เหตุการณ์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองของเหล่านาซีเยอรมันนั้นว่าน่าสนใจแล้ว แต่หลังสงครามโลกน่าสนใจกว่า ทหารนาซีระดับสูงจำนวนมากหากไม่ตาย ไม่ถูกจับ ก็จะหนีออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่หนีไปอเมริกาใต้ ทวีปที่บรรดานาซีได้ไปเตรียมการไว้แล้วเพื่อหลบหนีก่อนที่จะแพ้สงคราม
มี ข่าวปรากฏในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า BND หรือองค์กรสืบราชการลับของเยอรมนีไม่ยอมให้ทางการเปิดเผยแฟ้มจำนวนหลายพัน ซึ่งเกี่ยวกับ Adolf Eichmann บุรุษสำคัญของเหตุการณ์ที่เรียกว่า Holocaust (หมายถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เช่น จากไฟไหม้ อย่างไรก็ดี คำนี้ที่ขึ้นต้นด้วยตัว H ใหญ่ได้หมายถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในแคมป์กักกันระหว่างสงครามโลกครั้ง ที่สองไปแล้ว)
ภาพ เมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถูกปกปิดเป็นความลับมานานกว่า 40 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ต่อต้านชาวฝรั่งเศสถูกทหารนาซีเยอรมันผูกผ้าปิดตาแล้ว จับมัดกับเสา ก่อนที่กลุ่มทหารนาซีกว่า 60 คน จะระดมยิงเป้าจนเสียชีวิต
Eichmann เกิดใน ค.ศ.1906 เรียนไม่จบมัธยมปลาย จึงเข้าเรียนจะเป็นช่างรถยนต์แต่ก็ไม่จบอีก ต่อมาได้ดีเพราะเป็นสมาชิกกลุ่มฝ่ายขวาของฮิตเลอร์ตอนเป็นวัยรุ่น เขาได้เป็นทหารเหล่า SS (Schutzstaffel) หน่วยพิเศษที่จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างยิ่ง ก้าวหน้าได้ยศสูงขึ้นเป็นพันตรี และรับผิดชอบเรื่องสำคัญคือการขนส่งยิวจากทุกแห่งหน เข้าค่ายกักกันยิวที่กระจายอยู่หลายแห่ง
จุดประสงค์ของการขนส่งไปค่ายกักกันก็คือ ขั้นแรกฆ่าเด็ก ผู้สูงอายุ ป่วยเจ็บ อ่อนแอ ฯลฯ อย่างเป็นกอบเป็นกำด้วยการให้สูดดมก๊าซ
และขั้นที่สองคือกักขังพวกที่เหลือไว้ใช้แรงงาน ยิวทั้งหมดที่ถูกฆ่าตายไปใน Holocaust มีประมาณ 6 ล้านคน
ว่ากันว่าเป็นฝีมือของ Eichmann โดยตรงหลายล้านคน
เมื่อ เยอรมันแพ้สงครามในปี 1945 เขาก็พยายามหนีออกนอกประเทศ และก็ทำได้สำเร็จด้วยการเปลี่ยนชื่อ ได้พาสปอร์ตลี้ภัยของสหประชาชาติ เนื่องจากฝ่ายอเมริกาไม่รู้จักเขา เมื่อออกนอกประเทศได้ก็ไปพำนักอยู่ในอาร์เจนตินาอย่างมีความสุขกับครอบครัว ภายใต้ชื่อใหม่จนถึงปี 1960 ฟ้าก็ถล่มลงมา
วันหนึ่งขณะที่ลงจากรถ เมล์จะเดินกลับบ้านก็ถูกสมาชิกของ Mossad หรือหน่วยราชการลับของอิสราเอล 2 คน จับตัวขึ้นรถไปยังเซฟต์เฮ้าส์และให้เลือกเอาว่าจะโดนฆ่าทันทีหรือไปขึ้นศาล (ป่วยการถาม ใครจะโง่อยากตายทันทีเล่า) เขายินยอมไปขึ้นศาลในประเทศอิสราเอล
