ประวัติสุนัข ต้นกำเนิดของสุนัข
สุน ัข มีต้นกำเนิดมาจากสุนัขป่า โดยมนุษย์แถบขั้วโลกเหนือ นำมาเลี้ยงเมื่อ 12,000 ปีมาแล้วเชื่อกันว่า สุนัขป่าตัวแรก เกิดขึ้นเมื่อ 100 ล้านปีที่แล้ว สมัยแรกเริ่ม ก็ไม่ได้มีหน้าตา เหมือนสุนัขในปัจจุบันนี้ ก็คงเหมือนคนนั่นแหละ ที่กว่าจะพัฒนามาจนมีหน้าตาเหมือนปัจจุบัน ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง กว่าที่เราจะได้รู้จักสุนัขที่หน้าตาเหมือนสุนัขในปัจจุบันนี้ จากรูปภาพโบราณอายุประมาณ 12,000 - 14,000 ปี ในยุโรป นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ต้นกำเนิดของสุนัข น่าจะมาจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างสุนัขจิ้งจอก และก็ สุนัขป่า เพราะความเฉลียวฉลาด ความสามารถรอบตัว และ การเป็นสัตว์สังคมของมันนี่เอง ที่ทำให้มนุษย์นำมันมาเลี้ยงจนแพร่หลายไปทั่วโลก และ การอพยพข้ามถิ่น และ ทวีปต่างๆ นี้เองทำให้ สุนัขมีหลายพันธุ์
การบูชาสุนัขเป็นเทพเจ้ายุคอียิปโบราณ 2,800 ปีมาแล้ว
ในประเทศจีน ชาวจีนมีความเชื่อว่า สุนัขที่ชื่อ "Fu" มีความซื่อสัตย์ และ นำความเจริญ มาให้ โดยมีลักษณะ คล้ายสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง "ANUBIS"
ซึ่งเป็นชื่อของ เทพเจ้าโรมัน ที่ตัวเป็นคน หัวเป็นสุนัขเชื่อว่า สามารถส่งวิญญาณมนุษย์ได้
ประเภทของสุนัข แบ่งได้ 6 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. สุนัขล่าเนื้อ (Hounds) มีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีมาก ผนวกกับความแข็งแรงของสรีระ ทำให้ Hounds เป็นสุนัขรุ่นแรกๆ ที่ถูกมนุษย์นำมาใช้ล่าสัตว์ สุนัขล่าเนื้ออาจแบ่งย่อย ได้อีก 2 กลุ่ม คือ
• กลุ่มที่มีสายตาดี เช่น เกรย์ฮาว์น อัฟกัน และ สะลูกี้ สุนัขพวกนี้จะว่องไว วิ่งได้เร็ว และ มีสายตาดีมาก ลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไป จะมีรูปร่างสูง และช่วงขายาว
• กลุ่มที่มีประสาทการรับกลิ่นดี เช่น บัสเสทฮาว์น ดัชชุน สุนัขประเภทนี้จะมีขาสั้นแต่แข็งแรง หัวใหญ่ หูแผ่กว้างใหญ่ และ มีประสาทสัมผัสการรับกลิ่นที่ดีมาก ดีกว่ามนุษย์
ถึง 1 ล้านเท่าทีเดียว
2. สุนัขเพื่อเกมส์กีฬา (Sporting Dogs) เป็นสุนัขพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์โดยเฉพาะ หน้าที่ของมันคือ การค้นหาเหยื่อ และก็ นำเหยื่อที่ถูกยิงแล้ว
กลับมาให้เจ้าของ เราสามารถแบ่งสุนัขเพื่อเกมส์กีฬาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
• สเปเนี่ยน เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลางที่เฉลียวฉลาด จมูกรับกลิ่นได้ดีมาก มีลักษณะเด่น คือ หูจะยาว และตูบ แบ่งย่อยได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พันธุ์ที่ใช้ล่าสัตว์ และพันธุ์ขนาด
เล็ก ที่ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น ... ในขณะที่ออกล่าสัตว์ เมื่อสเปเนี่ยนพบเหยื่อ มันจะไม่ส่งสัญญาณเตือนให้เจ้าของทราบ แต่ว่ามันจะพุ่งเข้าโจมตีเหยื่อเลย
