10 สายพันธุ์ น้องหมาแปลก(มั้ง)


1. อัฟกัน ฮาวนด์ (Afghan Hound)
 

อัฟกัน ฮาวนด์


อัฟกัน ฮาวนด์
 

          อัฟ กัน ฮาวนด์ เป็นน้องหมาที่ท่วงท่าสง่างามประดุจเจ้าชายอาหรับก็ไม่ปาน ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งประกอบกับขนที่ยาวสลวยดุจแพรไหม หากสังเกตกันดี ๆ จะพบว่าลักษณะของมันมีความแตกต่างที่พสรุปได้ดังนี้ คือ ช่วงที่เป็นขนสั้นลัษณะเหมือนน้องหมาพันธุ์ Kirghiz Taigan ขอบขนจะเหมือนพันธุื Saluki ความหนาวและความยาวของขนจะเหมือนน้องหมาตระกูล Mountain dog

          น้องหมาสายพันธุ์นี้ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1907 เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งในอดีตถือเป็นนักล่าด้วยสายตา โดยล่าสัตว์จำพวกกวาง หมาป่า และหมาจิ้งจอก นอกจากนี้ ยังถูกใช้ในการดูแลฝูงแกะ แต่ปัจจุบันนิยมเลี้ยงไว้อวดความสวยงาม สุนัข พันธุ์นี้มีนิสัยจำเพาะคือ ชอบความโดดเดี่ยว รักสันโดษ ท่วงท่าน่าเกรงขาม มีความสูงเฉลี่ย 64-74 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 23-27 กิโลกรัม และช่วงอายุราว 12-14 ปี


2. อเมริกัน พิตบูล (American Pitt Bull)

 

อเมริกัน พิตบูล


          อเมริกัน พิตบูล เป็นสุนัขที่มีร่างกายแข็งแรงบึกบึน สง่างามด้วยกล้ามเนื้อทั้งตัวชัดเจน พละกำลังมหาศาล  ปราดเปรียว เชื่อมันในตัวเอง และอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

          จากประวัติศาสตร์ มนุษย์ค้นพบว่า สุนัขพันธุ์นี้เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อใช้ต่อสู้กับสุนัขด้วยกันเอง หรือกับสัตว์ประเภทอื่น ๆ รวมทั้งต่อสู้กับคน ซึ่งในสมัยโบราณเป็นสุนัขที่ใช้ในกีฬาต่อสู้กับวัว โดยลักษณะต่าง ๆ จะแตกต่างจากในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง  ต่อมาจึงมีกฎหมายยกเลิกกีฬาประเภทนี้ โดยอเมริกัน พิตบูล เกิดจากการผสมระหว่างสุนัขพันธุ์บูลด็อกโบราณตัวที่แข็งแกร่ง ปราดเปรียว อดทนและดุดันที่สุด กับสุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์ ตัวที่กล้าหาญและล่าเหยื่อเก่งที่สุด จึงได้เป็นสุนัขนักสู้ที่แข็งแรง ทรหด และว่องไว เรียกว่า Staffordshire Bull Terrier และกลายมาเป็น อเมริกัน พิตบูล เทอร์เรียร์ ในที่สุด

          ทั้งนี้ อเมริกัน พิตบูล มีความสูงประมาณ 46-56 เซนติเมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ย 14-36 กิโลกรัม และช่วงอายุราว 12 ปี


3. ไชนีส เครสเตด (Chinese Crested)
 


ไชนีส เครสเตด


          ไชนีส เครสเตด จัดเป็นสุนัขขนาดเล็ก มีความร่าเริงและว่องไว มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ พันธุ์ที่มีขนทั้งตัว และขนที่หน้าจะเป็นสีขาว ถือเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของจีน ต่อมาได้มีการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์มีขน กับสุนัขพันธุ์ American Hairless Dog จึงได้เป็นพันธุ์ที่ไม่มีขน ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ จะมีเฉพาะขนบริเวณหู ปลายหาง และปลายขา

          ทั้งนี้ ไชนีส เครสเตด ทั้ง 2 ชนิด จะมีลักษณะที่เหมือนกันคือ ดวงตากลมโต หูตั้ง โดยเฉพาะขนบริเวณหูจะยาวย้อยลงมา มีความสูงประมาณ 22-33 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 2 - 5.5 กิโลกรัม ช่วงอายุ 12-14 ปี


