นี้คือ 10 แฟชั่นที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว หากแต่กระนั้นมันก็ได้เสื่อมความนิยมในระยะรวดเร็ว กลายเป็นว่าปัจจุบันคนที่มองแฟชั่นเหล่านี้นี้กลายเป็นแฟชั่นที่เลวร้ายและ หลายคนอยากจะลืมมันด้วยซ้ำ
10.Saggy Pants
กางเกงเอวต่ำหรือกางเกงหลุดพ้นบั้นเอวเป็นการใส่กางเกง(กางเกงทรงหลวม, กางเกงขาสั้น, กางเกงขายาว, กางเกงยีนส์) เพื่อให้เห็นบางส่วนหรือแทบทั้งหมดของกางเกงใน(ถ้าเป็นผู้หญิงจะใส่กางเกง เพื่อให้เห็นถึงกางเกงในจี-สตริง) ที่มาของแฟชั่นการใส่กางเกงหลุดพ้นบั้น เอวที่คาดว่ามาจากในคุกที่ไม่อนุญาตให้ใส่เข็มขัด จนเมื่อพวกเขาเหล่านั้นออกมาจากคุก ก็ยังคงไม่ใส่เข็มขัด จนกระทั้งในต้นทศวรรษ 1990 ศิลปินฮิปฮอปและศิลปินแร็ปได้นำวิธีนี้มาทำให้เกิดความนิยมเรื่อยมา แต่กระนั้นก็ก่อให้เกิดผลกระทบทางวัฒนธรรมเหมือนกัน คือการแต่งกายไม่เหมาะสมว่าด้วยว่าด้วยการกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล โดยห้ามการใส่กางเกงที่เปิดเผยโดยเจตนาให้เห็นกางเกงใน และมีบางรัฐอเมริกา ห้ามใส่กางเกงเอวต่ำเพราะอุจาดตา อย่างไรก็ตามปัจจุบันเราก็ยังเห็นใครบางคนใส่กางเกงในชนิดนี้อยู่
9. Sea-Monkeys
ลิงทะเล หรือบ้านเราเรียกชุดเลี้ยงมังกรทะเลสำเร็จรูป(ของเลียนแบบจากจีน)เคยออกวาง ตลาดครั้งแรกในปี 1957 ภายใต้แนวคิดของ Braunhut Harold von ฮิตเมื่อปี 1960 ในอเมริกา แคนาดา และอังกฤษ โดยเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขายเป็นแพ็คเก็ต(และมักขายพร้อมตู้ พลาสติกรวมถึงเครื่องกรองน้ำและอาหาร) โดยขายภายใต้ชื่อ "The Amazing Live Sea-Monkeys Ocean-Zoo". โดยสิ่งมีชีวิตที่ว่าก็คือกุ้งน้ำเค็มชนิดหนึ่งนั้นเอง(Brine shrimp) โดยในแพ็คเก็ตจะมีไข่(แห้ง)และผงชนิดต่างๆ สำหรับเลี้ยงสิ่งมีชีวิตดังกล่าว โดยขั้นตอนการเลี้ยงนั้นระบุเป็นข้อมูลให้ทำตารมที่ละขั้นตอน โดยเริ่มแรกจะต้องมีตู้ปลาที่สะอาดห้ามีสารเคมีใดๆ เจือบน และใช้ผงปรับสภาพน้ำที่แถมมาให้น้ำเค็มเหมือนทะเล จากนั้นก็เทไข่ลิงทะลในซองลงไปในน้พและทิ้งไว้ 48 ซม. มันก็ฟักออกเป็นตัว และให้อาหารที่แถมมาจากแพ็คเก็ต ซึ่งมันมีชีวิตอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง(แพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว) และด้วยการโฆษณาว่าเป็นสัตว์พันธุ์ใหม่และไม่เหมือนใครทำให้ลิงทะเลฮิตอย่าง รวดเร็ว ปัจจุบันเราสามารถสั่งซื้อสินค้าเหล่านี้ได้ทางอินเตอร์เน็ต
8. Tamagotchi
ทามาก็อตหรือสัตว์เลี้ยงดิจิตอต เป็นฮาร์ดแวร์รูปเหมือนไข่และหน้าจอเหมือนเกมกด จัดจำหน่ายโดย บันได บริษัทของวเล่นในประเทศญี่ปุ่น ในปี 1996 คนต้นคิดคือ มากิ มาอิตะโดยมีแรงบันดาลใจมาจากความฝันจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนแก้เหงา แต่สภาพสังคมที่ไม่เอื้อต่อการมีสัตว์เลี้ยงในญี่ปุ่น จึงเป็นที่มาของการ ให้กำเนิดสัตว์เลี้ยงเสมือนจริงที่ผู้เลี้ยงต้องเอาใจใส่ดูแลเช่นเดียวกับ สัตว์เลี้ยงที่มีชีวิต หากปล่อยปะละเลยก็จะทำให้สัตว์เลี้ยงป่วยและตายในที่สุด จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการในวงการธุรกิจของเล่นลักษณะนี้เรื่อยมา โดยเกมมีเนื้อหาเกี่ยวกับเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงดิจิดอต ที่มีรูปร่างน่ารักน่าชัง โดยมีปุ่มต่างๆ (ปกติมี 3 ปุ่ม คือปุ่มเลือก ปุ่มตอบตกลง ปุ่มยกเลิก) เพื่อใช้คำสั่งเกี่ยวกับการดูแลสัตว์เลี้ยงในหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหาร การสื่อสาร การทำความสะอาด ฯลฯ และเมื่อเลี้ยงระยะหนึ่งมันสามารถวิวัฒนาการ(หรือเติบโต)กลายเป็นตัวใหม่ที่ น่ารักยิ่งกว่าเก่าได้ ด้วยระบบดังกล่าว ส่งผลทำให้ทามาก็อตฮิตมากในวัยรุ่นญี่ปุ่น(เอาติดกระเป๋านักเรียน หรือพวงกุญแจ) ด้วยเหตุนี้ทำให้มีทามาก็อตหลายรุ่น หลายแบบ และพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ถึงขั้นสื่อต่างๆ ต่างเอาทามาก็อตมาเป็นกระแสทุกที่ แต่กระนั้นอย่างไรทามาก็อตก็เคยเป็นประเด็นเกี่ยวกับการไปเล่นในโรงเรียน และก็ไม่ถึงปีทามาก็อตก็หมดลมหายใจ และหมดความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ทางบันไดจะพยายามต่อลมหายใจทามาก็อต ถึงขั้นลดราคา แต่กลับไม่มีคนสนใจ และเจ้าทามาก็อตก็กลายเป็นแฟชั่นที่ถูกลืมในที่สุด
7.Mood Rings
แหวนวัดอารมณ์เป็นแหวนที่ผลึกสีจะทำหน้าที่เหมือนเทอร์โมโครมิกเปลี่ยนสี ตามอุณหภูมิร่างกายถ้าแหวนเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินก็คือมีความสุขมาก สีเขียวมีความสุขปกติ สีม่วงมีความสุขน้อย แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีดำนั่นหมายความว่า กำลังเครียดไม่มีความสุข ซึ่งตอนแรกแหวนดังกล่าวฮิตมากเนื่องจากเป็นที่นิยมของวัยรุ่นที่เป็นคู่รัก สามารตอบสอบอารมณ์ของแต่ละฝ่ายได้ และได้รับความนิยมกลายเป็นแฟชั่นในปี 1970 หากแต่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 70 แหวนดังกล่าวก็หายไปจากท้องตลาดและกลายเป็นเรื่องตลกไปเพราะอุณหภูมิร่างกาย ของมนุษย์ไม่สามารถเจาะบอกอารมณ์ลงอย่างแม่นยำได้เสมอไป
6. Cabbage Patch Kids
ตุ๊กตากะหล่ำปลีเป็นตุ๊กตาผ้าที่สร้างขึ้นในปี 1978 โดยซาเวียร์ โรเบิร์ต และขายตามท้องตลาดในปี 1982 เป็นแฟชั่นที่ครั้งหนึ่งได้ถูกจารึกว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในทศวรรษที่ 1980 ฮิตถึงขั้นผู้ปกครองต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตุ๊กตาดังกล่าวเพื่อเป็นของขวัญ วันคริสต์มาสให้เด็กจนเกิดจลาจลมาแล้ว โดยสิ่งที่ตุ๊กตามีรูปร่างหัวเหมือนกะหล่ำปลีไม่เหมือนใครนี้ก็คือมันลูก เล่นมากมาย แต่ลูกเล่นที่หลายคนจดจำสามารถกินอาหาร(ขนมพลาสติก)ที่ป้อนปากได้ โดยกลไกของปากตุ๊กตาขยับเหมือนกินขนม หากแต่อนิจจาแม้ว่าของเล่นดังกล่าวจะมีสร้างรายได้ 600,000,000 ดอลลาร์ ในการขายในปี 1985 หากแต่ต่อมาก็เสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็วเมื่อเด็กเด็กบางคนเอาอาหารของจริง ให้มันกิน (ถ้าจำไม่ผิดของกินดังกล่าวไม่สามารถเอาออกได้ด้วย) เมื่ออาหารเกิดบูดเน่าตุ๊กตาจะเหม็นเน่าทันที ล นอกจากนั้นยังมีรายงานว่าเด็กถูกตุ๊กตากัดระหว่างที่นิ้วหรือเส้นผมในขณะที่ ให้อาหารตุ๊กตาอีก จนทำให้ตุ๊กตาดังกล่าวเสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็ว และไม่มีใครอยากนึกถึงจนถึงปัจจุบัน
