ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ไทย
ผลงานจากผู้กำกับคุณภาพ "ม.จ.ชาตรี เฉลิมยุคล"
ชื่ออังกฤษ: King Naresuan 4
ชื่อไทย: ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 4ยุทธหัตถี
ประเภทหนัง: Epic/History
ผู้กำกับ: หม่อมเจ้าชาตรี เฉลิมยุคล
วันที่เข้าฉาย: 26 May 2011
เรทภาพยนตร์ : ไทยแนวหนังอิงประวัติศาสตร์
นักแสดง: พันตรีวันชนะ สวัสดี, จา พนม, พันโทวินธัย สุวารี, นพชัย ชัยนาม,
อินทิรา เจริญปุระ, ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ, ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง, สรพงษ์ ชาตรี
เรื่องย่อ
พูทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรง หรือ นานเตี๊ยบาเยง ได้ขึ้นเสวยราชย์เหนือแผ่นดินพุกามประเทศสืบต่อจากพระเจ้าหงสาวดีช้างเผือก บุเรงนอง นับแต่วันที่ก้าวขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ได้ทรงตั้งปณิธานว่าจะแผ่ผ่านกฤดาภินิหารมิให้เป็นรองพระราชบิดา เมื่ออยุธยาประเทศแยกตัวเป็นเอกราช พระองค์จึงจำต้องยาตราทัพไปกำราบปราบลงมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ภารกิจนี้นับเป็น “การแผ่นดิน” แต่ลึกลงไปในมโนสำนึกของนันทบุเรงนั้นยังหมายพระทัยจะเอาชนะแต่เฉพาะ พระนเรศซึ่งเป็นเสมือนคู่ปรับต่างวัย ภารกิจนี้เป็น “เรื่องส่วนตัว” ที่พัวพันกลืนไปกับกิจของแผ่นดิน และเหนือสิ่งอื่นใดยังตั้งพระทัยที่จะเอาชนะใจพระสุพรรณกัลยา ผู้เป็นองค์ประกันในแผ่นดินของพระองค์เอง โดยทางหนึ่งนั้นพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงต้องรบทั้ง “ศึกนอก” ในต่างแดน ขณะที่ อีกทางหนึ่งก็ต้องรับ “ศึกใน” เพื่อชนะใจพระพี่นางในพระนเรศ มิให้น้อยหน้าหรือเป็นรอง พระราชบิดา ศึกนอกศึกใน-ศึกรบศึกรักนี้เข้มข้นยิ่งนัก
ศึกนันทบุเรงในปีพุทธศักราช 2127 เป็นศึกใหญ่ ไพร่พลพม่ารามัญที่ยกมารวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า 240,000 คน สมเด็จพระนเรศจึงทรงใช้พระนครศรีอยุธยาเป็นชัยภูมิรับศึก ด้วยทรงเห็นว่าเป็นต่อด้านที่ตั้ง และเมื่อทัพข้าศึกเข้าเหยียบชานพระนครก็ทรงใช้ยุทธวิธีตั้งรับในเชิงรุก ผสานกลศึกการรบที่แหวกจารีตของพระองค์ในหลายคราว ไม่ว่าจะเป็นการนำทัพเรือนหมื่นคาบพระแสงดาบขึ้นหักค่ายพม่า หรือเมื่อต้องสัประยุทธ์กับคู่ปรับเก่า “ลักไวทำมู” ผู้มีเพลงรบเป็นเลิศ โดยฝ่ายพม่าใช้กลพยุหะ “ฉนาง” ที่แฝงความพลิกแพลงอัศจรรย์ด้วยการประสานกำลังทหารดาบดั้งและหอกใหญ่เป็น พิชัยยุทธ เพื่อล้มทัพม้าและล้อมจับพระนเรศ
แต่แล้วราชันพม่าก็พ่ายศึกพระนเรศย่อยยับ ความปราชัยในครั้งนั้นได้โหมไฟแค้นของ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงเป็นเท่าทวี เมื่อมิอาจระบายโทสะกับผู้ใดในแผ่นดินอยุธยาได้ พระองค์ก็หันมาชำระแค้นกับพระสุพรรณกัลยาองค์เชลย บำบัดอารมณ์รักที่ไม่สมหวังและอารมณ์แค้นที่ คุกรุ่นลงในคราวเดียว
ท้ายที่สุด พระเจ้านันทบุเรงก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาอุปราชา-ยุพราชแห่งหงสาวดียกทัพไปตี กรุงศรีอยุธยาเป็นการล้างแค้นในปีพุทธศักราช 2135 สงครามในครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม “สงครามยุทธหัตถี” การที่พระเจ้านันทบุเรงมิได้ทรงยกทัพไปกระทำการด้วยพระองค์เอง ก็ด้วยทรงบาดเจ็บสาหัสในศึกครั้งก่อนและพระอาการก็มิได้ทุเลาพอจะให้ออกทำ ศึกได้ ครั้งนั้น พระมหาอุปราชาทรงนำทัพใหญ่ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เพื่อเปิดศึกใหญ่กับอยุธยา
ภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภาคอวสาน ไม่ได้อวสานที่การ สิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชากลางสมรภูมิศึกยุทธหัตถี ด้วยพระเจ้านันทบุเรงผู้กระหายสงครามยังมิทรงลดทิฐิที่จะหักเอาแผ่นดิน อยุธยา ทั้งยังฝากรอยแค้นซ้ำสองด้วยการปลิดชีวิตพระสุพรรรณกัลยาหลังทราบข่าวการ สิ้นพระชนม์ของพระราชโอรส ศึกสองแผ่นดินจึงพลิกมาเป็นศึกสองกษัตริย์ที่รบเพื่อรักษาเอกราชระคนไปกับ การรบเพื่อชำระแค้น สงครามหลังศึกยุทธหัตถีจึงเป็นทั้งสงครามเลือดและสงครามอารมณ์ที่เผ็ดร้อน กว่าทุกสงครามที่ขับเคี่ยวกันมา
จับตาชมไฮไลท์สำคัญกับการเนรมิตฉากมหาสงครามยุทธหัตถี
ที่น่าตื่นตากับโปรดักชั่นงานสร้างสุดอลังการและฉากเหตุการณ์ใหม่ ๆ
ที่ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทั้ง 2 ภาค
ไม่ว่าจะเป็นการจำลองเมืองละแวก ราชวังเขมร , ฉากเมืองท่าอยุธยาในอดีต,เหล่ากองทัพทางเรือ
และ
มหาสงครามทางน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หลังจาก 2 ภาคแรก ท่านมุ้ยทรงถ่ายทอดรูปแบบการรบอันยิ่งใหญ่ในภาคพื้นดินมาแล้ว