เขา ถูกลักลอบนำตัวออกนอกประเทศ โดยทางการอาร์เจนตินาไม่ระแคะระคายเลยและถูกนำขึ้นศาลอย่างถูกต้องกระบวนการ (โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นการจับมาจากนอกประเทศอย่างผิดกฎหมาย) ถูกตัดสินว่าทำผิดทั้ง 15 ข้อหา
โดย ศาลขั้นต้นและศาลสูงสุดตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิต เมื่อถูกแขวนคอแล้วศพของเขาก็ถูกเผาในเตาที่ร้อนอย่างยิ่ง (สัญลักษณ์ที่ยิวในอุ้งมือเขาถูกแผดเผา) และเอาเถ้าถ่านไปโรยในทะเลเพื่อไม่ให้เขามีหลุมฝังศพได้ และไม่ให้ใครมีโอกาสทำพิธีระลึกถึงเขาได้อีก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ศพหรือเถ้าถ่านของเขาถูกใช้โดยกลุ่มนาซีใหม่หรือพวกชื่นชมตัวเขาในภาย หลังสามารถใช้เป็นจุดกระตุ้นหาพวก (คล้ายกับกรณีของ Osama Bin Laden แหละครับ)
นี่คือเหตุการณ์หน้าฉากที่ถูกบันทึกไว้
สิ่ง ที่อยู่เบื้องหลังที่แคะออกมาได้จากการเปิดเผยแฟ้มส่วนหนึ่งก็คือไม่มีใคร ต้องการจับตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนีตะวันตกหรือสหรัฐอเมริกา ยกเว้นอิสราเอล ซึ่งหากไม่มีพวกนี้ เขาก็จะรอดตัวไปเพราะอายุความของคดีอาญาคือ 20 ปี (เหล่านาซีทั้งหลายต่างคอยให้มาถึงเร็วๆ) มิไยที่ผู้คนเรียกร้องให้ขยายเวลาออกไปอีก แต่ทางการเยอรมนีก็ไม่สนใจ
ตราบ จนเมื่อปี 1978 โทรทัศน์อเมริกันผลิตภาพยนตร์เรื่อง Holocaust ออกมาฉายจึงกระตุ้นความสนใจของคนทั่วโลก โดยเฉพาะเยาวชนเยอรมันได้ออกมาต่อสู้ให้ขยายเวลาของคดีอาญา
จากแฟ้ม ที่พอมีพบว่า BND และ CIA รู้ว่า Eichmann หลบหนีอยู่ในอาร์เจนตินา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ทั้งนี้ เนื่องจากกลัวการแฉของเขา
สิ่ง ที่หวาดหวั่นก็คือ อเมริกาได้ใช้ทหารนาซีจากสงครามจำนวนไม่น้อยทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับ Holocaust เป็นจารชนสู้กับคอมมิวนิสต์
ประธานาธิบดีKonrad Adenauer
Hans Globke
ที่ปรึกษาใหญ่ด้านความมั่นคงของประธานาธิบดี Konrad Adenauer
ส่วน เยอรมนีตะวันตกกลัวว่าเขาจะพาดพิงถึงที่ปรึกษาใหญ่ด้านความมั่นคงของ ประธานาธิบดี Konrad Adenauer ชื่อนาย Hans Globke และพาดพิงถึงนาย Reinhard Gehlen เอเย่นต์หาสปายจากทหารนาซีให้ CIA
สาเหตุ อีกประการที่ทางการเยอรมนีในปัจจุบันปฏิเสธการเปิดเผยแฟ้มของ Eichmann ก็คือ ไม่อยากทำลายภาพของการเข้าใจว่าพวกนาซีกระทำการชั่วร้ายลงไปเพราะถูกนายสั่ง มิได้ก่อกรรมทำชั่วหนักหนา เพียงแต่กระทำตามคำสั่งของนายเท่านั้น
นอกจากนี้ ไม่อยากให้มีการรื้อฟื้นความหลังอันเจ็บปวดของประเทศขึ้นมา เพราะจะยิ่งทำให้คนเยอรมันเสียหายยิ่งขึ้น
(คน เยอรมันได้ยินเรื่อง Holocaust ระหว่างสงครามอยู่เหมือนกัน แต่ทุกคนเงียบหมดไม่ต่อต้านหรือเปิดโปง ดังนั้น จึงเท่ากับว่าคนเยอรมันรู้เห็นเป็นใจด้วยกับการฆ่าหมู่ครั้งนี้)