4. เชาว์ เชาว์ (Chow Chow)

 

เชาว์ เชาว์
 

          เชาว์ เชาว์ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เชื่อกันว่าเป็นสุนัขดั้งเดิม ซึ่งเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์แห่งทิเบต และซามอย จากตอนเหนือของไซบีเรีย ทั้งยังเชื่อว่า เป็นสุนัขต้นแบบของสุนัขขนฟูทั่วไป เช่น ชิสุ ชาไป่ร์ ปักกิ่ง และปอมเมอเรเนียน

          ในสมัยมองโกเลียและแมนจูเรีย นิยมนำเนื้อ เชาว์ เชาว์ มาทำเป็นอาหารรับประทาน ส่วนหนังและขนนำมาทำเป็นเสื้ผ้ากันหนาว ต่อมาจึงถูกใช้ในการล่าสัตว์ และนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อนในที่สุด

          ลักษณะเด่นของ เชาว์ เชาว์ อยู่ที่ลิ้นสีดำปนน้ำเงิน ซึ่งเป็นเพียงสายพันธุ์เดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ ทั้งยังมีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศและล่าสัตว์เก่ง ทั้งนี้ เชาว์ เชาว์ มีความสูงประมาณ 46-56 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 20-32 กิโลกรัม และช่วงอายุ 11-12 ปี


5. เกรท เดน (Great Dane)

 

เกรท เดน


          เชื่อกันว่า ต้นตระกูลของสุนัข เกรท เดน เกิดจากสุนัขสายพันธุ์ เกรย์ฮาวนด์ ของประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ไปผสมข้ามสายพันธุ์กับสุนัขพันธุ์แท้สายพันธุ์อื่น ๆ รวมถึงกับสุนัขพันทางจนกลายมาเป็นสุนัข เกรทเดน ที่มีลักษณะเฉกเช่นในปัจจุบัน สุนัขพันธุ์นี้ อาจเรียกวา German Mastiff ก็ได้ เกรท เดน เป็นสุนัขที่มีขนาดใหญ่ ตัวสูงที่สุด ร่างกายแข็งแรงและปราดเปรียว ปกติมีนิสัยรักสงบ แต่เมื่ออกล่าก็แข็งแรงดุดัน ทรงพลัง จนถูกยกย่องให้เป็น "King of The Dogs"

          ในอดีตนิยมนำสุนัขสายพันธุ์นี้ไปใช้ในยามสงคราม แต่ต่อมาได้พัฒนาสำหรับใช้ประโยชน์ในการล่าสัตว์ จำพวกหมูป่า สิงโต ทว่าในปัจจุบัน พวกมันได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ใจดี นิสัยไม่ก้าวร้าว ขี้เล่น ซุกซน และรักเด็ก

          ขนาดความสูงของ เกรท เดน จะอยู่ที่ประมาณ 76-100 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 46-54 กิโลกรัม มีอายุขัยเฉลี่ย 9-10 ปี


6. เกรท ไพรีนีส (Great Pyrenees)

 

เกรท ไพรีนีส


          ชื่อจริง ๆ ของพวกมันก็คือ Pyrenean Mountain Dog  โดยตั้งตามถิ่นฐานต้นกำเนิดของพวกมัน ซึ่งอยู่ในบริเวณรอบ ๆ เทือกเขาไพรีนีส ที่ ทอดตัวเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศสเปนและฝรั่งเศส สันนิษฐานว่า บรรพบุรุษดั้งเดิมของพวกมันน่าจะเป็นสุนัขตระกูล Mastiff ในประเทศสเปน ซึ่งได้ผสมข้ามสายพันธุ์กับสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จนกลายเป็น เกรท ไพรีนีส ที่สูงใหญ่ ทรงพละกำลัง และสง่างาม

          นอกจากนั้น ยังเชื่อกันด้วยว่า สายเลือดของ เกรท ไพรีนีส เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสุนัขที่มีขนาดใหญ่อีกหลายสายพันธุ์ในแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็น Italian Maremma ในประเทศอิตาลี, Hungarian Kuvasz ในประเทศฮังการี, Slovakian Kuvac ในประเทศสโลวาเกีย รวมถึงพันธุ์ Turkish Karabash ของประเทศตุรกี อีกด้วย

