หน่วยปฏิบัติ 731 เป็นชื่อของหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมกำกับโดย หมออิชิอิ ชิโร เมื่อ หมอ อิชิอิ ต้องการสมองมนุดสดๆ เพื่อการทดลอง นายทหาร ผู้ช่วยจะได้รับคำสั่งให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้อง ปฏิบัติการ เหยื่อถูกจับมัดตรึงติดกับเตียงผนัง ศีรษะคว้ำลงทหารนายหนึ่งได้เฉาะกระโหลกด้วยขวาน อวัยวะส่วนที่ต้องถูกส่งไปในห้องปฏิบัติการของหมออิชิอิทันที ซากของเหยื่อเคราะร้ายจะถูกโยนลงไปในเตาเผ่าด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ ขณะที่เหยื่ออื่นๆอีกนับเป็นร้อยรายได้จ้องมองผ่านห้องขังด้วยตวามตกตะลึง
การผ่ามนุษย์แบบสดๆ ถือเป็นเรื่องปกติของหน่วยปฏิบัติการ 731 ซึ่งอยู่ ณ เมืองกวางตุ้งในประเทศจีน หน่วบปฏิบัติการ 731 เป็นหน่วยปฏิบัติการทางทหารของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่ทำการค้นคว้าทดลองเพื่อผลิตอาวุธเคมีและชีวภาพ เพื่อนำไปใช้กับพลเรือนในประเทศคู่สงครามมนุษยธรรม และหน่วย 731 กลายเป็นสิ่งเหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาตร์วงการแพทย์และประวัติศาสตร์ มนุษยชาติจนทุกวันนี้
การทดลองที่สำคัญทุกชิ้นจะใช้มนุษย์เป็นหนูตะเภา งานที่ดำเนินไปเปนกิจวัตรประจำวัน เช่น
- การผ่าตัดมนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ
- การใส่สารพิษที่คิดค้นใหม่ลงในอาหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมากๆ
- การบังคับให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคชิฟิลิสนับสิบคนเพื่อศึกษา และพัฒนาเชื้อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาตร์มนุษย์
- การฉีดเลือด! ที่มีเชื้อแอนแทร็กซ์เข้าร่างกายของมนุษย์ที่ถูกจับมาเป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์ในมนุษย์เป็นๆ
- การจับเหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตายเพื่อทดสอบความทนในการเอาชิวิตรอด
- การจับเหยื่อเข้าไปทดลองและอัดความดันอากาศหรือดูดอากาศออกจนร่านระเบิดเละ
- การจับมนุษย์เปลือยผ้าร่างแข่ในน้ำที่อุณหภูมิเปนลบ
- การตัดชิ้นส่วนของมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออก นำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ที่ไม่มีกระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่
- การตัดแขนขา และนำมาต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง
เหล่านี้คือภารกิจของหน่วยปฏิบัติการ 731
ภาพที่เห็นคือ มือของเหยื่อเชลยชาวจีนที่ถูกฉีดเชื้อแอนแทร็กซ์เข้าไป เพื่อทดลองผลข้างเคียง
อันนี้เป็นภาพเต้นท์ที่นำร่างอันไร้ชีวิตของเชลย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เพื่อเตรียมนำไปทดลองอาวุธชีวภาพ