เจ้าของจึงต้องให้มันอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ คือ ประมาณ 20 - 65 เมตร เพื่อจะได้ยิงเหยื่อได้ทันก่อนจะหนีไป
• พอยเตอร์ และเซทเตอร์ เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสเปเนี่ยน ขายาว หูตูบ และ จมูกรับกลิ่นได้ดีเยี่ยม ในการออกล่าสัตว์ เจ้าของจะให้สุนัขตามรอยเหยื่อ ออกไปได้ไกลกว่า
ในกรณีของสเปเนี่ยน จนบางครั้งอาจลับสายตาไปเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อพบเหยื่อ สุนัขจะไม่เข้าโจมตี เหยื่อเลยทันที แต่จะส่งสัญญาณให้เจ้าของทราบ โดยการยืนและทำ
จมูกฟุดฟิดไปยังจุดที่เหยื่ออยู่ หรือ บางครั้งอาจมีการยกขาหน้าร่วมด้วย สุนัขพันธุ์เซทเตอร์ ก็เช่นเดียวกัน มันจะส่งสัญญาณให้เจ้าของทราบโดยการยืนแข็งนิ่ง แล้วค่อยๆ
นั่งลง โดยสุนัขที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จะนิ่งคอยได้เป็นเวลานาน จนกว่าเจ้าของจะออกคำสั่งต่อไป มันจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
• รีทรีพเวอร์ เป็นสุนัขที่เป็นมิตร แข็งแรง มีโครงสร้างที่ดี และ เชี่ยวชาญในการล่าสัตว์ โดยสิ่งที่มันถนัดคือ การค้นหา และ นำเหยื่อที่ถูกยิงกลับมาให้เจ้าของ โดยปกติแล้ว
มันมักจะทำงานร่วมกับสุนัขพันธุ์สเปเนี่ยน โดยให้สเปเนี่ยนเป็นผู้เริ่มต้นค้นหา ส่วนรีทรีพเวอร์คอยนำเหยื่อที่ถูกยิงแล้วกลับมาให้เจ้าของ นอกจากนี้ รีทรีพเวอร์ยังว่ายน้ำได้
ดี มันจึงมักถูกใช้ในการล่าสัตว์ปีกที่บินอยู่เหนือน้ำ เช่น ห่านป่า เป็นต้น
3. สุนัขเทอร์เรีย (Terriers) ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ มันเป็นสุนัขขนาดเล็ก ที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น ชอบดมกลิ่น ตามรอย และ ขุดคุ้ยหาสิ่งที่มันสงสัย มันจึงถูกใช้เป็นผู้
ช่วยในการล่าสัตว์ โดยเทอร์เรียจะทำหน้าที่ตามรอยสัตว์ป่า เช่น กระต่าย หนู แบดเจอร์ หมาป่า เมื่อพบที่อยู่ของเหยื่อ มันจะมุดลงไปในรู ทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจ วิ่งออก
มาจากรัง ให้คนตามล่าต่อไป แม้เทอร์เรียจะเป็นสุนัขขนาดเล็ก ขาสั้น แต่มันกลับเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว มีชีวิตชีวา ผนวกกับนิสัยประจำตัวที่อดทน และกล้าหาญ ทำให้
มันถูกใช้เป็นสุนัขสงคราม บางยุคก็นำเทอร์เรียมาต่อสู้ในสนามแข่ง แต่ปัจจุบันนิยมเลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนเล่นภายในบ้าน
ประเภทของสุนัขเทอร์เรีย แยกย่อยได้อีกหลายพันธุ์ แต่เราอาจแบ่งเทอร์เรียเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะของเส้นขน คือ
1. พันธุ์ขนเรียบ และ สั้น เช่น ฟอกซ์ เทอร์เรียขนสั้น
2. พันธุ์ขนหยาบ และ ยาว เช่น สก็อตทิช เทอร์เรีย และ เคอรี บลู เทอร์เรีย เป็นต้น
พันธุ์ยอดนิยม
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า สุนัขเทอร์เรียมีต้นกำเนิดในอังกฤษ ซึ่งรวมถึงสก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ด้วย อันที่จริงแล้ว บนเกาะอังกฤษนั้น มีเทอร์เรียมากมายหลายพันธุ์ กระจายไปตามท้องที่ต่างๆ แต่เทอร์เรียส่วนหนึ่งได้กลายพันธุ์ไป คงเหลือแต่ พันธุ์ที่ได้รับความนิยม เช่น ฟ็อกซ์ เทอร์เรีย, บูล เทอร์เรีย, แบดลิงตัน และ แมนเชสเตอร์
