ปริศนา ?หมอกฤษฏ์? กับ ?บริเฉท 7 ดารา?

“หมอกฤษฏ์” ศุภกฤษฎ์ ปทุมศรีวิโรจน์ ได้ชื่อว่าเป็นหมอดูลึกลับคนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว แม้กระทั่งชื่อวัดที่ไปบวชเรียนจนได้ศึกษาวิชาบริเฉท 7 ดารา เจ้าตัวก็ยังเก็บเป็นปริศนา บอกแค่ว่า เป็นวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ส่วนชื่อ “หลวงปู่” ผู้เป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาก็ยังเก็บงำเป็นความลับเช่นกัน
       
       ประกอบกับตำราบริเฉท 7 ดาราที่หมอกฤษฏ์อ้างว่า ได้รับการถ่ายทอดมาจาก หลวงปู่ท่านหนึ่งที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งหลวงปู่ท่านนี้ได้สืบทอดวิชามาจาก “หมอหน้าบาก” ลูกศิษย์ของ "พระครูวินัยธรรม(อินทร์ ปัญฺญาทีโป)" หรือที่ชาวบ้านขนานนามว่า "พระครูอินทร์เทวดา" โหรระดับปรมาจารย์แห่งเมืองราชบุรี ก็ไม่เป็นที่รู้จักในวงการ
       
       "อาจารย์พัฒนา พัฒนศิริ" หมอดูผู้คร่ำหวอดในวงการโหราศาสตร์มากว่า 34 ปี ,"อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ" นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และประธานสภาโหราจารย์ และคลุกคลีอยู่กับวงการโหราศาสตร์มากว่า 50 ปี แม้แต่ “หลวงพ่อสุธน” เจ้าอาวาสวัดสุรชายาราม(วัดหลุมดิน) ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการดูดวงมาจาก “พระครูเขมานันทมุนี” หรือ “หลวงปู่พรหม” แห่งวัดสัตตนารถปริวัตร ราชบุรี ซึ่งหลวงปู่พรหมท่านนี้เป็นพระหมอดูชื่อดังของราชบุรี และเป็นที่รู้จักกันดีว่า ได้รับการถ่ายทอดวิชาดูดวงจาก “พระครูอินทร์เทวดา” มาโดยตรง ต่างไม่เคยได้ยินชื่อตำรา “บริเฉท 7 ดารา” (ดังที่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวไว้แล้วใน ปริศนา “หมอกฤษฏ์” กับ “บริเฉท 7 ดารา” ตอน “ตำราเทวดา หรือ แค่ตำนานขี้โม้”)
       
       การทำตัวลึกลับปกปิดข้อมูลของหมอกฤษฏ์ กับคำสัมภาษณ์ของปรมาจารย์ด้านโหราศาสตร์ทั้งสาม ทำให้หลายๆ คนสงสัยว่า แท้จริงแล้วเจ้าตัวไปบวช และได้เรียนวิชาที่ว่านี้จากวัดไหนในจังหวัดราชบุรี แล้วหลวงปู่ปริศนาที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นอาจารย์คือใคร และท้ายที่สุดแล้วตำราที่หมอกฤษฏ์ไปร่ำเรียนมา...ใช่ตำราของพระครูอินทร์เทวดาจริงหรือไม่ จึงเป็นที่มาให้ ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ ต้องพลิกแผ่นดินตามหาอาจารย์ของหมอกฤษฏ์เพื่อหาคำตอบดังกล่าว
       
       ถ้าย้อนไปอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆ จะพบว่า หมอกฤษฏ์อธิบายถึงประวัติของตัวเองค่อนข้างคลุมเครือเหมือนกันหมด นั่นก็คือไม่บอกชื่อวัดที่ตนเองไปบวชจนได้วิชาบริเฉท 7 ดารา ไม่บอกชื่อหลวงปู่ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ และบางครั้งยังให้ข้อมูลประวัติส่วนตัวแตกต่างกันออกไป
       
