"น้องธันย์"เด็กสาววัย14ปีหัวใจแกร่ง
เปิดใจ "เดลินิวส์" ปลาบปลื้มพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเทพฯ ทรงช่วยเหลือ คนไทยจะอยู่หนแห่งใด ยันขอเป็นจิตแพทย์ตามฝัน
ภาพของเด็กสาว แววตาสดใส ตัวเล็ก แม้จะนั่งมากับรถเข็นวีลแชร์มากับบิดาบังเกิดเกล้าเพียง 2 คน แต่สภาพจิตใจของเธอเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งไม่ยอมย้อท้อง่ายๆ ชูสองนิ้ว ยิ้มสู้กล้องให้สื่อบันทึกภาพด้วยใบหน้าแจ่มใสร่าเริง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
แม้ร่างกายเธอจะไม่เหมือนช่วงที่เดินทางออกไปจากประเทศไทย สภาพตอนนั้นเธอยังสามารถเดินเหินคล่องแคล่วแบบเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป ปัจจุบันเธอกลับมาแผ่นดินแม่อีกครั้งในสภาพต้องนั่งรถวีลแชร์ แต่ทุกคนที่ติดตามข่าวของเธอต่างยอมรับว่าเด็กสาวรายนี้จิตใจแข็งแกร่งไม่ธรรมดา !!
ย้อนเหตุการณ์กลับไปในช่วงเดือนเม.ย.54 ที่ผ่านมา กับข่าวคราวใหญ่โตในประเทศสิงคโปร์ ถึงเรื่องราวของน้องธันย์ หรือ ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ วัย 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยม ปีที่ 2 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง ที่เดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษ ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ในประเทศสิงคโปร์ แล้วเกิดคราวเคราะห์หามยามร้าย ช่วงสายๆของวันเสาร์ที่ 3 เม.ย. ได้ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรง เนื่องจากพลัดตกลงไปในรางรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีอั้งม้อเกี้ยว ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ถูกรถไฟทับขาทั้งสองข้าง จนแพทย์ต้องตัดขาตั้งแต่หัวเข่าลงไปทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
ประเทศสิงคโปร์ที่จัดได้ว่ามีความปลอดภัยแทบทุกๆด้าน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ ทำให้เรื่องราวของ น้องธันย์ กลายเป็นข่าวใหญ่โตในดินแดนลอดช่อง มีผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย ที่สำคัญชาวสิงคโปร์ต่างเกาะติดข่าวนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อมีการนำเสนอภาพข่าวของน้องธันย์ ที่แม้จะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง แต่สภาพจิตใจและร่างกายของเด็กสาวกลับแข็งแกร่งเกินวัยยิ่งนัก หลังพักฟื้นจนสภาพร่างกายเริ่มดีขึ้นก็เปิดใจด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “พร้อมยอมรับสภาพเช่นนี้ได้เพราะตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด” ทำให้เรื่องราวของเธอถูกนำไปเผยแพร่ทั้งตามสื่อต่างๆ รวมไปถึงโลกอินเทอร์เน็ตทั้งในเมืองไทยและสิงคโปร์ต่างให้กำลังใจเธออย่างล้นหลาม เรียบว่าเธอยังกลายเป็นขวัญใจของบรรดาวัยรุ่นในสิงคโปร์
อย่างไรก็แล้วแต่ในโลกของความเป็นจริง แม้เจ้าตัวจะยอมรับสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับเรื่องนี้คนในครอบครัวของเธอกับต้องเสียขวัญไปมิใช่น้อย ยังโชคดีผู้นำครอบครัวคือ นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 55 ปี นักธุรกิจชาวตรัง ผู้เป็นบิดาต้องค่อยๆพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้กับผู้เป็นภรรยา โดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุใหม่ๆ ยังไม่รู้จะหาวิธีใดบอกกับภรรยาให้เข้าใจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาว กลัวพูดความจริงไปแล้วทำใจรับสภาพไม่ได้และอาจช็อคเป็นลมหมดสติไปอีกคนเลยต้องปิดบังเอาไว้หลายวัน
สุดท้ายนายกิตติ์ธเนศ ตัดสินใจวางแผนกับลูกสาวคนโตที่จะยอมบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ภรรยาทราบอย่างนิ่มนวลที่สุด ใช้โอกาสพาภรรยาขึ้นรถยนต์ เปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด และเมื่อได้จังหวะก็บอกภรรยาว่า ลูกสาวได้รับบาดเจ็บขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ในสิงคโปร์ ตอนแรกยังไม่ได้บอกถึงสาเหตุของอาการบาดเจ็บเพราะกลัวทำใจไม่ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเมื่อภรรยาทราบเรื่องทั้งหมด ถึงกับตกใจร้องไห้ อยู่นาน 2-3 ชั่วโมง เพราะไม่คาดฝันลูกสาวจะมาสูญเสียขาไปทั้งสองข้าง แต่ผู้นำครอบครัวต้องเตือนสติให้คิดว่า หากคนเป็นพ่อแม่หมดกำลังใจแล้วลูกสาวจะอยู่อย่างไร เพราะขณะนี้ลูกมีกำลังใจดีขึ้นร่างกายเข้มแข็งมากแล้ว ยังพูดคุยหยอกล้อกันว่า ถ้าใส่“ขาเทียม”แล้วสามารถกระโดดลอยได้ไปไกล 1-2 เมตร
สิ่งหนึ่งที่ครอบครัว “เป็นเอกชนะศักดิ์” ปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกระเช้าดอกไม้ ให้คุณหญิงอารยา พิบูลนครินทร์ เป็นผู้แทนพระองค์เข้าเยี่ยมด้วย พร้อมกันนั้นได้ทรงมีเมตตาให้คุณหญิงซักถามเรื่องการเรียนและอาการบาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง ทำให้น้องธัญย์และครอบครัวมีกำลังใจต่างภาคภูมิใจกับการได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้
หลังจากทางทีมแพทย์ที่สิงคโปร์ รักษาอาการของน้องธัญย์ อยู่นาน 2 เดือนเต็มจนสภาพจิตใจและร่างกายดีขึ้นมากแล้วสามารถช่วยตัวเองได้บ้างแล้ว ช่วงบ่ายวันที่ 13 มิ.ย. นายกิจธเนศ จึงได้เดินทางไปรับบุตรสาวกลับมาประเทศไทย เพื่อพักรักษาตัวเตรียมใส่ขาเทียมที่ ศูนย์สิรินธร เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข น้องธันย์ กล่าวสั้นๆว่า ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นห่วงตนเองพร้อมสู้ต่อไป ขณะนี้รู้สึกคิดถึงแม่ ญาติพี่น้องรวมทั้งเพื่อนๆ ซึ่งก็ได้ติดต่อคุยกันทางเฟซบุ๊ค เอ็มเอสเอ็น ส่วนวันที่ 16 มิ.ย.นี้ ตรงกับวันเกิดอายุครบ 15 ปี อยากอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้า และอยากกินสุกี้ร้านโปรดที่เมืองตรังให้เต็มปากเต็มคำ
เปิดใจสาวน้อยสู้ชีวิต
วันนี้ ( 14 มิ.ย.) ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ พร้อมด้วย นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ บิดา ได้เข้าพักรักษาตัวต่อที่อาคารผู้ป่วยในหญิง ชั้น 2 ห้องพิเศษ 1 ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จากนั้น นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เดินทางเข้าเยี่ยม
นพ.เรวัต กล่าวว่า ด้วยพระกรุณาธิคุณของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณห่วงใยน้องธันย์และรับสั่งให้มีการช่วยเหลือดังนั้นทางศูนย์สิรินธรฯจะให้การดูแลน้องธันย์อย่างดีที่สุดโดยจะจัดหาขาเทียมที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้มาให้กับน้องธันย์ คาดว่าใน 2 สัปดาห์ต่อจากนี้จะสั่งขาเทียมซี-เลก มาให้กับน้องธันย์ได้ โดยในวันที่ 14 มิ.ย. จะให้เจ้าหน้าที่มาวัดขนาดขาทั้ง 2 ข้าง และทำขาเทียมชั่วคราวให้ก่อน ทั้งนี้ราคาขาเทียมราคาข้างละ 1.2 ล้านบาท ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำงานโดยไมโครโปรเซสเซอร์ มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี คาดว่าหลังจากใส่ขาเทียมแล้ว คงจะใช้เวลาหัดเดินประมาณ 1 เดือน
ด้าน ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ เปิดใจกับ “เดลินิวส์” ว่า ตอนแรกที่ประสบอุบัติชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย ตอนแรกคิดว่าจะเลวร้ายมาก พอวันรุ่งขึ้นมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา รู้สึกตื้นตันที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงช่วยเหลือ ไม่ว่าคนไทยนั้นจะอยู่หนแห่งใด ก็ยังทรงให้ความช่วยเหลือ มีคนให้กำลังใจเต็มไปหมดเลย ก็เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว
“รู้สึกอยู่แค่วันเดียว พอตื่นขึ้นมาอีกวันทุกอย่างก็เปลี่ยนไป รู้สึกดีขึ้น เราก็คงใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ ถึงแม้จะไม่มีขาแต่เราก็ยังมีรถเข็น ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ รพ. ที่สิงคโปร์ ก็อาบน้ำเอง ไปไหนมาไหนเอง ไม่กดเรียกพยาบาลเลย ทำทุกอย่างได้หมดเลย เพียงแต่ไม่ได้เดินไปเท่านั้นเอง” น้องธันย์ กล่าวและว่า คนที่มาเยี่ยมก็ร้องไห้ ธันย์ก็คิดว่าร้องทำไมเพราะธันย์เองยังไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นเลย และยังปลอบคนมาเยี่ยม
น้องธันย์ กล่าวว่า ในอนาคตอยากเป็นจิตแพทย์และจะเดินตามความฝันต่อไป เหตุผลที่อยากเห็นจิตแพทย์เพราะเด็ก ๆ อยากเป็นหมอเพราะทุกคนก็ยากเรียนหมอเพราะคนเรียนหมอต้องเก่ง และเราไม่ต้องไปนั่งอยู่เฉย ๆ ให้คนไข้มาหา แต่เราไปหาคนไข้เอง และไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือมากมายก็สามรถช่วยเหลือ แค่เรามี คำพูด ความนึกคิด ก็สามารถพูดให้คนรอบข้างเข้าใจได้ และการที่ธันย์โดนรถไฟทับก็เป็นบทพิสูจน์อีกอย่างว่าจะเรียนได้หรือเปล่า เพราะถ้าสมมุติว่าธันย์อ่อนแอ ร้องไห้ กับสิ่งที่สูญเสียไป ก็จะเรียนไม่ได้เพราะไม่สามารถที่จะไปช่วยคนอื่นคิดเหมือนธันย์ได้
เมื่อถามว่า คิดว่าอะไรที่ทำให้มีจิตใจเข้มแข็งทั้งที่สูญเสียขา 2 ข้าง น้องธันย์ กล่าวว่า คิดว่า ยังไงเราก็ได้กำลังใจจากคนอื่น และคนอื่นก็เห็นว่า เราเข้มแข็ง ถ้าเราอ่อนแอคนอื่นก็ไม่เห็นคุณค่าของเรา แต่ถ้าเราเข้มแข็งก็สามารถอยู่ในสังคมได้ ทุกคนก็รักมากกว่าเราอ่อนแอ ไม่ได้รังเกียจ เราก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเองดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากทำอะไรเป็นสิ่งแรกเมื่อกลับมาประเทศไทย น้องธันย์ กล่าวว่าก็อยากพบญาติ ๆ โดยวันที่ 16 มิ.ย.นี้เป็นวันเกิดก็อยากชวนญาติ ๆ มาอยู่ด้วยกันให้พร้อมหน้าพร้อมตา เพราะวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นวันที่คุณย่าเสียทุกคนจะมาพร้อมกันที่วัด แต่ปีนี้ก็ไม่ได้ไป ส่วนเพื่อน ๆ ก็ได้คุยกันทางเฟชบุ้ค และโทรศัพท์
ต่อข้อถามว่า จะฝากคนที่ประสบอุบัติเหตุและท้อแท้อย่างไร น้องธันย์ กล่าวว่า ก็อยากให้กำลังใจว่าชีวิตต้องมองอนาคต ไม่ใช่มองแค่ตรงนี้ อนาคตต้องเดินต่อไป ในเมื่อเรามีชีวิตรอดเราควรทำให้เรามีประโยชน์มากที่สุด ดีกว่าที่เราจะต้องมานั่งเสียใจอยู่ ส่วนคนไทยทุกคนที่เป็นห่วง ก็อยากบอกว่า เกือบหายดีเป็นปกติแล้ว ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงทั้งคนไทยและต่างประเทศที่มาเยี่ยมและซื้อของมาฝาก
น้องธันย์ กล่าวถึงการเดินว่า แพทย์อธิบายเรื่องขาเทียมซี-เลก ให้เข้าใจแล้วตั้งแต่อยู่ที่สิงคโปร์ และดูในยูทูบแล้ว เห็นการเดินแล้วเหมือนคนปกติมาก มันจะมีที่หุ้มเหมือนเนื้อเราจริง ๆ ก็จะไม่ค่อยกังวลมาก มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเองด้วย ไม่ใช่ไปพึ่งแค่ขาอย่างเดียว ถ้าเกิดตัวเองไม่มุ่งมั่นไม่ขยันซ้อม ไปพึ่งแค่ขา เดี๋ยวใส่ขาเทียมแล้วก็เดินได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่พึ่งตัวเองก่อนที่จะไปพึ่งสิ่งที่ช่วยเรา
น้องธันย์ กล่าวด้วยว่า ชอบร้องเพลง อยู่บ้านอ่านหนังสือเครียดก็ร้องเพลง โดยเพลงที่ร้องเป็นเพลงสากล คือ เพลงของไมเคิล แจ๊กสัน มันคลายเครียดดี ร้องแล้วปลอดโปร่ง ส่วนศิลปินไทย ชอบเพื่อนพี่สาวคือ นุ๊กนิ๊ก เอเอฟ 6 ส่วนอาหาร ชอบสุกี้ ขาหมู ส้มตำ เมื่อถามว่า กินขาหมูไม่กลัวอ้วนหรือ น้องธันย์ กล่าวว่า กินเป็นครั้งคราว ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย
เมื่อถามว่าว่าง ๆตอนนอนอยู่ รพ.ที่สิงคโปร์ ทำอะไร น้องธันย์ กล่าวว่า ก็เอ็กเซอร์ไซส์ คุยกับเพื่อนทางเอ็มเอสเอ็น ปกติทุกวันก็เขียนไดอารี่ พิมพ์เข้าเฟชบุ้คว่าวันนี้อะไร แล้วก็ส่งรูปไปให้เพื่อนดู ก็เหมือนได้พบเจอกัน ว่าง ๆ ก็มีครูมาสอนภาษาอังกฤษ ได้ฝึกภาษาอังกฤษ พูดกับพยาบาล ได้ออกไปเที่ยวข้างนอก ส่วนของสะสมชอบหมูเพราะมันน่ารักดี ตอนแรกอ้วนมาก ๆ เพื่อนจะเรียกไอ้หมู ก็แบบว่ามันน่ารักดี ก็เลยชอบอะไรที่เป็นสัญลักษณตัวเองดีกว่า
ต่อข้อถามว่า คิดว่ากำลังใจกับคนป่วยมีส่วนสำคัญแค่ไหน น้องธันย์ กล่าวว่า ก็คิดว่ากำลังใจก็มีส่วนสำคัญพอสมควร แต่แค่กำลังใจจากคนอื่นไม่พอ เราต้องมีกำลังใจให้ตัวเองด้วย ถ้าเราให้กำลังใจตัวเองไม่พอ ได้รับจากคนอื่นมา มันก็แค่เป็นกำลังใจที่ส่งมาให้เรา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดเวลาให้สัมภาษณ์น้องธันย์มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ไม่มีท่าทีเศร้าหมอง ทั้งนี้น้องธันย์ยังได้ร้องเพลงคืนข้ามปี ของเอ็นโดรฟินให้ฟังด้วย
