ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน เปิดเผยผลการศึกษาชิ้นล่าสุดว่า นักการเมืองที่มีพฤติกรรมช่อราษฎร์บังหลวงหอบเงินหนีออกนอกประเทศกว่า 8 แสนล้านหยวน (ประมาณ 3.84 ล้านล้านบาท) ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นศึกษาด้านการติดเงินสินบนที่ก่อให้เกิดผลเสียหายทั่วประเทศ
ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลและผู้บริหารของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จำนวนระหว่าง 16,000-18,000 คน หลบหนีออกนอกประเทศ หรือไม่ก็หายตัวไปเฉยๆพร้อมกับเงินจำนวนมหาศาลกว่า 8 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 3.84 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ส่วนใหญ่จะหลบหนีไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย ขณะที่ตำแหน่งรองลงจากนั้นหลบหนีเข้ารัสเซียและประเทศไทย
ผู้หลบหนีจำนวนมาก ใช้ฮ่องกงเป็นฐานเพื่อหนีไปยังประเทศกลุ่มประเทศเครือจักรภพอังกฤษ ส่วนรายอื่นๆซ่อนตัวในประเทศเล็กๆในแอฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก ก่อนที่จะหนีไปยังประเทศที่สาม
โดยผลการศึกษาซึ่งรวบรวมจากข้อมูลเมื่อเดือนมิถุนายน 2008 กล่าวเตือนว่า การนำเงินที่ได้จากการคอร์รัปชันจำนวนมหาศาลออกนอกประเทศเช่นนี้ เท่ากับเป็นการบ่อนทำลายเจตนารมย์เดิมของพรรคคอมมิวนิสต์ และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การทุจริตคอร์รัปชันยังถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน และก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อการจัดการของรัฐบาล แม้ว่าจะมีความพยายามมากเพียงใดก็ตาม
ประธานาธิบดีหู จิ่น เทา และผู้นำระดับสูงของจีนมักกล่าวว่า การคอร์รัปชันที่เป็นเสมือนโรคเรื้อรังถือเป็นตัวการบ่อนทำลายความชอบธรรม ของพรรคคอมมิวนิสต์ และปฏิญาณที่จะเร่งกำจัดพฤติกรรมผิดกฎหมายเช่นนี้ให้เร็วที่สุด
ผลการศึกษายังระบุว่า เจ้าหน้าที่ในธนาคารกลางของจีนบางราย แอบนำเงินใส่กระเป๋าเดินทางขณะที่เดินทางข้ามพรมแดนจีน หรือไม่ก็โอนเงินโดยผ่านช่องทางผิดกฎหมาย ขณะที่บางรายใช้ช่องทางที่แยบยลกว่านั้น โดยการปลอมชื่อขึ้นมาลอยๆ ขโมยเงินจากหน่วยงานของรัฐโดยการถ่ายโอนไปเป็นสินทรัพย์ในต่างประเทศ หรือการจดทะเบียนบริษัทบังหน้าในตลาดออฟชอร์
ส่วนบางรายส่งพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของตนไปต่างประเทศ เพื่อซื้อหาอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นๆ หรือจัดตั้งบริษัทเพื่อนำเงินที่ได้อย่างผิดกฎหมายมาใช้