่งเอง! คนนี้ขายนะ! ก็อดไม่ได้ที่จะเอามาเมาธ์ มันก็เลยหลุดไง แต่บางทีบทสรุปของตรงนี้มันก็เป็นแค่ข่าวลืออยู่ดี เพราะพวกนี้มันไม่มีใบเสร็จรับรองว่าจริงหรือไม่ คือเราไม่รู้หรอกว่าอะไรเท็จ อะไรจริง มันปนเปมั่วไปหมด กลายเป็นสังคมของข่าวลือ ไม่ใช่สังคมของข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นข่าวลือคนจะเชื่อ แต่อะไรที่เป็นข้อเท็จจริงไม่เชื่อกันหรอก นี่คือสภาพสังคมที่มันเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องข่าวลือหมด”
แต่ไอ้เจ้าข่าวลือที่ว่า กลับเป็นเรื่องโปรดปรานของคนเสพข่าว และเป็นวัตถุดิบชั้นดีของคนขายข่าว ในแง่มุมนี้ ผศ.กัลยกร วรกุลลัฎฐานีย์ หัวหน้าสาขาวิชาโฆษณา คณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า จริงอยู่ที่นักข่าวมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อเท็จจริง แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาด้วยว่าข่าวที่นำเสนอ ส่งผลกระทบต่อคนอื่นหรือไม่ เพราะหนังสือประเภทซุบซิบดารา และหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อที่วัยรุ่นเข้าถึงได้ง่าย อาจนำมาเป็นตัวอย่างได้ หากนำเสนอข่าวในด้านลบมากจนเกินไป
“ก็โอเคนะ ในการนำเสนอ อย่างข่าวอุ้ม-ลักขณา มันมีข่าวมา สื่อก็ต้องนำเสนอ แต่เวลาเขียนข่าว เราสามารถเขียนให้ดีได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นข่าวเชิงลบเสมอไป แต่ในความเป็นจริง คนอ่าน อ่านจากพาดหัวอย่างเดียวมัน บางทีเฮดไลน์หวือหวามาก คนซื้อไม่ดูให้ดี อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะมันเป็นเชิงธุรกิจมากเกินไป บางทีมันก็ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่เป็นข่าวเหมือนกัน เพราะบางทีเฮดไลน์เป็นอย่างนี้ แต่ว่ารายละเอียดของข่าวกลับไม่มีอะไรเลย”
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่สื่อมวลชนมักเล่นข่าวแบบนี้แบบหวือหวา ส่วนหนึ่งก็เพราะคนเสพนั้นนิยมเสพเรื่องฉาวโฉ่มากกว่าเรื่องในแง่มุมอื่น
“คนเรามักจะชอบเรื่องไม่ดีของคนอื่น เวลามันมีข่าวลืออะไรต่างๆ ถ้าเป็นเรื่องดีๆ คนมักไม่ค่อยลือกันหรอก เพราะฉะนั้น การนำเสนอในด้านลบมันก็อาจจะเป็นที่สนใจของคนได้มากกว่าเรื่องดีๆ ลองดูข่าวทุกวันนี้สิ หนังสือพิมพ์ดาราอะไรแบบนี้ มีข่าวดีกันมากน้อยแค่ไหน ส่วนใหญ่จะป็นข่าวด้านลบกันทั้งนั้นแหละ ”
ใครๆ ก็พร้อมที่จะเชื่อ
“วงการบันเทิงเป็นวงการมายา เบื้องหลังมันก็ต้องสกปรกกันบ้าง กว่าจะได้อะไรมามันก็ต้องมีบางอย่างแลกเปลี่ยนให้ได้มา อยากได้เงิน อยากได้หน้าตา ฐานะดีๆ ในสังคมวงการหรือสังคมก็ต้องแสวงหามา มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะหามาด้วยวิธีการไหน มันต้องมีอยู่แล้วขายตัวซื้อตัว กินข้าว เข้าห้อง ขึ้นเตียง มันก็แล้วแต่ว่าใครจะให้ได้มากแค่ไหน ให้มากก็ได้เงินมาก ธรรมดาดารามีหน้าตาเป็นใบเบิกทาง”