4. สุนัขทำงาน (Working dogs) หลังจากที่นำสุนัขป่ามาเลี้ยง เพื่อช่วยล่าสัตว์ มนุษย์ก็พบว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความสามารถ เกินกว่าที่คาด มันฉลาด แข็งแกร่ง ว่องไว อด
ทน สายตาดีและ ตามกลิ่นได้อย่างดีเยี่ยม สุนัขจึงถูกคัดเลือกพันธุ์ เพื่อใช้งาน นอกเหนือจากการล่าสัตว์ จนได้สายพันธุ์สุนัขทำงาน ที่มีลักษณะเด่น แตกต่างกันไปมากมาย
• ทักษะที่หลากหลาย เป็นเวลานับศตวรรษแล้ว ที่มนุษย์นำสุนัขมาใช้งาน เช่น เฝ้ายาม สำรวจหาระเบิด (ในสงคราม) ลากสัมภาระ ต้อนฝูงสัตว์ ตามรอยผู้ร้าย และ ช่วยเหลือผู้
ประสบภัย ปัจจุบันสุนัข ยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยตำรวจ นำทางคนตาบอด ตรวจค้นหายาเสพติด ก๊าซรั่ว ระเบิด และ ล่าสุดสุนัขนั้น็ยังถูกฝึกให้ช่วยเหลือคนหูหนวกได้อีกด้วย
ตัวอย่างของสุนัขตำรวจ ได้แก่ บ็อกเซอร์ โดเบอร์แมน พินซ์เช่อร์ รอทไวเลอร์ เยอรมันเชพเพิร์ด เกรดเดน
• สุนัขขวัญใจชาวไร่ ยังมีสุนัขทำงานอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชาวไร่ อย่างเช่น Collie , Old English Sheepdog , German Shepherd , Shetland
Sheepdog และ Corgi โดยสุนัขพวกนี้ จะช่วยชาวไร่ในการเฝ้าฝูงปศุสัตว์ คอยต้อนสัตว์ ออกไปกินหญ้า และ กลับบ้าน เป็นต้น พวกมันช่วย ชาวไร่ทำงานได้ดีมาก จึงไม่
น่าแปลกใจว่า เกือบทุกประเทศที่มีการเลี้ยงสัตว์ จะการพัฒนา สายพันธุ์สุนัขต้อนสัตว์ จนได้พันธุ์ประจำถิ่นของตนเอง เช่น Collie จากสก็อตแลนด์ Puli จากฮังการี และก็มี
Corgi จากเวลส์ เป็นต้น
• สุนัขจอมอึด มีสุนัขอีกพวกหนึ่งที่แข็งแกร่ง และ อดทนมาก จนสามารถทำงานหนักๆ แทนมนุษย์ได้ เช่น ในอังกฤษสุนัขถูกใช้ให้ส่งจดหมายระหว่างเมือง และก็ ลากเกวียน
บรรทุกของนอกจากนี้ ประเทศในเขตอากาศหนาวมากๆ ซึ่งการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังใช้สุนัข เช่น Alaskan Malamute, Siberian Husky และก็
Samoyed เพื่อเป็นพาหนะเดินทาง โดยสุนัขพวกนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตร ภายในเวลา 18 ชั่วโมง และสุนัข 4 ตัวที่ใช้เทียมล้อเลื่อนสามารถลากเลื่อนที่
หนักถึง 180 กิโลกรัมได้ระยะทาง 30 ไมล์ต่อวันทีเดียว !!
• ความสามารถเฉพาะอย่าง มนุษย์ยังใช้สุนัขทำงานอีกหลายประเภท โดยสุนัขบางพันธุ์ถูกฝึกเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เช่น สุนัขเซนต์ เบอร์นาร์ดถูกฝึกให้ค้นหา และ นำบรั่นดี
ไปให้กับผู้หลงทางในหิมะ Bernese Mountain ลากเลื่อนที่บรรทุกนม และ เนยไปส่งที่ตลาด Portuguese Water Dog ดำน้ำงมหาอวนและเครื่องมือหาปลาที่ตก
น้ำ หรือแม้กระทั่งปลาที่หลุดออกไปจากอวน นอกจากนี้ ยังมีสุนัขที่ทำหน้าที่ประหลาดที่สุด คือ สุนัขพันธุ์ Norwegian Lundehund ถูกใช้ให้เป็นหมาล่านก !! โดยมัน
ถูกฝึกมาให้ทำงานในถ้ำ หรือหน้าผาที่สูงชัน เพื่อจู่โจมรังนกพัฟฟิน (ถ้าเป็นในไทยต้องถูกฝึกไว้เก็บรังนกนางแอ่นแน่เลย...)
