ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างโรงพยาบาลมนารมย์ และวิชาการดอทคอม
http://www.manarom.com/
ปัจจุบันสุขภาพจิตของคนไทยวัยทำงานมีระดับความเครียดสูงมาก โดยมีปัจจัยพื้นฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจการแข่งขันที่สูงในเรื่องการทำงาน ทำให้เกิดความกดดันในการดำเนินชีวิตสูงมาก จำเป็นที่ทุกคนควรรู้จักวิธีรับมือกับความเครียด เพราะถ้าไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้อย่างเหมาะสมแล้ว โอกาสเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้อีกมาก โดยเฉพาะคนทำงาน หากมีความกดดันกับการทำงาน ต้องทำงานแข่งกับเวลา อาจเกิดเครียดได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตนเองและคนรอบข้างได้
การดูแลสุขภาพจิตจึงกลายเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่องค์กรต้องมีหลายครั้งกลับถูก มองข้าม นพ. ไกรสิทธิ์ นฤขัติพิชัย กรรมการผู้จัดการและจิตแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์ เล่าถึงสถานการณ์ว่า ตอนนี้พนักงานในองค์กรมีความเครียดสูง ทำให้เกิดปัญหาต่อคุณภาพงานและผลประกอบการ เพราะโดยทั่วไปแล้วความเครียดสามารถส่งผลต่อการเจ็บป่วยทางกายได้ทุกระบบ และมีผลแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เพราะจุดอ่อนในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
"..พยายามลดแรงกดดันที่ไม่จำเป็นออกให้เหลือน้อยที่สุด การลดแรงกดดันสามารถทำได้หลายทาง ได้แก่ การปรับลดเป้าหมายความคาดหวังต่างๆ ในชีวิตหรือในงานลง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพราะการตั้งเป้าหมายสูงเกินไปไม่เหมาะกับ สถานการณ์จะเป็นตัวสร้างแรงกดดันเกินจำเป็น.."
การรับมือกับความเครียดสามารถทำได้ คือ ข้อแรกพยายามลดแรงกดดันที่ไม่จำเป็นออก ให้เหลือน้อยที่สุด การลดแรงกดดันสามารถทำได้หลายทาง ได้แก่ การปรับลดเป้าหมาย ความคาดหวังต่างๆ ในชีวิตหรือในงานลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพราะการตั้งเป้าหมายสูงเกินไปไม่เหมาะกับสถานการณ์ จะเป็นตัวสร้างแรงกดดันเกินจำเป็น
ข้อต่อมาพยายามเพิ่มความสามารถของตนเองในการรับมือกับแรงกดดัน โดยการจัดการกับความเครียด ไม่ให้สะสมอยู่ในตัวเรา เพราะถ้าความเครียดสะสมมากๆ เมื่อเจอกับความขัดแย้ง โอกาสที่จะถึงจุดเดือดระเบิดอารมณ์ก็เป็นไปได้ง่าย ถ้าจะเปรียบเทียบสุขภาพใจกับสุขภาพกาย ด้านร่างกายเราต้องอาบน้ำชำระร่างกายทุกวัน เพื่อมิให้ความสกปรก เหงื่อไคลสะสมก่อให้เกิดโรคผิวหนังหรือโรคติดเชื้อตามมา ด้านจิตใจก็เช่นกัน ในวันหนึ่งๆ ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจนหัวถึงหมอน เราจะต้องประสบพบกับเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมากมาย
การเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเครียด นอกจากทำโดยการฝึกผ่อนคลายแล้ว ยังมีวิธีอื่นเพิ่มเติมอีก ได้แก่ การ ฝึกทำอะไรให้ช้าลง เพราะปัจจุบันชีิวิตประจำวันของเราเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ทำให้เรื่องของสมาธิและสติในชีวิตประจำวันของเราจะน้อยไป คนที่มีสมาธิและสติที่ดีจะมีโอกาสรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ทำให้การควบคุมอารมณ์ทำได้ดีขึ้น ปัญหาในชีวิตที่เกิดจากการขาดสติ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็จะลดน้อยลง การใช้วิธีนับ 1 ถึง 10 หรือการออกจากสถานที่ที่ทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวก็ยังเป็นวิธีการที่ดี ที่จะช่วยลดโอกาสเกิดการระเบิดอารมณ์ได้
อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ก็คือ การหาความรู้เพิ่มเติมด้านจิตวิทยาและศาสนา เพื่อเพิ่มมุมมองชีวิตมุมมองปัญหาได้กว้างขึ้น เมื่อชีิวิตจะต้องประสบกับปัญหาก็สามารถมองเห็นทางเลือกสำหรับทางออกได้มาก ขึ้นกว่าเดิม โอกาสจะรู้สึกว่าเกิดทางตัน ท้อแท้หรือโกรธแค้นจะน้อยลง ความสามารถคิดหรือมองโลกแง่บวกและการให้อภัยทำได้ดีมากขึ้น
แม้การดูแลความเครียดจากการทำงานอาจทำยากในระยะแรก แต่ถ้าลองเริ่มต้นแล้วทำอย่างต่อเนื่องย่อมเป็นเรื่องดีต่อตัวเองและคนรอบข้าง