ศิริวัฒน์ เอกธรรม แฟนคลับดาราและวงการบังเทิงตัวเอ้ ให้ความคิดเห็นว่าการขายตัวของพวกดาราว่า มันน่าจะมีอยู่แล้ว เพราะดาราพวกนี้ชอบติดหรูใช้ของแพง
“ดารานะ เปลี่ยนรถยนต์กันเป็นว่าเล่น กินของแพง อยู่คอนโดฯ หรู ทำตัวไม่ค่อยติดดินใช้แต่ของแพง มียี่ห้อดังๆ แล้วอย่างนี้เงินจากการทำงานเป็นดารา ที่ไหนจะมาพอ ก็ต้องออกมารับจ็อบกันบ้างแหละ อย่างที่มีข่าวขายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ”
ส่วนจะเป็นทุกคนที่เป็นข่าวจะทำจริงๆ หรือไม่ก็อีกเรื่อง เพราะดาราบางคนเขาก็มีฐานะมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ถึงมีคนเสนอเขาก็คงไม่รับ
“บางข่าวก็จริงแต่บางข่าวก็ไม่น่าจะ จริงหรอก เป็นดาราดังการทำครั้งเดียวเป็นข่าวครั้งเดียวอาจจบชีวิตได้ ทำให้ประวัติเน่าไม่มีงานเข้ามันก็คงไม่น่าเสี่ยง แต่ถ้าไม่ค่อยดังไม่ค่อยมีงาน การทำแบบนี้ก็เป็นอีกเส้นทางสร้างรายได้งามไม่ใช่น้อยเลย กินข้าว ไปเที่ยวหรือไปนอนด้วยแค่ครั้งเดียวแต่ได้ตั้งเยอะ โห! เป็นใครบ้างที่จะไม่เสียดาย ถ้าคิดจะไม่เอา อย่างไรก็ตาม ที่มีข่าวว่ามี อุ้ม-ลักขณา ออกมาอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าจะเชื่อหรือไม่ หรืออย่างข่าวที่ว่ามี ณเดชน์ ด้วย อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำไหม จะว่าไปดาราคงเหมือนคนธรรมดาเนี่ยแหละ บางทีอาจจะยิ่งกว่าคนธรรมดาซะอีกเพราะมีโอกาสมากกว่าคนธรรมดาเพราะมีหน้าตา ดี”
……….
การที่ใครคนหนึ่งจะยอมเอาตัวเข้าแลกกับเงินนั้น ก็คงจะไม่พ้นเรื่องของความอยากได้ อยากดี อยากมี ความอยากเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการอย่างไม่มีขอบเขต การเลือกที่จะขายเรือนร่างเพราะต้องการเงิน และต้องการมีชีวิตที่สุขสบายของคนในวงการมายา ก็เพื่อจะสั่งสมความสุขสบายและทรัพย์สินที่มีอยู่บ้างแล้วให้มากขึ้นไปกว่า เก่า และเป็นเรื่องปกติที่เศรษฐี นักการเมืองที่มีทั้งเงินและอำนาจที่อยากจะเชยชมสิ่งสวยๆ งามๆ ดังนั้นไม่ว่าจะอีกกี่สิบกี่ร้อยปี เรื่องของการขายบริการโดยคนในวงการมายาก็ย่อมจะอยู่ยงคงกระพันเรื่อยไป และคนทั่วไปก็คงจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันในฐานะข่าวลือเหมือนที่แล้วๆ มา
>>>>>>>>>>
ประมวลข่าวลือฉาวๆ ของดารา-นางแบบ-นางงาม และนักร้อง
ต้องยอมรับว่า ดารากับข่าวฉาวนั้นเป็นของคู่กัน ยิ่งกว่าน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เสียอีก โดยเฉพาะดาราสาวๆ สวยๆ ที่มีภาพเซ็กซี่มาเขย่าจออยู่เสมอ ข่าวหนึ่งที่ต้องเผขิญแน่ๆ เห็นจะไม่พ้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือบางคนก็ถูกจัดหนัก หาว่ามีเสี่ยเลี้ยงบ้างล่ะ รับจ็อบไปขายตัวต่างประเทศบ้างล่ะ