ณ โมริโอกะ ญี่ปุ่น เขา ( ในหนังสือไม่ได้เปิดเผยหน้าตาของอดีตทหารญี่ปุ่น ในเหตุการณ์หฤโหดครั้งนั้น ) คือ ชาวนาชราที่มีอารมณ์ขัน ที่กำลังเสิร์ฟอาหาร ที่ปรุงโดยภรรยาของเขาให้เรารับประทาน แล้วเขาก็เปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลัน เขาเล่าเรื่องให้เราฟังถึง การที่เขาผ่าเปิดชำแหละชายจีนอายุ 30 ปี ที่ถูกมัดกับเตียง ในสภาพเปลือย และลงมือผ่า ทั้งๆที่ยังเป็นๆอยู่ โดยไม่ใช้ยาสลบ (แทบกลืนอาหารไม่ลง!) "หนุ่มคนนั้น รู้ซึ้งใจในสัจจธรรมว่า อั๊วโดนแน่ๆเลี๊ยว! ไม่มีปาติหังอะไรๆ จะช่วยอั๊วล่าย! ในขณะที่เขาถูกจับเข้ามาในห้อง จึงไม่ได้พยายามขัดขืนอะไรเลย เขาถูกจับให้นอนลง และมัดไว้กับเตียง" ชาวนาวัย 72 ระลึกถึงความหลังแสนภูมิใจ ขณะที่เคยเป็นผู้ช่วยแพทย์ อยู่ในหน่วยกองทหารญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในจีน "พอเมื่อผมเริ่มหยิบมีดผ่าตัดนั่นแหละ ! เขาเริ่มแผดเสียงร้องชนิดที่ เอาว่า หลอดแตกละกัน! แต่ผมไม่รู้สึกรู้สม จึงเริ่มผ่าเปิดเขา ตั้งแต่ช่วงอก ลงมาถึงช่องท้อง คุณเอ๊ย! เสียงแผดร้องของเขานั้นนะ มันสุดที่จะโหยหวน ฟังน่าสยดสยอง ใบหน้าเขานะ ก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย อย่างสุดที่จะบรรยาย ผมก็กรีดไปเรื่อยๆ ซึ่งเสียงร้องนั้นเป็นเสียงที่ไม่น่าเชื่อว่า จะใช้จินตนาการได้เลยละกัน เสียงแผดร้องของเขานั้น ฟังอันน่ากลัวมาก..ก..ก จนที่สุด! เสียงก็เงียบลง นี่คือ งานแค่ในหนึ่งวันของผม ที่ทำร่วมกับกลุ่มแพทย์ผ่าตัด แต่มันยังคงประทับใจผมเสมอมา เพราะนั่น เป็นครั้งแรกของผมทีเดียวนะคุณ ! " ในที่สุด ชายชราที่ยืนยันว่าไม่ประสงค์จะออกนาม ก็อธิบายถึงเหตุผล อันสุดจะฟังขึ้นของการชำแหละมนุษย์ (โดยไม่ยอมให้ยาสลบก่อน)ว่า : นักโทษเชลยชาวจีนคนนั้น ถูกเจตนาทำให้ติดเชื้อโรค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย ที่เราตั้งใจจะศึกษากันโดยเฉพาะทีเดียวนา! แต่แค่นี้ไม่เท่าไหร่ร๊อก! อานุภาพที่น่ากลัวจริงๆของมัน ยิ่งกว่าจุดนั้นเยอะ เรามีเป้าหมาย ที่มุ่งจะพัฒนาระเบิดเชื้อโรคไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างหาก หลังจากที่ ได้ทำให้นักโทษติดเชื้อโรคนั้นแล้ว นักวิจัยทั้งหลายก็ต้องผ่าชำแหละเขาออกมา เพื่อที่จะศึกษาดูให้เห็นว่า ผลของเชื้อโรคที่ใส่เข้าไปนั้น มีต่อภายในร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้าง? ภาพที่เห็นนี้เป็นสถานกักกัน ทดลองอาวุธชีวภาพ โดยใช้เหยื่อเชลยเป็นหนุทดลอง เรียกว่า Unit 731