       นิตยสาร WHO ฉบับวันที่ 23 /12/51 ได้ลงตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของหมอกฤษฏ์ว่า ในช่วงที่เขาอายุ 17 ปีได้ไปบวชเณรและได้เจอกับ “หลวงปู่รูปหนึ่ง” ซึ่งเป็นพระลูกวัดสัตตนารถปริวัตร และหลวงปู่ท่านนี้ก็ได้ถ่ายทอดวิชาบริเฉท 7 ดาราให้ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็มรณภาพลงในปีพ.ศ.2548
       
       แต่ในหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คของตัวเองที่ชื่อ "กฤษฎ์คอนเฟิร์ม หมอดูจอมอหังการ" กลับบอกถึงที่มาของการได้ตำราดูดวงแบบบริเฉท 7 ดาราว่า “ได้ไปศึกษาวิชานี้ขณะบวชเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งในตอนนั้นวัดแห่งนี้ยังเป็นสำนักสงฆ์ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา การเดินทางค่อนข้างลำบากเนื่องจากตั้งอยู่กลางป่า
       
       แต่ที่เลือกมาบวชที่วัดนี้ เพราะทางครอบครัวและป้านั้นสนิทสนม มาทำบุญที่วัดนี้อยู่บ่อยๆ จากนั้นก็ได้เจอกับ “หลวงปู่” พระชราภาพรูปหนึ่งอายุ 96 ปี ซึ่งเป็นพระลูกวัดและได้ทำนายดวงให้ว่า อนาคตจะเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นคนที่ท่านรอมานานที่จะสืบทอดตำราการดูดวงให้
       
       โดยตำรานี้เป็นของพระครูอินทร์เทวดา ปรมาจารย์โหรในยุคโบราณประมาณปี 2450-2480 ซึ่งพระครูอินทร์ได้ถ่ายทอดมาให้หมอหน้าบาก และภายหลังหมอหน้าบากก็ได้ถ่ายทอดวิชามาให้กับหลวงปู่ท่านนี้อีกที นอกจากนั้นแล้วหมอกฤษฏ์ยังได้บรรยายลักษณะของหมอหน้าบากในพ็อกเก็ตบุ๊คอีกว่า หน้าจะบากเนื่องจากถูกมีดฟันตั้งแต่ประมาณกลางกระหม่อมเรื่อยลงมา จนถึงจมูกแล้วก็ยาวไปถึงหางหูทางด้านซ้าย
       
       หมอกฤษฏ์ยังกล่าวอีกว่า ตำราของพระครูอินทร์เทวดามี 3 ตำราคือ ตำราโหราเลขศาสตร์พินิจนาที และ นิเวศวิรุฬหการณ์ ส่วนอีกตำราไม่มีชื่อเพราะพระครูอินทร์เทวดาไม่ได้บอกหมอหน้าบากเอาไว้ว่า ตำรานี้ชื่ออะไร แต่ทางหมอหน้าบากได้สั่งหลวงปู่เอาไว้ว่า อย่าถ่ายทอดวิชานี้ให้กับใคร รอจนกว่าจะรู้ตัวว่ากำลังจะตาย “แล้วจะมีอาจารย์ของอาจารย์มาเอาวิชานี้ไปเอง” จากนั้นหลวงปู่ก็ถ่ายทอดตำรานี้ให้กับหมอกฤษฏ์เพียงผู้เดียว และหลังจากนั้นท่านก็มรณภาพไปเมื่อปีพศ.2548” นั่นคือสิ่งหมอกฤษฏ์แจกแจงในพ็อกเก็ตบุ๊ค
       
       จากข้อมูลที่หมอกฤษฏ์ให้สัมภาษณ์นั้นจะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในนิตยสาร WHO บอกว่า ได้เรียนรู้มาจากพระลูกวัดสัตตนารถปริวัตร ราชบุรี แต่ในพ็อกเก็ตบุ๊คกลับบอกว่า ร่ำเรียนมาจาก หลวงปู่อายุ 96 ปีซึ่งเป็นพระลูกวัดอยู่ในวัดแห่งหนึ่งของอำเภอจอมบึง ราชบุรี ดังนั้น ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์จึงต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว โดยเริ่มที่วัดสัตตนารถปริวัตร จ.ราชบุรี ว่าหมอกฤษฏ์ได้มาบวชเณรและได้วิชาบริเฉท 7 ดาราจากพระลูกวัดที่นี่ จริงตามที่ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร WHO หรือไม่
       
       ปฏิบัติการพลิกแผ่นดินตามหา “หลวงปู่ปริศนา” ที่วัดสัตตนารถปริวัตร
       
       “พระราชเมธาภรณ์" เจ้าอาวาสวัดสัตตนารถฯ ยืนยันว่า “หมอกฤษฏ์” ไม่ได้มาบวช ไม่ได้เรียนวิชาบริเฉท 7 ดารากับพระในวัด สวนทางกับสิ่งที่หมอกฤษฏ์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร WHO เพราะพระหมอดูที่วัดสัตตนารถฯที่สืบทอดตำราจากพระครูอินทร์เทวดามีรูปเดียว และมรณภาพไปตั้งแต่ปี 2525 ซึ่งหมอกฤษฏ์ยังไม่เกิด
       "อาตมาบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 มาไม่ทันพระครูอินทร์เทวดา แต่ทราบว่าท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้จริง ซึ่งในยุคนั้นพระครูอินทร์เทวดาท่านดังในด้านโหราศาสตร์ ดูดวงแม่นเหมือนตาเห็น ชาวบ้านก็เลยเรียกกันว่า อินทร์เทวดา ส่วนรายละเอียดเรื่องตำราของท่านอาตมาไม่ทราบ เท่าที่รู้เห็นเขาบอกกันว่าหลังจากที่พระครูอินทร์ท่านมรณภาพไปแล้ว พระปฏิบัติที่คอยดูแลท่านจะเก็บเอามาเผาทิ้งไปแล้ว เขาว่ากันอย่างนั้นนะ”
       
       “ซึ่งพระปฏิบัติท่านนี้ชื่อพระครูสุนเป็นชาวเขมร ตอนหลังได้ไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดเขาถ้ำ แต่ตอนนี้มรณภาพไปนานมากแล้ว เรื่องตำราที่เคยเห็นบางสิ่งบางอย่าง อาจจะเป็นตำราที่พระครูอินทร์เทวดาท่านเขียนไว้เอง แต่ชื่อตำราอะไรเราไม่ทราบ อย่าว่าตำราเลย แม้แต่รูปถ่ายของท่านที่เป็นรูปใหญ่ๆ แขวนไว้ที่หน้ากุฏิเดิมของท่านในวัดนี้ก็ไม่รู้หายไปไหน หาสาเหตุไม่เจอ ที่ผ่านมามีคนมาติดตามถามหามากมาย ต้องการที่จะดูรูปท่าน แต่ค้นหาไม่เจอแล้ว”
       
       "ส่วนลูกศิษย์ที่เคยร่ำเรียนวิชาจากพระครูอินทร์เทวดาเท่าที่เห็นในวัดนี้ก็มีพระครูเขมานันทมุนี หรือ หลวงปู่พรหมองค์เดียว อาตมามาทันได้เจอกับหลวงพ่อพรหมจึงรู้ว่า ท่านเป็นพระองค์เดียวในวัดนี้ที่เก่งทางด้านโหราศาสตร์ดูดวงแม่น แต่อาตมาก็ไม่เคยถามท่านว่าเรียนมามากน้อยแค่ไหน เรียนตำราอะไร รู้แต่ว่าท่านมาศึกษาตำราดูดวงกับพระครูอินทร์เทวดา ตั้งแต่หลวงปู่พรหมท่านบวชเป็นสามเณรและบวชพระ"
       
