ครูยุ่นพาเด็กหญิงวัย 13 ปี เข้าแจ้งความถูกปู่และพ่อล่วงละเมิดทางเพศ พร้อมบังคับฉีดยาคุม
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ได้พาตัว ด.ญ.ฝ้าย (นามสมมติ) อายุ 13 ปี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ. เมืองชลบุรี ให้ดำเนินคดีกับ นายเฉลิมพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ผู้เป็นพ่อ ในข้อหากระทำชำเรา น้องฝ้าย ซึ่งเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเอง
สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นาย มนตรี รับแจ้งจากพลเมืองดีคนหนึ่ง ขอให้ช่วยเหลือน้องฝ้ายที่หนีออกจากบ้านมา เพราะถูกบิดากระทำชำเรา นายมนตรีจึงได้ไปรับตัวด.ญ.ฝ้าย ที่อยู่ในอาการซึมเศร้ามาดูแลที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กทันที จนมีสภาพจิตใจดีขึ้นตามลำดับ และยินดีให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทั้งนี้ จากการให้ปากคำของน้องฝ้าย ทราบว่านอกจากจะถูกบิดาแท้ ๆ ล่วงเกินทางเพศแล้ว ก่อนหน้านี้ 2 ปี น้องฝ้ายยังตกเป็นเหยื่อราคะของปู่เธอด้วย โดยในตอนแรกน้องฝ้ายได้รับการเลี้ยงดูจากตาและยายที่บ้านบึง จ.ชลบุรี ต่อมาภายหลังบิดามารดาไปรับมาดูแลเองที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ชลบุรี และเมื่อน้องฝ้ายอายุ 11 ขวบ ปู่ได้มาอาศัยที่บ้านเดียวกัน กระทั่งต้นเดือนพฤศจิกายน 2552 น้องฝ้าย ถูกปู่ล่วงละเมิดทางเพศ ขณะอยู่บ้านด้วยกันตามลำพัง และยังถูกกระทำต่อเนื่องอีก 7 ครั้ง จนบิดามารดาของน้องฝ้ายทราบเรื่อง จึงตัดขาดความสัมพันธ์กับปู่
แต่อีก 2 ปีต่อมาช่วงเดือนเมษายน นายเฉลิมพล บิดาของน้องฝ้ายได้ใช้อุบายหลอกล่วงเกินทางเพศกับลูกในไส้และกระทำชำเราอีก หลายครั้ง โดย น้องฝ้าย เผยว่า "พ่อสอนว่าอวัยวะต่าง ๆ ของเด็กห้ามให้ใครแตะ ยกเว้นพ่อ" ซึ่งหลังจากที่น้องฝ้ายโดนล่วงละเมิดทางเพศแล้ว เธอยังถูกบิดาพยายามจะฉีดยาคุมกำเนิดให้ แต่น้องฝ้ายอ้างว่ายังไม่พร้อม เพราะคิดว่าหากยอมฉีดยาคุมกำเนิด จะต้องโดนล่วงละเมิดทางเพศบ่อยขึ้น และหนักขึ้น เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน
ขณะที่ นายเฉลิมพล ให้การรับสารภาพว่ากระทำชำเราน้องฝ้ายจริง อีกทั้งเคยยอมรับกับมารดาน้องฝ้ายแล้วว่า ได้กระทำการล่วงเกินทางเพศน้องฝ้าย แต่มารดาน้องฝ้ายได้แต่ถามน้องฝ้ายเพียงว่า "เจ็บไหม" แล้วก็ปล่อยเลยตามเลยไม่แก้ปัญหาใด ๆ โดยมารดาน้องฝ้ายเชื่อตามที่นายเฉลิมพลอ้างว่าเป็นการแสดงความรักระหว่างบิดากับบุตรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มารดาของน้องฝ้าย ยืนยันจะร่วมแจ้งความสามีที่ล่วงละเมิดทางเพศบุตรสาวแล้ว ส่วนน้องฝ้าย จะให้อยู่กับทางมูลนิธิฯ ไปก่อน ในช่วงที่ยังมีคดีความอยู่ และเมื่อกระบวนการทางกฎหมายเสร็จสิ้นก็จะให้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ตามเดิม
Credit:
Kapook.com