หลวงปู่จันทาพบเปรต 3 สาวงาม หลงกาเม
คืน วันหนึ่งตอน ๓ ทุ่ม ขณะที่ท่านพระอาจารย์จันทาเดินจงกรมอยู่ในป่าช้าแห่งนั้น บรรยากาศอันสงัดวิเวกวังเวงได้เย็นเยือกลง มีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยมาจนทำให้สะอึก ท่านคิดว่า ชาวบ้านฝังผีไม่ลึก ทำให้สุนัขมาขุดคุ้ยหลุมผี ลากเอาศพเน่าแล้วขึ้นมากิน กลิ่นศพเลยกระจายมาตามกระแสลม
จึงสูดลมหายใจแรง ๆ เอากลิ่นศพเข้าปอด วิธีนี้จะทำให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับกลิ่นเหม็นได้สนิท ความเหม็นเน่าจะทุเลาลง วิธีนี้สัปเหร่อแนะนำให้ไว้
แล้วท่านก็เดินจงกรมต่อไปกำหนดพุทโธตามจังหวะย่างก้าวไม่นานจิตร่วมลงเกิดโอภาสสว่างจ้า
ใน แสงสว่างนั้น เห็นนิมิตเป็นหญิงสาว ๓ นาง ตัดผมสั้นคล้ายทรงผมผู้หญิงออกศึกสงครามสมัยโบราณ ผิวขาวร่างสูงใหญ่ ๘ ศอก สวยมาก แต่เปลือยกายล่อนจ้อน เข้ามาหยุดยืนห่างในระยะประมาณ ๒ วา ที่ของลับนางทั้ง ๓ มีหนอนตัวเท่านิ้วมือจำนวนมากมายเจาะอยู่ยุ่บยั่บน่าหวาดเสียว น้ำเหลืองน้ำหนองไหลพลั่ก ๆ ลงมาที่พื้นดินจิตบอกว่า นางทั้ง ๓ นี้เป็นเปรต !
นางเปรตทั้ง ๓ ได้เดินไปยืนคร่อมเครือเถาวัลย์ แล้วถูไปถูมาทำให้หนอนที่รุมเจาะของลับอยู่นั้นร่วงพรูลงมา เป็นภาพที่ทำให้สังเวชสลดใจยิ่งนัก ท่านพระอาจารย์จันทากำหนดจิตถามว่า
“ทำกรรมทำเวรอันใดไว้ถึงได้มาตกค้างอยู่ในสภาพนี้โยม?”
นางเปรตทั้ง ๓ ร้องเสียงดังโหยหวนไปทั้งป่าช้า ร่ำไห้น่าสงสาร กล่าวตอบว่า
“พวกข้าน้อยมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกินท่านครูบาเอ๊ย ตั้งแต่สมัยตั้งเมืองนครพนมหลายร้อยปีนานมา
พวก ข้าน้อยเป็นสาวงาม เมื่อมีผัวแล้วก็เล่นชู้นอกใจผัว ไม่เลือกเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าหรือฆราวาส ฝ่ายผัวรู้เข้าก็คับแค้นใจ สาปให้ตายไปเป็นเปรต ถูกฝูงหนอนรุมเจาะของลับเช่นนี้แหละ”
“อยากจะพ้นทุกข์นี้ไหมล่ะโยม ?”
“อยากพ้นเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้จะพ้นได้อย่างไร ?”