5.Lava Lamps
โคมไฟลาวา เป็นโคมไฟที่ใช้ตกแต่งมากกว่าใช้ส่องสว่าง(นอกจากนั้นยังช่วยเสริมดวง) ถูกค้นค้นในปี 1960 โดยสิ่งที่แปลกของโคมไฟนี้คือภายในประกอบด้วยขี้ผึ้งเหลว(มีหลายสีหลายแบบ) ตัวฐานบรรจุหลอดไฟ ให้แสงสว่างและพลังงานความร้อนทำให้ของเหลวเกิดการเคลื่อนที่คล้ายลาวา นิยมมากในยุค 60 หากแต่ใช้เพิ่มบรรยากาศให้แปลกใหม่เท่านั้น นอกจากนี้ในปี 2004 ยังมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการเอาโคมไฟลาวาไปตั้งห้องครัว ความร้อนจากเต่าทำให้โคมไฟระเบิดและชิ้นส่วนของแก้วโคมไปโดนคนเข้าทำให้เสีย ชีวิตทันที(และยังมีรายงานผ็ได้รับบาดเจ็บจากเหตุโคมไฟนี้ระเบิดหลายราย) จนเป็นเหตุทำให้โคมไฟเสื่อมความนิยมลง
4. Black Light
ในทศตวรรษที่ 1960 ไฟแบลคไลท์หรือไฟเรืองแสงมักนิยมนำมาใช้ประดับหรือสร้างบรรยากาศใน ไนท์คลับ นอกจากนี้ก็มีหลายคนทาสีตัวเองด้วยสีเรืองแสงให้ตัวเรืองแสงภายใต้ความมืด สลัวในไนต์คลับ แบะเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงยุค 80 สารเรืองแสงก็เริ่มมีการนำมาใช้เป็นแฟชั่นอย่างหากหลาย ไม่ว่ายุคของพังค์ที่ใช้สารเรืองแสงกับทรงผม แต่กระนั้นปัจจุบันมีการพบว่าสารเรืองแสงดังกล่าวมีผลทำให้เกิดต้อกระจกและ โรคมะเร็งทางผิวหนัง(แล้วแต่สารบางชนิดและขึ้นอยู่ปัจจัยต่างๆ ร่วมด้วย)ทำให้สารเรืองแสงทาตัวหมดความนิยมลง แต่กระนั้นปัจจุบันสารเรืองแสงยังเป็นที่นิยมใช้ในงานบันเทิง งานคอนเสิร์ตทั่วไปอยู่
3. Smiley Buttons
ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ได้รับความนิยมในช่วงต้นปี 1970 โดยสองพี่น้อง เมอร์เรย์ และ เบอร์นาร์ด สเปน ที่ออกแบบปุ่มสัญลักษณ์เป็นสินค้าใหม่ โดยปุ่มดังกล่าวมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นในแก้วกาแฟ เสื้อยืด สติ๊กเกอร์กันชน ฯลฯ แต่ที่นิยมก็คือเข็มกลัดปัจจุบันใบหน้าเปื้อนยิ้มได้กลายเป็นอีโมติคอนใน คอมพิวเตอร์ที่มีความหมายว่า “วันนี้มีความสุข” ที่เป็นอีโมที่เราพบเห็นได้บ่อยในอินเตอร์เน็ต
2.Pet Rock
หินสัตว์เลี้ยง เป็นแฟชั่นที่เกิดขึ้นในโลสกาตอส, แคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1970 โดยแกรี่ ดาห์ล ซึ่งได้คิดสินค้าตัวหนึ่งที่โครตไม่ลงทุนคือเอาหินธรรมดาหนึ่งก้อน(รุ่นหลัง มีติดตา)และโฆษณาว่าเพ็ทร็อค ตัวแทนจำหน่ายสัตว์เลี้ยงชนิดใหม่ โดยแนวคิดดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อเขาได้ฟังเพื่อนบ่นเรื่องสัตว์เลี้ยงของตน เขาเลยแนวคิดว่าหากเป็นสัตว์เลี้ยงสมบูรณ์แบบ คือไม่เห่า ไม่ส่งเสียง ไม่ต้องให้อาหาร ไม่ขับถ่าย ไม่ตาย ไม่วิ่งหนีไปไหน ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ป่วย ไม่ทำเห้-อะไรเลย(อุ๊ย!!