แหล่งกำเนิดของสงครามเชื้อโรค โครงการอาวุธทางชีวภาพของญี่ปุ่น ได้ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.1930 ลงไปได้เพียงบางส่วน เพราะสาเหตุว่า โครงการวิจัยของทหารญี่ปุ่นนี้ได้ถูกควบคุม และห้ามจากสนธิสัญญาขั้นต้นแห่ง เจนีวา ในปี ค.ศ.1925 แต่ถ้าหากว่า มันน่ากลัวมากขนาดนั้น มันสมควรจะถูกสั่งห้ามไม่ให้วิจัย ภายใต้กฎหมายนานาชาติไปแล้ว เพราะจุดมุ่งหมายของพวกทหาร ก็คือ ต้องการจะสร้างอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพ การทำลายล้างอันยิ่งใหญ่มหาศาล ให้อุบัติขึ้นในโลกนั่นเอง! ช่วงนั้นของโครงการ บรรดากองทหารญี่ปุ่น ได้เข้ามายึดพื้นที่อยู่กันเต็มพรืดไปหมดในจีน โดยพวกทหารเหล่านี้ ได้ขับไล่ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ออกไปจำนวน 8 หมู่บ้าน ในเขตใกล้ๆกับ เมือง Harbin ในแมนจูเรีย เพื่อปูทางไว้เป็นที่ตั้ง ฐานบัญชาการของหน่วย 731 ญี่ปู่นมองเห็นข้อดีหลายจุด ที่มาตั้งฐานบัญชาการในจีน เพราะว่า จะได้ทดลองในหัวข้อเชื้อโรคระบาด ที่มีชื่อว่า มารูท่าส์ หรือ ขอนไม้ และคนแถบนี้นั้น ก็เป็นชาวคอมมิวนิสต์ ที่น่าสงสาร น่าสังเวช หรือ พวกเชลยสงคราม ซึ่งก็อีกนั่นแหละ ส่วนใหญ่ คือ คนจีน นอกจากนั้น ยังมีชาวรัสเซียที่โอนสัญชาติ มาอาศัยในจีน ก็โดนด้วยแน่! ทาเคโอะ วาเน วัย 71 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือแพทย์ ในหน่วย 731 ซึ่งในปัจจุบัน ยังมีชีวิต อาศัยอยู่ที่เมือง โมริโอกะ ทางเหนือของญี่ปุ่น เล่าว่า ครั้งหนึ่ง เขาได้เห็น โอ่งแก้วสูง 6 ฟิต ซึ่งในโอ่งนั้น มีชายชาวตะวันตก 3 คน ถูกแช่ดองในน้ำยาฆ่าเชื้อโรคชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์แสบจมูก ศพชายถูกตัดตามแนวตั้ง แบ่งเป็น 2 ท่อน และ วาเน เดาว่า น่าจะเป็นชาวรัสเซีย เพราะว่า มีคนรัสเซียอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ค่อนข้างมาก ในฐานบัญชาการของหน่วย 731 มีโอ่งที่เก็บ ตัวอย่างคนดองแบบนั้นเยอะแยะ บางโอ่ง ดองแต่ขา ดองแต่หัวก็มี ดองอวัยวะภายใน และทุกๆโอ่ง จะมีป้ายติดบอกไว้อย่างเรียบร้อยทีเดียว (เหมือนโหลยาดองชูพลัง อะไรทำนองนั้น) ชายชรา จากหน่วย 731 เล่าให้ฟังว่า "ผมเห็น ตัวอย่างคนดอง ติดป้ายว่า 'อเมริกัน' 'อังกฤษ' 'ฝรั่งเศส' แต่ส่วนมากจะติดว่าเป็นจีน เกาหลี และมองโกเลีย ซะหล่ะมากที่สุด" แพทย์นักวิจัย ก็ยังปล่อยเชื้อโรค เข้าสู่นักโทษที่ได้คัดสรรแล้วว่า เป็นคนที่แข็งแรงมาก เพื่อดูอาการว่าเมื่อป่วยแล้วเชื้อโรคจะแพร่อย่างไร? พวกแพทย์โหด เหล่านี้ ยังจับคนมาเข้าห้องอัดความดัน เพื่อที่จะดูว่า ร่างกายของมนุษย์นั้น จะทนทานต่อแรงดันได้เพียงใด? ใช้เวลา และแรงดันเพียงใด? ก่อนที่ลูกตาจะหลุดกระเด็นออกมา จากเบ้าตาตามแรงกดอัด บ่อยมากเลย ที่เหยื่อมนุษย์มากมาย จะถูกจับไปยังสถานที่ทดสอบ เรียกกันว่า 'แอนดา' ที่นั่นพวกเขาจะมัดเหยื่อ ให้ติดกับหลักหลายๆอัน ที่เตรียมไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ จากนั้นก็เริ่มปล่อยระเบิดเชื้อโรคทดลองใส่ไปในร่างกายของเหยื่อมนุษย์เหล่า นั้น ต่อไปก็เฝ้ามองดูอาการว่า อาวุธเทคโนโลยีใหม่ของพวกเขานั้น จะทรงประสิทธิภาพ เพียงไหน? ส่วนฝูงเครื่องบิน ก็จะไปทำการโปรยฉีดเชื้อในโซนที่กำหนดไว้ว่าจะทำการทดลอง หรือทิ้งเป็นลูกระเบิดเชื้อโรคระบาดลงมาเลย(ให้มันสะใจ!) เพื่อที่จะดูผลคนจำนวนมากที่ถูกเชื้อฆ่าตาย และเชื้อจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ในการฆ่าคนจำนวนมากได้ตายสนิท จากระยะห่างเท่าไร? ในการระเบิดของเชื้อจากศูนย์กลางที่ทำการทิ้ง พวกทหารญี่ปุ่น ทำการทดลองสงครามทางชีวภาพภาคสนาม อยู่บ่อยครั้ง เพื่อจะดูผลว่า ทรงประสิทธิภาพเพียงใดเมื่อปฏิบัติการนอกห้องแล็บ ฝูงเครื่องบินทหารนำแมลงเชื้อโรคนั้นไปปล่อยลงแถวๆ Ningbo ในตะวันออกของจีน และ Changde ในทางเหนือตอนกลางของจีน จากนั้น การแพร่ระบาดของโรคก็เกิดขึ้น และถูกบันทึกผลตามมา ทหารจีนยังปล่อยเชื้อ อหิวาตกโรคและไทฟอยด์ ลงในบ่อน้ำและสระอีกหลายแห่ง แต่ผลการแพร่พันธุ์ของเชื้อยังไม่ดีเท่าที่ควร ในปี ค.ศ. 1942 ผู้เชี่ยวชาญทางสงครามเชื้อโรค ยังปล่อยแพร่เชื้อบิด อหิวาตกโรค และไทฟอยด์ ที่จังหวัด Zhejiang ของจีน แต่เวรกรรมสนอง ส่งผลให้ทหารญี่ปุ่นเอง กลับติดเชื้อโรคระบาดเหล่านี้! และป่วยตายไป 1,700 คน ตามข้อมูลที่ได้นักวิชาการบอกไว้ เชลดอน แฮริส นักประวัติศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนียสเตท ในนอร์ทริดจ์ ชี้ว่า ประชากรชาวจีน มากกว่า 200,000 คน ต้องตายจากการทดลองสงครามชีวภาพภาคสนามของคนญี่ปุ่น แฮมส์ นักเขียน ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับหน่วย 731 "โรงงานแห่งความตาย" ได้ระบุไว้ด้วยว่า แมลงเชื้อโรคเหล่านั้น ถูกปล่อยให้ทำลายมนุษย์ หลังจากที่สงครามได้ยุติลงแล้วด้วยซ้ำไป ต่อจากนั้น ถึงได้ส่งผล ทำให้มีการระบาดของโรคร้ายเกิดขึ้น คร่าชีวิตคน (ที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นเอง) ไปอีกตั้ง 30,000 คน ในเขต Harbin ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 จนถึง 1948 ผู้นำทางวิชาการของหน่วย 731 เคอิจิ ซึนิชิ เกิดความกังขากับจำนวนตัวเลขตั้งมากมายก่ายกอง เขา คือผู้ที่พยายามเหลือเกิน ที่จะเปิดเผยข้อมูล และเถียงว่า การที่หน่วย 731 เข้าไปยึดพื้นที่ ไล่ชาวบ้าน ปล้นฆ่า เผาบ้านเรือน ที่ Ningbo นั้น มีคนตาย แค่ 100 คนเอง! และที่ลือว่ามีเชื้อโรคแพร่พันธุ์ จากการทดลองภาคสนามอะไรนั่น! ก็ไม่เห็นจะมีหลักฐานอะไรเล้ย! ไหนหล่ะหลักฐาน?