5. สุนัขตุ๊กตา (Toy) เป็นสุนัขตัวเล็กๆ ซึ่งเดิมเค้าก็เป็นสุนัข ตัวใหญ่นี่แหละ แต่ถูกพัฒนาพันธุ์จนได้สุนัขตัวจิ๋ว ที่น่ารักน่าเอ็นดู สุนัขประเภทนี้เหมาะสำหรับ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
แก้เหงา มันมีบทบาทมาก กับคนที่อยู่คนเดียว เช่น คนชราที่ถูกทอดทิ้ง คนป่วย รวมไปถึงเด็กๆ ด้วย
• อดีตสุนัขไฮโซ สุนัขตุ๊กตาถือถือกำเนิดขึ้นมาตั้งหลายพันปีแล้ว โดยเมื่อ 4,000 ปีก่อน เราพบสุนัขสิงโต (Lion Dogs) ที่หน้าตาคล้ายๆ กับ สุนัขปักกิ่งในจีน และ พบ Lap
dogs ที่โด่งดังมากในกลุ่ม คนโรมันในสมัยก่อนนั้น สุนัขตุ๊กตาเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้หญิง และเด็กๆ ในสังคมชั้นสูง เช่น ราชินีแมรี่ แห่งสก็อตแลนด์ ราชินีวิคตอเรีย พระ
นางมารี อังตัวเนต และ มาดามปอมปาดัว แห่งฝรั่งเศส หรือ แม้แต่จักรพรรดินีของ จีน และ ลามะแห่งธิเบต ก็ล้วนแล้วแต่มี สุนัขคู่ใจเป็นสุนัขตัวเล็กๆ นี้กันทั้งนั้น
แม้ว่าสุนัขตุ๊กตาจะตัวเล็ก ดูไม่มีพิษมีภัย แต่มันก็ยังมีสัญชาติญาณของสุนัขอยู่ครบถ้วน มันพร้อมที่จะปกป้องเจ้านาย และ บ้านที่มันอาศัยอยู่ โดยการเห่าเสียงดังๆ หรือ
ร้องหงิงๆ เตือนเมื่อมีผู้บุกรุก และบางตัวอาจถึงขั้นจู่โจมผู้บุกรุกเลย โดยไม่สนว่าผู้บุกรุก จะตัวขนาดไหน
6. สุนัข อเนกประสงค์ (Non Sporting) เป็นสุนัขนานาประโยชน์ตามแต่เจ้าของจะใช้งาน บางท่านก็ว่า มันก็คือสุนัขที่ ไม่สามารถจัดเข้าในพวกใดพวกหนึ่ง ฟังดูแล้วดูไม่มี
ค่า แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่หรอก เพราะสุนัขพวกนี้หลายๆ พันธุ์ก็โด่งดังทะลุฟ้าเชียว เช่น สุนัขลายจุด (ดัลเมเชี่ยน) ขวัญใจเด็กๆ ไง
• ประโยชน์ใช้สอยที่ไม่ธรรมดา เช่น สุนัข Lhasa Apso เป็นสุนัขที่ลามะในธิเบตเลี้ยงไว้เพื่อระวังภัย และยังถือว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งโชคลาภอีกด้วย สำหรับสุนัขพันธุ์
เชาเชา ซึ่งถือกำเนิดในมองโกเลียเมื่อ 3,000 ปีก่อน แรกเริ่มเดิมที ก็เป็นสุนัขที่ถูกใช้ในสงครามอยู่ดีๆ แต่ต่อมากลับถูกชาวจีนฆ่าเป็นอาหาร และนำเอาขนสัตว์ไปทำเครื่องนุ่ง
ห่มเสียนี่ ช่างน่าอาภัพนัก ว่ากันว่า ในปัจจุบันนี้ชาวเกาหลี ส่วนหนึ่งยังนิยมกินเนื้อสุนัขเชาเชา และ พูเดิ้ลสีแดง อยู่ โดยถือว่าเป็นอาหารอันโอชะชั้นเหลาทีเดียว