เปิดใจ "เดลินิวส์" ปลาบปลื้มพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเทพฯ ทรงช่วยเหลือ คนไทยจะอยู่หนแห่งใด ยันขอเป็นจิตแพทย์ตามฝัน
ภาพของเด็กสาว แววตาสดใส ตัวเล็ก แม้จะนั่งมากับรถเข็นวีลแชร์มากับบิดาบังเกิดเกล้าเพียง 2 คน แต่สภาพจิตใจของเธอเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งไม่ยอมย้อท้อง่ายๆ ชูสองนิ้ว ยิ้มสู้กล้องให้สื่อบันทึกภาพด้วยใบหน้าแจ่มใสร่าเริง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
แม้ร่างกายเธอจะไม่เหมือนช่วงที่เดินทางออกไปจากประเทศไทย สภาพตอนนั้นเธอยังสามารถเดินเหินคล่องแคล่วแบบเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป ปัจจุบันเธอกลับมาแผ่นดินแม่อีกครั้งในสภาพต้องนั่งรถวีลแชร์ แต่ทุกคนที่ติดตามข่าวของเธอต่างยอมรับว่าเด็กสาวรายนี้จิตใจแข็งแกร่งไม่ธรรมดา !!
ย้อนเหตุการณ์กลับไปในช่วงเดือนเม.ย.54 ที่ผ่านมา กับข่าวคราวใหญ่โตในประเทศสิงคโปร์ ถึงเรื่องราวของน้องธันย์ หรือ ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ วัย 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยม ปีที่ 2 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง ที่เดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษ ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ในประเทศสิงคโปร์ แล้วเกิดคราวเคราะห์หามยามร้าย ช่วงสายๆของวันเสาร์ที่ 3 เม.ย. ได้ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรง เนื่องจากพลัดตกลงไปในรางรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีอั้งม้อเกี้ยว ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ถูกรถไฟทับขาทั้งสองข้าง จนแพทย์ต้องตัดขาตั้งแต่หัวเข่าลงไปทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
ประเทศสิงคโปร์ที่จัดได้ว่ามีความปลอดภัยแทบทุกๆด้าน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ ทำให้เรื่องราวของ น้องธันย์ กลายเป็นข่าวใหญ่โตในดินแดนลอดช่อง มีผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย ที่สำคัญชาวสิงคโปร์ต่างเกาะติดข่าวนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อมีการนำเสนอภาพข่าวของน้องธันย์ ที่แม้จะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง แต่สภาพจิตใจและร่างกายของเด็กสาวกลับแข็งแกร่งเกินวัยยิ่งนัก หลังพักฟื้นจนสภาพร่างกายเริ่มดีขึ้นก็เปิดใจด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “พร้อมยอมรับสภาพเช่นนี้ได้เพราะตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด” ทำให้เรื่องราวของเธอถูกนำไปเผยแพร่ทั้งตามสื่อต่างๆ รวมไปถึงโลกอินเทอร์เน็ตทั้งในเมืองไทยและสิงคโปร์ต่างให้กำลังใจเธออย่างล้นหลาม เรียบว่าเธอยังกลายเป็นขวัญใจของบรรดาวัยรุ่นในสิงคโปร์
อย่างไรก็แล้วแต่ในโลกของความเป็นจริง แม้เจ้าตัวจะยอมรับสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับเรื่องนี้คนในครอบครัวของเธอกับต้องเสียขวัญไปมิใช่น้อย ยังโชคดีผู้นำครอบครัวคือ นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 55 ปี นักธุรกิจชาวตรัง ผู้เป็นบิดาต้องค่อยๆพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้กับผู้เป็นภรรยา โดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุใหม่ๆ ยังไม่รู้จะหาวิธีใดบอกกับภรรยาให้เข้าใจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาว กลัวพูดความจริงไปแล้วทำใจรับสภาพไม่ได้และอาจช็อคเป็นลมหมดสติไปอีกคนเลยต้องปิดบังเอาไว้หลายวัน
สุดท้ายนายกิตติ์ธเนศ ตัดสินใจวางแผนกับลูกสาวคนโตที่จะยอมบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ภรรยาทราบอย่างนิ่มนวลที่สุด ใช้โอกาสพาภรรยาขึ้นรถยนต์ เปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด และเมื่อได้จังหวะก็บอกภรรยาว่า ลูกสาวได้รับบาดเจ็บขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ในสิงคโปร์ ตอนแรกยังไม่ได้บอกถึงสาเหตุของอาการบาดเจ็บเพราะกลัวทำใจไม่ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเมื่อภรรยาทราบเรื่องทั้งหมด ถึงกับตกใจร้องไห้ อยู่นาน 2-3 ชั่วโมง เพราะไม่คาดฝันลูกสาวจะมาสูญเสียขาไปทั้งสองข้าง แต่ผู้นำครอบครัวต้องเตือนสติให้คิดว่า หากคนเป็นพ่อแม่หมดกำลังใจแล้วลูกสาวจะอยู่อย่างไร เพราะขณะนี้ลูกมีกำลังใจดีขึ้นร่างกายเข้มแข็งมากแล้ว ยังพูดคุยหยอกล้อกันว่า ถ้าใส่“ขาเทียม”แล้วสามารถกระโดดลอยได้ไปไกล 1-2 เมตร
สิ่งหนึ่งที่ครอบครัว “เป็นเอกชนะศักดิ์” ปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกระเช้าดอกไม้ ให้คุณหญิงอารยา พิบูลนครินทร์ เป็นผู้แทนพระองค์เข้าเยี่ยมด้วย พร้อมกันนั้นได้ทรงมีเมตตาให้คุณหญิงซักถามเรื่องการเรียนและอาการบาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง ทำให้น้องธัญย์และครอบครัวมีกำลังใจต่างภาคภูมิใจกับการได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้
หลังจากทางทีมแพทย์ที่สิงคโปร์ รักษาอาการของน้องธัญย์ อยู่นาน 2 เดือนเต็มจนสภาพจิตใจและร่างกายดีขึ้นมากแล้วสามารถช่วยตัวเองได้บ้างแล้ว ช่วงบ่ายวันที่ 13 มิ.ย. นายกิจธเนศ จึงได้เดินทางไปรับบุตรสาวกลับมาประเทศไทย เพื่อพักรักษาตัวเตรียมใส่ขาเทียมที่ ศูนย์สิรินธร เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข น้องธันย์ กล่าวสั้นๆว่า ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นห่วงตนเองพร้อมสู้ต่อไป ขณะนี้รู้สึกคิดถึงแม่ ญาติพี่น้องรวมทั้งเพื่อนๆ ซึ่งก็ได้ติดต่อคุยกันทางเฟซบุ๊ค เอ็มเอสเอ็น ส่วนวันที่ 16 มิ.ย.นี้ ตรงกับวันเกิดอายุครบ 15 ปี อยากอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้า และอยากกินสุกี้ร้านโปรดที่เมืองตรังให้เต็มปากเต็มคำ
เปิดใจสาวน้อยสู้ชีวิต
วันนี้ ( 14 มิ.ย.) ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ พร้อมด้วย นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ บิดา ได้เข้าพักรักษาตัวต่อที่อาคารผู้ป่วยในหญิง ชั้น 2 ห้องพิเศษ 1 ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จากนั้น นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เดินทางเข้าเยี่ยม
นพ.เรวัต กล่าวว่า ด้วยพระกรุณาธิคุณของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณห่วงใยน้องธันย์และรับสั่งให้มีการช่วยเหลือดังนั้นทางศูนย์สิรินธรฯจะให้การดูแลน้องธันย์อย่างดีที่สุดโดยจะจัดหาขาเทียมที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้มาให้กับน้องธันย์ คาดว่าใน 2 สัปดาห์ต่อจากนี้จะสั่งขาเทียมซี-เลก มาให้กับน้องธันย์ได้ โดยในวันที่ 14 มิ.ย. จะให้เจ้าหน้าที่มาวัดขนาดขาทั้ง 2 ข้าง และทำขาเทียมชั่วคราวให้ก่อน ทั้งนี้ราคาขาเทียมราคาข้างละ 1.2 ล้านบาท ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำงานโดยไมโครโปรเซสเซอร์ มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี คาดว่าหลังจากใส่ขาเทียมแล้ว คงจะใช้เวลาหัดเดินประมาณ 1 เดือน
ด้าน ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ เปิดใจกับ “เดลินิวส์” ว่า ตอนแรกที่ประสบอุบัติชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย ตอนแรกคิดว่าจะเลวร้ายมาก พอวันรุ่งขึ้นมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา รู้สึกตื้นตันที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงช่วยเหลือ ไม่ว่าคนไทยนั้นจะอยู่หนแห่งใด ก็ยังทรงให้ความช่วยเหลือ มีคนให้กำลังใจเต็มไปหมดเลย ก็เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว
“รู้สึกอยู่แค่วันเดียว พอตื่นขึ้นมาอีกวันทุกอย่างก็เปลี่ยนไป รู้สึกดีขึ้น เราก็คงใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ ถึงแม้จะไม่มีขาแต่เราก็ยังมีรถเข็น ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ รพ. ที่สิงคโปร์ ก็อาบน้ำเอง ไปไหนมาไหนเอง ไม่กดเรียกพยาบาลเลย ทำทุกอย่างได้หมดเลย เพียงแต่ไม่ได้เดินไปเท่านั้นเอง” น้องธันย์ กล่าวและว่า คนที่มาเยี่ยมก็ร้องไห้ ธันย์ก็คิดว่าร้องทำไมเพราะธันย์เองยังไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นเลย และยังปลอบคนมาเยี่ยม
น้องธันย์ กล่าวว่า ในอนาคตอยากเป็นจิตแพทย์และจะเดินตามความฝันต่อไป เหตุผลที่อยากเห็นจิตแพทย์เพราะเด็ก ๆ อยากเป็นหมอเพราะทุกคนก็ยากเรียนหมอเพราะคนเรียนหมอต้องเก่ง และเราไม่ต้องไปนั่งอยู่เฉย ๆ ให้คนไข้มาหา แต่เราไปหาคนไข้เอง และไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือมากมายก็สามรถช่วยเหลือ แค่เรามี คำพูด ความนึกคิด ก็สามารถพูดให้คนรอบข้างเข้าใจได้ และการที่ธันย์โดนรถไฟทับก็เป็นบทพิสูจน์อีกอย่างว่าจะเรียนได้หรือเปล่า เพราะถ้าสมมุติว่าธันย์อ่อนแอ ร้องไห้ กับสิ่งที่สูญเสียไป ก็จะเรียนไม่ได้เพราะไม่สามารถที่จะไปช่วยคนอื่นคิดเหมือนธันย์ได้
เมื่อถามว่า คิดว่าอะไรที่ทำให้มีจิตใจเข้มแข็งทั้งที่สูญเสียขา 2 ข้าง น้องธันย์ กล่าวว่า คิดว่า ยังไงเราก็ได้กำลังใจจากคนอื่น และคนอื่นก็เห็นว่า เราเข้มแข็ง ถ้าเราอ่อนแอคนอื่นก็ไม่เห็นคุณค่าของเรา แต่ถ้าเราเข้มแข็งก็สามารถอยู่ในสังคมได้ ทุกคนก็รักมากกว่าเราอ่อนแอ ไม่ได้รังเกียจ เราก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเองดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากทำอะไรเป็นสิ่งแรกเมื่อกลับมาประเทศไทย น้องธันย์ กล่าวว่าก็อยากพบญาติ ๆ โดยวันที่ 16 มิ.ย.นี้เป็นวันเกิดก็อยากชวนญาติ ๆ มาอยู่ด้วยกันให้พร้อมหน้าพร้อมตา เพราะวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นวันที่คุณย่าเสียทุกคนจะมาพร้อมกันที่วัด แต่ปีนี้ก็ไม่ได้ไป ส่วนเพื่อน ๆ ก็ได้คุยกันทางเฟชบุ้ค และโทรศัพท์
ต่อข้อถามว่า จะฝากคนที่ประสบอุบัติเหตุและท้อแท้อย่างไร น้องธันย์ กล่าวว่า ก็อยากให้กำลังใจว่าชีวิตต้องมองอนาคต ไม่ใช่มองแค่ตรงนี้ อนาคตต้องเดินต่อไป ในเมื่อเรามีชีวิตรอดเราควรทำให้เรามีประโยชน์มากที่สุด ดีกว่าที่เราจะต้องมานั่งเสียใจอยู่ ส่วนคนไทยทุกคนที่เป็นห่วง ก็อยากบอกว่า เกือบหายดีเป็นปกติแล้ว ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงทั้งคนไทยและต่างประเทศที่มาเยี่ยมและซื้อของมาฝาก
น้องธันย์ กล่าวถึงการเดินว่า แพทย์อธิบายเรื่องขาเทียมซี-เลก ให้เข้าใจแล้วตั้งแต่อยู่ที่สิงคโปร์ และดูในยูทูบแล้ว เห็นการเดินแล้วเหมือนคนปกติมาก มันจะมีที่หุ้มเหมือนเนื้อเราจริง ๆ ก็จะไม่ค่อยกังวลมาก มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเองด้วย ไม่ใช่ไปพึ่งแค่ขาอย่างเดียว ถ้าเกิดตัวเองไม่มุ่งมั่นไม่ขยันซ้อม ไปพึ่งแค่ขา เดี๋ยวใส่ขาเทียมแล้วก็เดินได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่พึ่งตัวเองก่อนที่จะไปพึ่งสิ่งที่ช่วยเรา
น้องธันย์ กล่าวด้วยว่า ชอบร้องเพลง อยู่บ้านอ่านหนังสือเครียดก็ร้องเพลง โดยเพลงที่ร้องเป็นเพลงสากล คือ เพลงของไมเคิล แจ๊กสัน มันคลายเครียดดี ร้องแล้วปลอดโปร่ง ส่วนศิลปินไทย ชอบเพื่อนพี่สาวคือ นุ๊กนิ๊ก เอเอฟ 6 ส่วนอาหาร ชอบสุกี้ ขาหมู ส้มตำ เมื่อถามว่า กินขาหมูไม่กลัวอ้วนหรือ น้องธันย์ กล่าวว่า กินเป็นครั้งคราว ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย
เมื่อถามว่าว่าง ๆตอนนอนอยู่ รพ.ที่สิงคโปร์ ทำอะไร น้องธันย์ กล่าวว่า ก็เอ็กเซอร์ไซส์ คุยกับเพื่อนทางเอ็มเอสเอ็น ปกติทุกวันก็เขียนไดอารี่ พิมพ์เข้าเฟชบุ้คว่าวันนี้อะไร แล้วก็ส่งรูปไปให้เพื่อนดู ก็เหมือนได้พบเจอกัน ว่าง ๆ ก็มีครูมาสอนภาษาอังกฤษ ได้ฝึกภาษาอังกฤษ พูดกับพยาบาล ได้ออกไปเที่ยวข้างนอก ส่วนของสะสมชอบหมูเพราะมันน่ารักดี ตอนแรกอ้วนมาก ๆ เพื่อนจะเรียกไอ้หมู ก็แบบว่ามันน่ารักดี ก็เลยชอบอะไรที่เป็นสัญลักษณตัวเองดีกว่า
ต่อข้อถามว่า คิดว่ากำลังใจกับคนป่วยมีส่วนสำคัญแค่ไหน น้องธันย์ กล่าวว่า ก็คิดว่ากำลังใจก็มีส่วนสำคัญพอสมควร แต่แค่กำลังใจจากคนอื่นไม่พอ เราต้องมีกำลังใจให้ตัวเองด้วย ถ้าเราให้กำลังใจตัวเองไม่พอ ได้รับจากคนอื่นมา มันก็แค่เป็นกำลังใจที่ส่งมาให้เรา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดเวลาให้สัมภาษณ์น้องธันย์มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ไม่มีท่าทีเศร้าหมอง ทั้งนี้น้องธันย์ยังได้ร้องเพลงคืนข้ามปี ของเอ็นโดรฟินให้ฟังด้วย.