ขอบข่ายในการทดลองโดยใช้มนุษย์ การทดลองโดยใช้มนุษย์เช่นนี้ ไม่ใช่มีทำเพียงในหน่วย 731เท่านั้น ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่กระทำปฏิบัติการโหดเยี่ยงนี้อีก! แต่ก็ไม่กระจ่างนัก ว่าองค์จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต จะทรงทราบเรื่อง การระรานเผา ปล้น ฆ่า หรือไม่?(คุณว่าทรงทราบไหม?) แต่พระอนุชา เจ้าชาย มิคาซ่าได้เสด็จไปเยือน ฐานบัญชาการหน่วย 731 ที่ในจีน และทรงจดบันทึกเรื่องราวที่พระองค์ ได้ทรงทอดพระเนตร จากภาพยนตร์ที่ถ่ายไว้ ถึง "การเดินเท้าของนักโทษจีน ไปยังที่ราบแมนจูเรีย เพื่อการทดลองแก็สพิษ" มีข้อมูลเพิ่มเติมจาก นายแพทย์ เคน ยัวซ่า วัย 78 ปี ซึ่งปัจจุบัน เปิดคลีนิคอยู่ที่โตเกียว แนะเสริมว่า การทดลองโดยใช้มนุษย์นั้น มีกระทำกันเป็นประจำแหละ ไม่แต่เฉพาะในหน่วย 731 นี่หรอก ยัวซ่า เป็นหมอทหารในหน่วยอื่น ช่วงสงครามจีน แต่ไม่ได้อยู่ในหน่วย 731 และก็ไม่เคยได้มีการติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ! หมอยัวซ่า เล่าว่า ช่วงที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์ ในญี่ปุ่น พวกนักศึกษาแพทย์จะทราบว่า แพทย์สามัญคนไหนก็ตาม ถ้าได้เดินทางไปศึกษาเรื่องการแพทย์ที่จีนแล้วละก้อ! จะได้ศึกษาเรื่องการผ่าชำแหละคนไข้ (ในหน่วยอื่น ไม่ต้องเฉพาะ 731) และก็แน่นอนที่สุด เมื่อหมอยัวซ่าเดินทางถึง จังหวัด Shanxi อยู่ภาคเหนือตอนกลางของจีนใน ค.ศ.1942 พักหนึ่ง เขาก็ขอเข้าร่วมศึกษา "ภาควิชาทดลองการผ่าตัด"ด้วย ชายจีน 2 คนตัวเป็นๆ ถูกนำเข้ามาในห้อง เขาทั้งสองถูกเปลื้องผ้าผ่อนออกหมด และให้ยาสลบตามปกติ จากนั้นหมอยัวซ่าและหมอคนอื่นๆ ก็เริ่มบรรเลงการทดลองผ่าชำแหละ ในหลายๆหัวข้อ : หนึ่ง การผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าแขนและสุดท้าย การผ่าตัดตา หลังจาก 90 นาทีผ่านไป การศึกษาจบลง คนไข้ที่ถูกนำมาใช้ทดลอง ก็จะถูกฆ่า โดยฉีดยาให้ตายไปซะ ต่อมา เมื่อหมอยัวซ่าได้เป็นแพทย์ผู้อบรม โดยมีคนไข้จริงๆแสดงให้แก่นักศึกษาแพทย์ด้วย จะเป็นระยะๆ ที่เขาไปขอกับตำรวจว่า ต้องการคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง สำหรับฝึกสอนการผ่าตัด แล้วพวกเขาก็ส่งมาให้ทีละคนๆ ปกติเหมือนการเบิกเครื่องมืออะไรทำนองนั้น การผ่าชำแหละคนที่นั่น คือ เป็นการฝึกและทดลองผ่าของนักศึกษาแพทย์ มากกว่าที่จะเป็นการทำวิจัยอะไร และสำหรับที่นั่น มันเป็น เรื่องกิจวัตรประจำวันจะตายไป! ของแพทย์ญี่ปุ่นทีทำงานอยู่ในช่วงสงคราม กับคนจีนในประเทศจีน หมอยัวซ่า ยังรู้สึกขอโทษ และเสียใจอย่างสุดที่จะบรรยาย ต่อสิ่งเลวร้ายที่เขาได้กระทำลงไปในอดีต นั่นก็คือ เขาได้เพาะเชื้อไทฟอยด์ขึ้นมา ใส่ในหลอดทดลอง และส่งต่อไปให้กองทหารอีกหน่วยหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับคำสั่งให้ทำการนี้ก็เถอะ ! ในเวลาต่อมา มีทหารจากหน่วยนั้น ซึ่งทหารคนนั้น ก็ไม่ได้มีการติดต่อกับหน่วย 731 เล่าให้หมอฟังภายหลังว่า พวกทหาร จะนำเชื้อในหลอดทดลองเหล่านั้น ไปแพร่ในบ่อน้ำ ที่หมู่บ้านในเขตของพวกคอม ภาพที่เห็นคือหน่วย Unit 731 กำลังทดสอบอาวุธชีวภาพอยู่