นักเขียนหลายคนพยายามวิเคราะห์ว่า Eichmann มีจิตใจที่ผิดปกติหรือไม่จึงสามารถปฏิบัติกรรมชั่วร่วมกับคนอื่นๆ ได้กว้างขวางเช่นนี้
คำ ตอบของบางคนก็คือเขามีจิตที่ปกติมาก เขาเชื่อในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวอย่างไม่หวั่นไหว อย่างไม่ได้เกลียดชังหรือมีอารมณ์ เพียงแต่ชาชินกับความชั่วร้ายจนเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา
มีนักวิชาการชื่อ Hannah Arendt ให้ชื่อกับลักษณะนี้ว่า "ความเป็นธรรมดาของความชั่วร้าย" (Banality of Evil)
นัก วิชาการคนอื่นเห็นว่าหากมนุษย์คนอื่นที่อยากก้าวหน้าในงาน อยู่ในลักษณะเดียวกับ Eichmann แล้ว จะไม่แปลกใจเลยถ้าคนคนนั้นกระทำเหมือนกับที่ Eichmann ได้ทำไป
อย่าง ไรก็ดี นักวิชาการอีกส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยว่าทุกคนจะกระทำชั่วเช่นนั้นได้ ถึงแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกับ Eichmann ก็ตาม เพราะยังมีสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมจรรยา ความเป็นตัวของตัวเอง ฯลฯ อยู่ในตัวคนในปริมาณที่แตกต่างกัน
ในเวลาต่อไปข้างหน้า เราจะเห็นการเปิดเผยของแฟ้มรวมกันกว่า 4,000 หน้า ที่ฉายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามใหม่ๆ
และจะเห็นว่าเบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้นมีเรื่องที่แอบซ่อนปิดบังไว้และบิดเบือนประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงใด
เครื่องเคียงอาหารสมอง :
Oxymoron หมายถึงคำหรือข้อความซึ่งขัดแย้งกันในทีแต่ก็มีความหมาย เช่น jumbo shrimp (กุ้งตัวเล็กแต่ก็ jumbo ได้) หรือ I am deeply superficial (ผมเป็นคนตื้นๆ อย่างลึกซึ้ง) หรือ Free love is too expensive หรือ The more things change, the more they remain the same หรือ To lead the people, walk behind them หรือ Less is more
Oxymoron มักเป็นข้อความที่แฝงด้วยไหวพริบและบ่อยครั้งที่อยู่บนการประชดประชัน เช่น If you wish to live, you must first attend your own funeral (ถ้าต้องการมีชีวิตอยู่ ก็ต้องไปงานศพของตัวเองก่อน ซึ่งหมายถึงการพิจารณาเข้าใจความตายดังคำพระที่ว่า "จงตายก่อนที่จะอยู่")
"เขาเลวเกือบทุกอย่าง อย่างเดียวที่ดีคือเป็นตัวอย่างของความเลว"
แต่ที่ฮาดีก็คือ I knew her before she was a virgin (ผมรู้จักเธอก่อนที่จะเป็นสาวพรหมจรรย์)
ถ้าจะเอาไปเขียนบนเสื้อยืดหญิงให้ฮาก็ต้องเขียนว่า One day, I will be a virgin (สักวันหนึ่งฉันจะเป็นสาวพรหมจรรย์)
น้ำจิ้มอาหารสมอง :
If you don"t risk anything, you risk even more.
(Erica Jong นักเขียนอเมริกัน 1973-ปัจจุบัน)
ถ้าคุณไม่ยอมเสี่ยงเลย คุณจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น