          ในอดีตนิยมเลี้ยง เกรท ไพรีนีส ไว้เพื่อช่วยดูแลฝูงแกะ แต่ปัจจุบันมักจะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน หรือเป็นยามเฝ้าระวังมากกว่า ขนาดความสูงโดยเฉลี่ยของสุนัขสายพันธุ์นี้จะอยู่ที่ 65-81 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 45-60 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 9-11 ปี


7. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก (Old English Sheepdog)

 

โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก

 
          โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก ถูกค้นพบใน Great Britain เมื่อประมาณปี ค.ศ.1800 โดยขณะนั้นรู้จักกันในนาม Bob หรือ Bobtail เนื่องจากแต่เดิมของสุนัขพันธุ์นี้ จะมีหางที่ยาวมาก แต่สมัยนั้นเขานิยมตัดหางของมันให้สั้นแบบหางเรือ

          สุนัขสายพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่ซุกซน ขี้เล่น อารมณ์ดี และฉลาดมาก ทั้งยังเป็นสุนัขอารักขาได้เป็นอย่รางดี แต่เดิมนิยมเลี้ยงไว้เพื่อช่วยต้อนฝูงแกะ ทว่าในปัจจุบันนิยมเลี้ยงไว้เพื่อประกวดความสวยงาม โดยในปี ค.ศ.1961 สุนัขสายพันธุ์นี้ ได้มีโอกาสเป็นนายแบบให้กับบริษัทสีทาบ้าน ICI Dulux และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็กลายเป็นลักษณ์ของสียี่ห้อนี้มาโดยตลอด จนเป็นที่ติดตาของคนทั่วโลก

          โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก จะมีขนาดความสูงอยู่ที่ 56-61 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 29.5-30.5 กิโลกรัม และมีอายุอยู่ในช่วง 12-13 ปี


8. Standard Poodle

 

Standard Poodle


          จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีการค้นพบ ทำให้เชื่อกันว่า สุนัข poodle มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมนี โดยในภาษาเยอรมันจะเรียกขานกันว่า Pudel หรือ Pudelin มีความหมายว่า "กระโจนลงน้ำ" พวกมันสืบเชื้อสายมาจากสุนัขสายพันธุ์ Water Retriever จึงทำให้มีความสามารถในการว่ายน้ำได้เป็นอย่างดี

          ในอดีตนอกจากจะใช้ประโยชน์ในการให้ไปหาแหล่งน้ำแล้ว ยังใช้ให้มันไปคาบนกเป็ดน้ำที่ถูกยิงตกอีกด้วย และในบางครั้งก็ใช้เป็นสุนัขเฝ้ายาม ต่อมาเมื่อมีการแพร่หลายเข้าไปในประเทศฝรั่งเศสจึงได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ ให้มีขนาดเล็กลง โดยในฝรั่งเศสพวกมันถูกเรียกว่า Caniche ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Chien Canard แปลว่า สุนัขล่าเป็ด และในประเทศฝรั่งเศสนี้เอง ที่พวกมันได้รับความนิยมอย่างสูง จนได้รับการยกย่องให้เป็นสุนัขประจำชาติเลยทีเดียว

          ในเวลาต่อมา สุนัขสายพันธุ์นี้ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดที่เล็กลง กลายเป็น Miniature Poodle และ Toy Poodle ตามลำดับ ทุกวันนี้ผู้เลี้ยงพูเดิ้ลนิยมเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ไว้เป็นเพื่อน และได้มีการออกแบบทรงขนใหม่ ๆ ให้แก่พวกมันอย่างมากมาย ต่างจากในยุคสมัยดั้งเดิม ที่ผู้เลี้ยงมักไม่ใส่ใจเรื่องทรงขนของมันมากนัก เพราะเลี้ยงไว้ใช้งานเป็นหลัก


9. ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff)

 

ทิเบตัน มาสทิฟฟ์
 

          สุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ เป็นสุนัขสายพันธุ์โบราณ มีความสูงประมาณ 61-71 เซนติเมตร น้ำหนักตัวอยู่ที่ 64-82 กิโลกรัม อายุขัยเฉลี่ย 10-11 ปี สุนัขสายพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย และบริเวณที่ราบของเอเชียกลาง โดยจะมีขนสองชั้นเพื่อปกป้องร่างกายจากความหนาวเย็น