แผนการที่จะทำสงครามเชื้อโรคกับ U.S.A. ใน ค.ศ.1944 เมื่อญี่ปุ่นใกล้จะจนตรอก ดูท่าว่าต้องพ่ายแพ้ในสงคราม ได้ทำการปล่อยบอลลูนมากมาย ให้เคลื่อนที่ตามกระแสลมแรงเข้าสู่อเมริกา และระเบิดที่อยู่ในบอลลูนเหล่านั้น เป็นเหตุให้ผู้หญิง 1 คนในมอนทาน่า และอีก 6 คนในโอรากอน ถึงแก่ความตาย อีกครึ่งศตวรรษต่อมา ปรากฏหลักฐานที่ยิ่งเลวร้ายลงไปยิ่งกว่า ญี่ปุ่นมีจุดประสงค์คือจะปล่อยสงครามทางชีวภาพ ก็คือ บอลลูนมากมาย ที่มีเชื้อโรคระบาดแอนแทรกซ์ไปยังสหรัฐอเมริกาอีก ยังไม่พอ กองทหารจากหน่วยอื่น ก็ต้องการที่จะส่งเชื้อโรคไวรัสปศุสัตว์ ไปกำจัดสัตว์ ที่เป็นอุตสาหกรรมอาหารของอเมริกา หรือเมล็ดข้าวและธัญพืชให้ปนเปื้อนสารพิษ จะได้กำจัดพืชผลทางอาหาร ของคนทั้งประเทศให้สิ้น เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944โน่น คือ ฮิเดกิ โตโจ ผู้ซึ่งสหรัฐอเมริกาแขวนเขาขึ้น ในเรื่องอาชญากรสงคราม เพราะว่าเขา คือ ผู้ที่คัดค้านหัวชนข้างฝาห้อง ต่อต้านการที่จะทำสงครามชีวภาพกับสหรัฐอเมริกา ก็เพราะ เขาตระหนักดีว่า ฝ่ายญี่ปุ่นดูท่าว่าร่อแร่จะแพ้สงครามเป็นแน่แท้ เขากลัวว่า หากเอาเชื้อโรคสงครามชีวภาพ ไปจู่โจมอเมริกา ก็จะต้องถูกอเมริกาตอบโต้กลับโดยเชื้อโรค หรืออาวุธสารเคมีที่ทางอเมริกาพัฒนาขึ้นบ้าง คราวนี้หล่ะ! ประเทศญี่ปุ่นจะแย่แน่ๆ! ขณะที่สงครามยุติลง เกือบจะย่างปี ค.ศ. 1945 หลักสูตรโครงการมัจจุราช จากหน่วย 731 ที่มีชื่อระหัสอันแสนไพเราะว่า เชอร์รี่บานยามราตรี คือ การใช้กลุ่มนักบินคามิกาเซ่ บินพลีชีพเข้าไปปล่อยเชื้อโรค ที่แคลิฟอร์เนีย อนิจจา ได้ถูกสั่งห้ามซะ
โทชิมิ มิโซบูจิ ครูฝึกทหารใหม่ ในหน่วย 731 อธิบายรายละเอียด แห่งแผนนี้ว่า จะใช้ทหารใหม่ 20 นายจาก 500 นาย ผู้ซึ่งเดินทางมาถึง Harbin ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1945 โดยจะให้ทหารเพียง 2-3 นาย เดินทางไปกับเรือดำน้ำ ไปโผล่ยัง ตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย เรือดำน้ำนั้นมีสมรรถนะ บรรทุกเครื่องบินได้ 2-3 ลำ ต่อมา พวกเขาจะต้องขับเครื่องบิน(1ลำ : นักบิน 2-3 นาย) เพื่อขึ้นฝั่งไปปล่อยแมลงเชื้อโรคที่ ซานดิเอโก เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการ คือ วันที่ 22 กันยายน 1945 อิชิโอะ โอบาตะ วัย 73 ปี ในปัจจุบัน อาศัยอยู่ที่ เอฮิเมะ เปิดเผยว่า เขา ก็คือ อดีตหัวหน้าของ แผนระหัส เชอร์รี่บานยามราตรี ที่จะใช้โจมตี ซานดิเอโก