ท่านพระ อาจารย์จันทาจึงกำหนดจิตถามพระธรรม ซึ่งก็คือ พุทโธหรือจิตนั่นเอง พระธรรมบอกว่า เปรต ๓ นางนี้เคยเป็นญาติกันมาในชาติก่อนหลายภพชาติ เคยช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันมา สมควรจะช่วยเหลือพวกนางให้ไปเกิดในสุคติภูมิ
หลาย ภพชาติมาล้วนไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใด สามารถช่วยเหลือเปรตทั้ง ๓ นางนี้ได้เลย เมื่อมาเจริญภาวนาในป่าช้าแห่งนี้แล้วจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่สามารถมองเห็นเปรตทั้ง ๓ นางได้
ในชาติ ปัจจุบัน พระที่มาเจริญภาวนาในป่าช้านี้จำนวนหลายองค์ จิตไม่มั่นคง เพราะถูกพวกเปรตในป่าช้ารบกวน ก็หนีไปอยู่เสียที่อื่น ไม่ได้ช่วยให้พวกเปรตหลุดพ้นทุกข์ไปได้ รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวเนื่องเป็นญาติกันด้วย
ท่านพระอาจารย์จันทา สังเวชสลดใจ บาปกรรมช่างร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวนี่กระไร จึงบอกให้นางเปรตทั้ง ๓ ตั้งใจรับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้วจึงสอนให้เดินจงกรมภาวนาพุทโธสอนให้หัดไหว้พระสวดมนต์ กำชับให้เจริญภาวนาพุทโธ เอาพุทโธเป็นสรณะที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด
“เมื่อขาวบ้านญาติโยมมาทำบุญสุนทานในวัด ก็ให้โยมทั้ง๓ ฟังเทศน์ฟังธรรมกับเขา รับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ ศีล ๘ กับเขา
เผื่อ เขากรวดน้ำอุทิศกุศลให้เปรตขนก็โมทนายินดีรับเอากุศลนั้นด้วย จะได้หมดกรรมในเปรตวิสัยภูมิเร็วขึ้น” ท่านพระอาจารย์จันทากำชับนางเปรตทั้ง ๓
ท่านเล่าว่าต่อมาบางวันสงบ ๆ ในเวลากลางวัน จะได้ยินเสียงนางเปรตทั้ง ๓ กรีดร้องโหยหวนร่ำไรรำพันว่า
“เจ้าศีลเจ้าธรรมคูรบาเอ๊ย เมื่อไหร่หนอ พวกข้าน้อยจะพ้นจากเวรกรรมเสียที ทุกข์ยากเจ็บปวดแท้ น้อ”
บาง คืนเปรตก็ร้องคร่ำครวญน่าเวทนายิ่งนัก เวลาท่านเดินจงกรมตอนกลางวันกลางคืน นางเปรตและผีทั้งหลายในป่าช้าพากันนั่งเต็มไปหมดคอยรับเอาส่วนกุศลที่แผ่ให้ แล้วจึงไปภาวนาทำความเพียรช่วยตัวเอง
"ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าพระ กรรมฐานทุกองค์แม้จะได้ฌานสมาธิ แต่ก็ไม่ได้เห็นผีเห็นเปรตหรือเห็นเทวดาเหมือนกันหมดทุกองค์ พระกรรมฐานที่จะเห็นได้ส่วนมาก เคยมีกรรมเก่าพัวพันกับผีสางเทวดาเหล่านั้นมาแล้วในชาติปางก่อน
อาตมาเกิดนิมิตในสมาธิเห็นพวกวิญญาณได้ เห็นจะเนื่องจากอาตมาเคยมีกรรมพัวพันกับพวกเขามาก่อน ไม่ใช่อาตมาได้ตาทิพย์อะไรหรอกนะ
ครูบาอาจารย์ยังได้สอนอีกว่า อำนาจสมาธิอาจสามารถทำให้เห็นอดีต เห็นปัจจุบัน เห็นอนาคต ได้
แต่ ถ้าผู้ได้สมาธิระดับนี้ใช้สอดส่องเพ่งมองอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็นการอวดตนหรือหวังลาภสักการะแล้ว ย่อมจะทำให้การก้าวหน้าทางโลกุตรธรรมหยุดชะงักลงอย่างหมดหวัง น่าสลดสังเวช ประดุจดอกไม้ยังไม่ทันได้บานขึ้นเต็มที่ก็พลันเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปเสีย ไม่มีโอกาสได้กระจายกลิ่นหอมหวนทวนลมแม้แต่น้อย
ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm