ออกจากห้องแอร์เพื่อสุขภาพของคุณ

   เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว จึงทำให้หลายคนเลือกที่จะติดตั้งเครื่องปรับอากาศไว้ในบ้านบ้าน ซึ่งรวมถึงบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคนในสังคมเมืองต้องสูดลมหายใจและนั่งอุดอู้อยู่ในห้องแอร์ ที่ให้ความเย็นสบายกาย แต่ทว่าความเย็นที่ไม่ได้มาจากธรรมชาตินี้ สามารถทำคุณป่วยหนักได้เช่นกัน

          อากาศเย็นสบายจากห้องแอร์ทำให้สาว ๆ ออฟฟิศได้แต่งตัวกันเต็มที่ก็จริงอยู่ แต่ทว่าเจ้าลมเย็น ๆ ชวนให้สบายใจนี้ นอกจากจะทำให้ผิวพรรณต้องแห้ง ซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอยแล้ว ยังทำให้เราได้ยินเสียงไอ จาม และเจ็บคอ บ่อยขึ้นอีกด้วย ซึ่งอาการที่ว่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโรคทางเดินหายใจ ที่มักมีต้นตอมาจากการทำงานอยู่ภายในห้องแอร์

คุณเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ?

          นอกจากเด็ก ๆ และผู้สูงอายุแล้ว หนุ่มสาวออฟฟิศก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ในห้องที่อากาศแห้ง เพราะปรับเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส และประตูหน้าต่างปิดมิดชิด ไม่มีอากาศถ่ายเท

          นพ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 เปิดเผยว่า ด้านในโพรงจมูกของคนเรามีเส้นเลือดแดงขนาดเล็ก และผนังบางจำนวนมากทำหน้าที่ปรับอากาศที่เย็น หรือแห้งจากภายนอกให้มีความอบอุ่นและความชื้นเหมาะสมกับอุณหภูมิของร่างกาย  แต่ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น เซลล์ต่าง ๆ เช่น เซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลม ฯลฯ จะแห้งลงกว่าเดิม ทำให้ไม่มีเมือกมาป้องกันเซลล์จากเชื้อโรค เชื้อโรคจึงสัมผัสกับเซลล์โดยตรง โดยเฉพาะอากาศเย็น เพราะเครื่องปรับอากาศและไม่มีการถ่ายเทภายในห้อง เชื้อไวรัสจึงเจริญเติบโตได้ดี

          ขณะเดียวกัน เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคในร่างกายทำงานได้ลดลง ส่งผลให้เมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ หลายคนอาจเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ เช่น หวัด ภูมิแพ้ ฯลฯ นอกจากนี้ ถ้าใช้นิ้วแหย่เข้าไปในรูจมูก หรือถูแรง ๆ ก็อาจมีเลือดออก และถ้ามีอาการแสบคอร่วมด้วยก็อาจเป็นแผลและติดเชื้อได้

วิธีป้องกัน

          ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือหอบมักจะมีอาการบ่อยขึ้น และรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์ ดังนั้น คุณจึงควรป้องกันอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

          1.ระวังไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อาจเป็นการล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่แคะ แกะ จับ บริเวณใบหน้า จมูก และปาก โดยที่ยังไม่ได้ล้างมือ รวมทั้งพยายามอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท และควรอยู่ให้ห่างจากผู้ที่เป็นหวัด

          2.รักษาความอบอุ่นของร่างกาย

          3.สร้างภูมิต้านทาน

                    - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที

                    - นอนให้เต็มอิ่ม

                    - รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นทานผัก ผลไม้สด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอ

          4.สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้

          5.ระวังไม่ให้ทางเดินหายใจแห้ง

                    - ใส่ผ้าปิดปาก เพราะผ้าปิดปากจะช่วยเก็บความชื้นและความอุ่นของลมหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจชื้นและชุ่มชื้น

                    - ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ

                    - วางแก้วน้ำไว้ใกล้ ๆ ตัว ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น และโต๊ะทำงาน

                    - ใช้วาสลีนทาเล็กน้อยบริเวณโพรงจมูก

ดูแลตัวเอง เมื่อเริ่มป่วย

          1.นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

          2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยให้เลือกทานอาหารย่อยง่าย และเลือกทานผักผลไม้สด

          3.ล้างจมูก เมื่อจามบ่อย ๆ หรือรู้สึกคัดจมูก เพื่อล้างสารคัดหลั่งออกจากจมูก โดยให้ใช้น้ำเกลือ 0.9 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 750 ซีซี ผสมเกลือแกง 2 ช้อนชา ใส่ในหลอดฉีดยาขนาด 10 ซีซี (ไม่มีเข็ม) จากนั้นก้มหน้าอ้าปากและกลั้นหายใจ แล้วจึงฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูกข้างละ 2– 3ครั้ง ทำทั้งเช้าและเย็น จนอาการดีขึ้น

          4.ควรพบแพทย์ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลด และรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนไข้หวัดธรรมดามักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และคันคอเป็นอาการเด่น แต่ไม่ค่อยมีไข้สูงมากนัก


          แม้ว่าการใช้เครื่องปรับอากาศจะดูเหมือนมากด้วยข้อเสียที่พร้อมบั่นทอนสุขภาพของคุณ แต่ถ้าเรารู้จักใช้อย่างถูกวิธีและมีการป้องกันตนเอง เช่น ออกไปสูญอากาศบริสุทธิ์ภายนอก หรือติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ ไม่ว่าอากาศจะร้อนจนต้องพึ่งแอร์สักกี่เครื่อง สุดท้ายแล้วสุขภาพที่ดีก็จะไม่หนีไปไหน
 

10 ก.ค. 54 เวลา 09:22 2,826 2 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...