แต่ว่าเขาไม่ให้รายละเอียดใดๆมากไปกว่านี้ นอกจากพูดว่า "มันเป็นความทรงจำที่ชั่วร้ายมาก ซึ่งผมไม่ต้องการ ที่จะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก" ทาดาโอะ อิชิมารุ วัย 73 ปี เขา คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก ให้ทำสงครามชีวภาพที่ ซานดิเอโก "ผมไม่ต้องการที่จะระลึกถึง หน่วย 731 อีก " เขาพูดสั้นๆใน การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ "ตั้งแต่สงคราม ก็ห้าสิบกว่าปีมาแล้ว ขอให้ผมใช้ชีวิต อย่างสงบเถอะ" ไม่มีความกระจ่างว่า แผนการ เชอร์รี่บานยามราตรีนั้น ได้มีโอกาสทำตามแผนที่วางไว้หรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ประเทศญี่ปุ่น มีเรือดำน้ำตามสมรรถนะที่ระบุนั้น ถึง 5 ลำขึ้นไป (แต่ละลำ สามารถบรรทุกเครื่องบินไปด้วย 2-3ลำได้ ซึ่งปีกของเครื่องบินเหล่านี้ สามารถพับเก็บเข้าข้างลำตัวของเครื่องได้ อย่างกับนก) แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญทางนาวิกโยธินของญี่ปุ่นกล่าวว่า ทหารนาวิกโยธินไม่เคย อนุญาตให้ นำอุปกรณ์ทางเรือที่ดีที่สุด ไปใช้สำหรับของฝ่ายทหารบก (เชอร์รี่บานยามราตรี) เลย เพราะมีส่วนเป็นไปได้ว่า ในช่วงฤดูร้อนในปี ค.ศ. 1945 นั้น พวกทหารเรือ ต้องประจำหน้าที่สำคัญมาก คือ ปกป้องดูแลน่านน้ำเขตแดนของเกาะญี่ปุ่น ในช่วงตึงเครียด ไม่ใช่ การไปปล่อยเชื้อโรคทำสงครามชีวภาพ ยังแผ่นดินอเมริกาโน่น! หากว่า แผนเชอร์รี่บานยามราตรี ได้เคยมีโอกาสทำขึ้นจริงๆ มันก็ไม่สอดคล้อง กับการที่ญี่ปุ่นเตรียมตัวที่ยอมแพ้ ในช่วงต้นเดือน สิงหาคม 1945 และช่วงวันท้ายๆของสงครามที่ใกล้จะยุติลง เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมนั้น หน่วย 731 ก็ได้ใช้ระเบิดไดนาไมท์ ในการทำลายหลักฐานทั้งหมด เกี่ยวกับแผนของโครงการสงครามทางชีวภาพ นักวิชาการกล่าว ภาพที่เห็นคือ โกดังกองศพ
เมื่อหลังจากที่สงครามยุติลง บางคนได้ถูกกักตัวไว้ในโซเวียตก่อน แล้วค่อยถูกส่งให้จีนภายหลัง ในปี ค.ศ. 1956 ศาลทหารจีนได้ฟ้อง และจองจำชาวญี่ปุ่น 45 คน ในข้อหาอาชญากรสงครามของทางการ ส่วนพวกญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่เหลืออีก 1,100 คน ที่มีส่วนในเรื่องนี้ ทางการจีนยอมปล่อยให้เป็นอิสระ หลังการยอมรับสารภาพผิดแล้ว เวลาล่วงเลยมาถึงค.ศ. 1964 นักโทษที่ถูกจองจำเหล่านั้น ก็ถูกปล่อยกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นครบทุกคน โดยไม่มีใครถูกจีนคอมมิวนิสต์ ประหารชีวิตเลยซักคนเดียว! " "บรรดาสมาชิกของกลุ่มนี้ ยอมรับต่อสาธารณชนว่า พวกเขามีส่วนร่วมใน 'สงครามที่โหดร้าย' และพวกเขาเคยถูกกักขังอยู่ในประเทศจีน เพราะพวกเขา คือ อาชญากรสงครามตัวจริง ที่ได้กระทำความผิดมหันต์ ต่อมนุษยชนลงไปในช่วงสงครามโลก แต่ด้วยอานิสงจากนโยบายที่ใจกว้าง มีคุณธรรมของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มุ่งหวัง จะสร้างสันติภาพขึ้นระหว่างจีนและญี่ปุ่น และความสงบสุขให้เรื่องมันจบๆกันไป กลุ่มนี้จึงได้กลับมาบ้านเกิดทุกคน และอาการครบสามสิบสอง ทำให้พวกเขารวมตัวกันขึ้นเป็นสมาคมจากอานิสงนี้เอง! ซึ่งมันก็จะแตกต่าง จากคนญี่ปุ่นอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นคนส่วนมากที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามนั้นเช่นกัน แต่พวกเขากลับเขียนเล่าโวโอ้อวด และวางท่าทางภาคภูมิใจ ในเรื่องกระทำที่โหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ โดยมิได้รู้สำนึกของความเป็นคนซักนิด ภาพที่เห็นคือ การทดสอบเชื้อโรคในร่างเด็กว่าจะมีภูมิคุ้มกันต้านทานแค่ไหน
เราถามเขาว่า ทำไม? ( หมายถึงผู้ที่ค้นคว้าเรื่องนี้ ) เขาถึงไม่ให้ยาสลบกับนักโทษ ชาวนาคนนั้นให้เหตุผลทางวิชาการ อันลึกซึ้งว่า " การผ่าชำแหละ ควรกระทำภายในสถานภาพร่างกายปกติ(เป็นๆ) หากว่าเราใช้ยาสลบแล้ว มันจะมีผลต่อระบบอวัยวะต่างๆ ตลอดจนระบบการสูบฉีดโลหิต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ พวกเราต้องการจะศึกษาอยู่พอดี ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะให้ยาสลบได้ ก็เท่านั้น ! " " ยังมีความเป็นไปได้ว่า มันอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้นะ! " ชายชรากล่าว ด้วยใบหน้าร่าเริง ที่ไม่รับรู้สำนึกทุกข์ร้อนใดๆ " เพราะในสงคราม คุณรู้อย่างเดียวว่า ต้องชนะเท่านั้น ! วัยรุ่นญี่ปุ่น มีความคิดเห็นว่า " ทุกประเทศก็ต้องเคยมีการทำสิ่งที่ ถูกมองว่าไม่ค่อยถูก ไม่ค่อยควร ทั้งนั้น แม้แต่ จีนเองก็เถอะ! ไม่ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ไปหมดหรอก " "จีน ก็เคยพยายาม ที่จะรุกรานญี่ปุ่นอยู่เนืองๆเหมือนกัน เมื่อ 600 ปีที่แล้ว" "จีน กำลังขยายอำนาจของตนอย่างมาก การกระทำเช่นนี้ เราก็ถือเป็นการข่มขู่ ต่อประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียนี้" "การที่จีน ทดลองอาวุธนิวเคลียร์นั้น ก็เปรียบเสมือน นัยว่า จีนอาจจะคิดไปปล่อย A-bomb ถล่มญี่ปุ่น เมื่อไหร่ก็ได้ ใครจะไปรู้?" " มันก็ถูกที่ ฝ่ายการเมืองของเรา (โดยเฉพาะสมาชิก LDP) บางครั้งสร้างความเห็นทารุณ ซึ่งก็ถูกที่ความคิดเห็นเพี้ยนๆเช่นนั้น มันคือรากลึก ของคนญี่ปุ่นทั่วๆไป สาเหตุของรากลึก คือ ญี่ปุ่นมีชาตินิยมสูงส่ง ชาวญี่ปุ่นบางคน ดูถูกดูหมิ่นชาวเอเชียชาติอื่นๆแค่ไหนมองหญิงเอเชียชาติอื่นๆ มีค่าเพียงวัตถุทางเพศ แต่ความคิดเช่นนี้ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สันนิษฐาน จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากมาย ของชาติอื่นๆในแถบเอเชีย" ภาพที่เห็นคือทหารใหน่วย Unit 731 กำลังเคลื่อนย้ายศพไปทดลองต่อ