       "จนมรณภาพไปเมื่อ พ.ศ.2525 อายุประมาณ 80 กว่าได้ ในยุคนั้นอาตมาคิดว่าคนที่เป็นลูกศิษย์พระครูอินทร์ก็มีเพียงคนเดียว ก็คือหลวงปู่พรหม ซึ่งก่อนหน้าที่ท่านจะมรณภาพ หลวงปู่พรหมมีลูกศิษย์เป็นพระอีกองค์ชื่อพระสุธน แต่ตอนนี้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดสุรชายาราม (วัดหลุมดิน) และปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นพระดูดวงอยู่ ท่านจะเอามาจากตำรับตำราบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ที่วัดนี้พระที่ดูดวงเก่งๆ ก็มีพระครูอินทร์เทวดา,หลวงปู่พรหม”
       
       “หลวงปู่พรหมท่านมรณภาพไป 27 ปีได้แล้ว มากกว่าอายุหมอกฤษฏ์อีก แล้วจะมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พรหมได้ยังไง ที่ผ่านมามีคนมาถามหาตำรา ก็มีแต่คนอายุมากแล้วทั้งนั้น ไม่เคยเห็นใครอายุน้อยมาร่ำเรียนและก็ไม่เคยมีใครมาบวชเณร แล้วเรียนตำราโหราศาสตร์ มีแต่มาบวชเณรหน้าไฟกันซะส่วนใหญ่ และถ้าเขาจะเรียนการดูดวงจากพระลูกวัดรูปอื่นในวัดนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตั้งแต่มีวัดนอกจากพระครูอินทร์เทวดา ก็มีหลวงปู่พรหมรูปเดียวเท่านั้นที่เป็นพระหมอดูของที่นี่"
       
       ทางด้าน "หลวงพ่อสุธน" เจ้าอาวาสวัดสุรชายาราม(วัดหลุมดิน) ซึ่งเป็นพระหมอดูองค์เดียวในวัดสัตตนารถปริวัตร ที่ได้รับถ่ายทอดวิชาดูดวงจากหลวงปู่พรหม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระอินทร์เทวดา ก่อนที่จะย้ายวัดมาจำพรรษาที่วัดอื่นได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
       
       “อาตมาเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดสัตตนารถปริวัตรและเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พรหม แต่ไม่ทันหลวงปู่อินทร์ หลวงปู่พรหมท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออินทร์เทวดา เรียนตั้งแต่สมัยยังบวชเป็นเณรเรื่อยมา ส่วนอาตมาเรียนกับท่านตั้งแต่พ.ศ.ห้าร้อยเศษๆ มาแล้วและท่านมาล่วงลับเอาปีพ.ศ. 2525 เรียนพอรู้คุยกับท่านบ้าง แต่เข้าใจว่าท่านอาจจะมีเคล็ดอะไรของท่านเราก็ไม่ได้ไปถาม พอตอนหลังท่านแก่มากเราไม่ได้ไปยุ่ง หลวงพ่อพรหมมีลูกศิษย์เยอะมีทั้งฆราวาส หรือพระก็มี ไม่รู้มีใครบ้างไม่ได้มาเรียนรวมกัน บางคนก็มาถามท่านเฉพาะเรื่องแล้วก็ไป”
       
       “แต่ลูกศิษย์ที่เป็นเณรไม่มี มีแต่เด็กข้างนอกที่เคารพนับถือมาคุยมาถามกันแต่ละเรื่อง ไม่ใช่มานั่งเรียนรวมกัน ต่างคนต่างมีตำราแล้วสงสัยเรื่องอะไรก็มาถามท่าน ไม่ใช่การถ่ายทอดกันแบบโบราณ ถ้าเป็นแบบโบราณต้องมีการสอนแบบตั้งเลขตั้งดวงกัน”
       