          ในภาษาทิเบตเรียกขนพวกมันว่า Do-kyyi แปลว่า สุนัขที่ต้องผูกไว้ เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้มีนิสัยหวงถิ่นมาก มีความดุร้าย ตัวสูงเกือบเท่าลา เสียงขู่คำรามดังกึกก้องและยังมีขนเป็นแผงคอดุจดังสิงโต ทั้งยังกล้าหาญและแข็งแกร่งเป็นที่สุด ชาวทิเบตนิยมเลี้ยงเอาไว้เพื่อใช้ต่อสู้กับหมีและเสือที่บุกเข้ามากินฝูงแกะ แพะ และจามรีของพวกเขา

          ปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้ได้กลายเป็นสุนัขที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก โดยในปี ค.ศ.2009 ได้มีเศรษฐีชาวจีนคนหนึ่งซื้อสุนัขพันธุ์นี้ไปเลี้ยงในราคาสูงถึง 6 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20 ล้านบาท ทั้งยังจัดขบวนรถหรูกว่า 30 คันไปรอรับมันที่สนามบิน จนเป็นข่าวดังกระฉ่อนไปทั่วโลก ทั้งนี้ เชื่อกันว่า สุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ อาจจะเป็นต้นกำเนิดของสุนัขตระกูลมาสทิฟฟ์ในยุโรป อีกด้วย โดยอาจแพร่หลายไปพร้อมกับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช

10. โคมอนดอร์ (Komondor)

 

โคมอนดอร์


          สุนัขพันธุ์ โคมอนดอร์ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในประเทศฮังการี เมื่อประมาณปี ค.ศ.800 แต่เชื่อกันว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพวกมันน่าจะอยู่ทางตอนใต้ของประเทศรัส เซีย จากนั้นจึงค่อยแพร่หลายเข้าไปในประเทศฮังการี ทั้งชาวรัสเซียนและชาวฮังกาเรียน นิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ไว้เพื่อช่วยควบคุมฝูงปศุสัตว์ และปกป้องฝูงสัตว์จากบรรดาสัตว์นักล่า

          ทั้งนี้ ตามประวัติศาสตร์ของฮังการี โคมอนดอร์ ถือว่าเป็น ราชาแห่งสัตว์ทั้งปวงในฮังการี เลยทีเดียว โดยมีขนาดความสูงอยู่ที่ประมาณ 65-90 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 36-61 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยอยู่ราว 12 ปี

 

โคมอนดอร์
 

          ลักษณะพิเศษของสุนัขพันธุ์นี้ คือ มีขนเป็นปึก หรือพันกันเป็นเกลียว แลดูเหมือนไม้ถูพื้น ดูเผิน ๆ จะคล้ายสุนัข พูลิ แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ขนหนาของพวกมันมีประโยชน์ในการใช้เป็นเกราะป้องกันความหนาวเย็น และยังสามารถช่วยพรางตาจากคู่ต่อสู้ เช่น หมาป่า โคโยตี้ หรือหมาจิ้งจอกที่จะมากินฝูงแกะอีกด้วย

          เส้นของสุนัข โคมอนดอร์ จะเริ่มจับกันเป็นกลุ่มเมื่ออายุได้ราว 6-9 เดือน และจะม้วนเต็มที่เมื่อมีอายุ 2 ปี โดยที่ขนของพวกมันจะยาวจนถึงเท้า อย่างไรก็ตาม ขนที่ยาว หนา และม้วนของมันอาจกลายเป็นที่เก็บสิ่งสกปรก ที่แฝงตัวของเห็บหมัด รวมทั้งแมลงอื่น ๆ ได้ จึงต้องคอยช่วยดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยหมั่นแกะเส้นขนที่เป็นกระจุกให้คลายออกเป็นเส้น ๆ ไล่ไปตามลักษณะของเกลียว และกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่ติดอยู่ในเส้นขนออกไป
 
.................................................................................................................
เอามาจาก http://pet.kapook.com/view21415.html
11 ก.ค. 54 เวลา 13:41 7,604 6 100
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...