ขอโทษแอบหยาบคาย งุงิแบ๊วแบ๊ว) ผลก็คือนี้เลยเป็นสัตว์เลี้ยงก้อนหินดังกล่าว(ประชดซะเลย??) โดยตอนจำหน่ายครั้งแรกราคาประมาณ 4.99 (ร้อยกว่าบาท) มาในกล่องกระดาษแข็ง(ที่มีรูหายใจของสัตว์) พร้อมคู่มือว่า เลี้ยงง่ายสุดๆ แค่วางมันไว้เฉยๆ คุณก็เลี้ยงมันได้แล้ว(อาจมีคำแนะนำสอนวิธีให้คุณเล่นกับมัน สอนมันนั่งเฉยๆ พามันไปอาบแดด และพามันไปอาบน้ำ) ในกล่องจะมีหินติดตาหนึ่งก้อน มีฟางไว้เพื่อเป็นที่นอน ในรุ่นหลังๆยังมีสายจูงเพื่อพามันไปเดินเล่นอีกด้วย และเริ่มมีหลายขนาด และแฟชั่นดังกล่าวสิ้นสุดเพียง 6 วันแต่มันก็เพียงพอที่ทำให้แกรี่ ดาห์ลเป็นเศรษฐีในทันที ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงดังกล่าวกลับมาอีกครั้งในรูปแบบมีสาย USB ตามสมัยนิยม เพื่อเสียบกับ com มาด้วย ถึงเสียบแล้วจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็เถอะ(ปัจจุบันมีขายในอีเบย์)
1.Baby on Board
แผ่นจุ๊บติดกระจก หรือแผ่นเด็กอ่อน(แล้วแต่จะเรียกเถอะผมก็นิยามมันไม่ออก) เป็นป้ายสำหรับ แขวนที่กระจกด้านหลังหรือด้านข้างบนรถ เพื่อให้รถคนอื่นเห็นว่ามีเด็กอ่อนอยู่ในรถ หรือจะมีข้อความนอกเหนือจากนี้ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการขับขี่ปลอดภัย ออกวางตลาดครั้งแรกในเดือนกันยายนปี 1984 โดยบริษัทความปลอดภัยที่ 1 (Safety 1st Corporation) ก่อนที่จะแพร่หลายเป็นแฟชั่นเฟื่องฟู 1985 และเสื่อมลงอย่างรวดเร็วในปี 1986 ตัวป้ายมีขนาด 6 นิ้วx6นิ้ว(มาตรฐานห้านิ้ว) ทำจากผ้าและนำมาสกรีนลาย ไม่ต้องห่วงเรื่องการกรอบของป้าย เพราะข้างในใส่ใยสังเคราะห์ไว้ ปัจจุบันป้ายดังกล่าวมีหลากหลายในข้อความและมีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไป เช่นไฟกะพริบเป็นต้น(ปล. รถของพ่อผมติดป้ายนี้ด้วยนะ)
0.MySpace
มาย สเปซ คือเว็บสังคมออนไลน์ที่คล้ายกับ hi5 facebook MySpace ก่อตั้งในปี 2002 โดยกลุ่มวัยรุ่นโนเนมใช้กลยุทธ์ด้านดนตรีเป็นจุด ขาย สนับสนุนให้วงดนตรีอินดี้สร้างหน้าประวัติของวงบน เพื่อพูดคุยกับแฟนๆ และพัฒนาระบบให้ผู้ใช้เข้ามาฟังเพลงออกใหม่ผ่านอินเทอร์เน็ต ในประเทศไทย เราเว็บดังกล่าวไม่นิยมมากนัก แต่ในต่างประเทศโดยเฉพาะในอเมริกาได้รับความนิยมมากในปี 2006,2008 โดยมี 200 ล้านสมาชิกที่เป็นเหล่าวัยรุ่นอเมริกันอีกทั้งเว็บดังกล่าวยังกลายเป็น ธุรกิจไฮเทคที่ทำเงินอย่างมหาศาล หากแต่เมื่อมีการเข้ามาของ facebook เว็บดังกล่าวก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง จนถึงขั้นใกล้ล้มละลาย ทางผ้บริหารมาย สเปซพยายามเปลี่ยนกลยุทธในการเรียกศรัทธาเก่าๆ กลับมา
เครดิต:CAMMY
เนื้อหาบทความจาก Top 10 Worst Fads มีการเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนเนื้อหา
http://listverse.com/2007/11/11/top-10-worst-fads/
http://www.ecommerce-magazine.com/index.php?option=com_content&task=view&id=3312&Itemid=48
(เพิ่มเติมจากเว็บวิกิพีเดียอังกฤษ)