ตัวอย่างเช่น ดาราสาวเซ็กซี่ โอ๋-รุ่งระวี บริจินดากุล ก็มีข่าวว่ามีเสี่ยยอมทุ่มทุนซื้อบ้าน ถอยรถให้ หรือ บีม-พรรณวรินทร์ ศรีสวัสดิ์ ลูกสาวคนสวยของดาวตลกผู้ล่วงลับ ดี๋ ดอกมะดัน ก็มีข่าวสารพัดในช่วงที่หายหน้าตาไปว่ามีคนแอบเลี้ยงดูปูเสื่อให้อยู่ แล้วยังมีนางเอกหน้าใสของช่อง 7 สีอย่าง บี-มาติกา อรรถกรศิริโพธิ์ ก็ไม่พ้นข่าวแบบนี้เหมือนกัน เช่นเดียวกับดาราระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, ลูกตาล-อาริษา วิลล์, เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร, แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์, มาช่า วัฒนพานิช, ใหม่ เจริญปุระ ฯลฯ ต่างก็ต้องเผชิญกับข่าวนี้ไม่มากก็น้อย
แต่ที่ถือว่าหนักสุดๆ คงหนีไม่พ้นกรณีที่ดาราไทยเดินสายไปขายตัวถึงเมืองนอกเมืองนา โดยสถานที่อื้อฉาวที่ว่ากันว่านิยมสุดๆ เห็นจะไม่หนีไม่พ้น มหานครเศรษฐีอย่าง ประเทศบรูไน เพราะอย่างที่ทราบว่าที่นี่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่ธรรมดาเท่านั้น แต่ผู้ชายที่นั่นโดยเฉพาะบรรดาคนใหญ่คนโต ก็มักจะสะสมสาวๆ สวยๆ ที่มีชื่อเสียงจากประเทศรอบข้าง ทั้งไทย ทั้งฟิลิปปินส์ ไว้ในฮาเร็มเพื่อบรรเลงเพลงรัก โดยดาราที่เคยตกเป็นขี้ปาก (ข่าวลือ) ก็มีเยอะแยะเต็มไปหมด อย่างรุ่นเก๋าก็มีตั้งแต่ พิมพิไล ไชยโย อดีตรองนางสาวไทย อันดับ 2 ประจำปี 2531 และ ปูดำ-สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงษ์ อดีตรองนางสาวไทยอันดับ 1 ประจำปี 2529 ขณะที่รุ่นเล็กก็มีหลายคนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนางเอกสาว หยาดทิพย์ ราชปาล ก็เคยมีข่าวว่าขายตัวให้เศรษฐีบรูไน คืนละ 5 ล้านบาทเลยทีเดียว และ จุ๋ม-นุสรา สุขหน้าไม้ อดีตรองมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2548
ส่วนอีกที่มีข่าวมีดาราแอบไปหาอาชีพเสริม ก็คือ นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีข่าวลือว่า ม่ายสาวพราวเสน่ห์ สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ซึ่ง ตอนนั้นสนิทกับน้องชายอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งย้ายไปพำนักอยู่ที่นั่นเป็นหัวเรือใหญ่ ก็เลยถือโอกาสพาเพื่อนดาราไปประกอบธุรกิจที่นั่นเสียเลย ซึ่งคนที่มีข่าวออกมาก็เช่น อดีตนักร้องสาว ปุ๊กกี้-ปริศนา พรายแสง, แคนดี้-ชุติมา เอเวอรี่ นางเอกเรื่องผู้หญิง 5 บาป น้ำฝน กุณณัฎฐ์ กุลปรียะวัฒน์ เป็นต้น
แต่ทั้งหมดนั้นมัน ก็เป็นแค่ข่าวที่เขาเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น บ้างก็พูดกันเพราะคันปาก บ้างก็ปล่อยข่าวออกมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของดาราที่ตนไม่ชอบขี้หน้า ดาราหลายคนก็ทำใจได้ เพราะการเป็นคนในสปอตไลต์หรือบุคคลสาธารณะนั้น ย่อมหลีกไม่พ้นคำติฉินนินทาอยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนโดนหนักถึงขั้นน้ำตาตกออกสื่อกันเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องที่ว่าข่าวเมาส์จากขี้ปากชาวบ้านเหล่านี้มันมีมูลหรือไม่ ก็คงจะมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ตอบได้.
Credit:
ผุ้จัดการออนไลน์