       จากข้อมูลที่ได้จากเจ้าอาวาสวัดสัตตนารถปริวัตรทำให้ทราบว่า เป็นไปไม่ได้ที่หมอกฤษฏ์จะมาบวชเณรและได้เรียนรู้วิชาบริเฉท 7 ดาราจากพระลูกวัดในวัดแห่งนี้ เนื่องจากตั้งแต่ตั้งวัดสัตตนารถฯขึ้นมา ก็มีพระหมอดูเพียงสองรูปนั่นก็คือ พระครูอินทร์เทวดา กับ หลวงปู่พรหม ซึ่งถ้าจะเรียนจากพระครูอินทร์เทวดาก็เป็นไปไม่ได้เพราะพระครูอินทร์เทวดามรณภาพไปเป็นร้อยปีแล้ว และถ้าจะเรียนจากหลวงปู่พรหมก็ไม่น่าจะใช่ เนื่องจากหลวงปู่พรหมมรณภาพไปตั้งแต่ปี 2525 ตั้งแต่หมอกฤษฏ์ยังไม่เกิด
       
       แต่เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ จึงได้สอบถามไปยัง"พระครูเมธีธรรมานุยุต" รองเจ้าอาวาสวัดสัตตนารถปริวัตร เพื่อขออนุญาตดูบันทึกการบรรพชาของพระและเณร ที่เคยบวชในวัดสัตตนารถฯ และได้ทำการตรวจสอบบันทึกดังกล่าวตั้งแต่ปี 2532 – 2550 ก็ไม่มีชื่อของหมอกฤษฏ์แต่อย่างใด
       "เท่าที่ทราบ หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม นี่ไม่เคยได้ยินชื่อ ถ้าเขามาบวชอยู่ที่วัดนี้จริงอาตมาก็ต้องรู้ เพราะเราเป็นรองเจ้าอาวาสจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องการบวชพระบวชเณร ใครที่มาบวชที่วัดนี้ทุกคนจะต้องมีเอกสารรายชื่อของการบรรพชาทุกคน"
       
       "ที่ผ่านมามีคนมาบวชที่วัดนี้เพื่อเรียนธรรมวินัยมี แต่ไม่เคยเห็นใครมาบวชเพื่อที่จะเรียนวิชาหมอดูนะ เพราะไม่มีใครที่จะสอนได้รับรองได้ หลวงปู่อินทร์เทวดามรณภาพไปตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ยังเป็นเณรเล็กๆ เอง แล้วก็หลวงปู่พรหมท่านมรณภาพไปเมื่อพ.ศ.2525 อาตมายังบวชพระได้แค่ปีสองปีเอง แล้วพระที่ได้ถ่ายทอดตำราหมอดูจากท่าน ก็มีพระรูปเดียวท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดหลุมดิน ส่วนหมอกฤษฏ์เกิดทันซะที่ไหนทุกวันนี้มีคนมาแอบอ้างเยอะบอกตรงๆ นอกจากหลวงปู่พรหมแล้วที่วัดสัตตนารถฯไม่มีหมอดูแล้ว”
       
       เป็นอันว่า "หมอกฤษฏ์" ไม่ได้มาบวชและเรียนวิชาที่วัดสัตตนารถฯ เหมือนที่ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร WHO อย่างแน่นอน แล้วที่เคยเขียนไว้ในพ็อกเก็ตบุ๊คว่าไปบวชที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอจอมบึง จนได้วิชาบริเฉท 7 ดารา จะเป็นจริงหรือไม่
       โปรดติดตาม ปริศนา “หมอกฤษฏ์” กับ “บริเฉท 7 ดารา” ตอน ปฏิบัติการเคอิโงะ พลิกแผ่นดินตามหาอาจารย์หมอกฤษฏ์ ที่วัดใน อ.จอมบึง ในวันพรุ่งนี้
       
        วัดสัตตนารถ ที่ "หมอกฤษฏ์ ให้สัมภาษณ์ไว้ใน WHO ว่าเคยมาบวชที่นี่
“พระราชเมธาภรณ์" เจ้าอาวาสวัดสัตตนารถ
"พระเมธีธรรมานุยุต" รองเจ้าอาวาสวัดสัตตนารถ
กุฏิที่พระครูอินทร์เทวดาเคยอยู่
ทีมงานสืบค้นทะเบียนบรรพชาไม่พบชื่อ "หมอกฤษฏ์"
Credit: www.manager.co.th
22 พ.ย. 52 เวลา 18:37 4,904 20 104
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...