ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของวารสารสื่อพลัง และ วิชาการ.คอม
http://www.pttplc.com/TH/Default.aspx
-------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวเกี่ยวกับน้ำท่วมโลก อาจเป็นเรื่องที่หลายคนเคยได้ยินบ่อยครั้ง เช่น ในนิทาน ตำนานทางศาสนา หรือในนิยายปรัมปรา จนบางทีเราอาจเผลอคิดไปว่าเรื่องน้ำท่วมโลกเป็นเพียงเรื่องเล่าจากจินตนาการ ของคนในอดีตเท่านั้น แต่หากลองย้อนรอยเรื่องราวเหล่านั้นแล้ว อาจพบว่า เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่อุบัติขึ้นจริง ณ กาลครั้งหนึ่ง
หลาย ชาติพันธุ์ภาษาทั่วทุกมุมโลก มีเรื่องเล่าถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ดูดกลืนชีวิตและอารยธรรมให้จมหายลงใต้มหาสมุทรอันลี้ลับ จนเมื่อคลื่นลมสงบจึงเป็นการเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ที่สรรค์สร้างโดยกลุ่ม ผู้รอดชีวิต ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ถ่ายทอดเหตุการณ์ดังกล่าว ในรูปแบบของเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นกลายเป็นตำนานมาจนถึงปัจจุบัน
การศึกษาถึงคติน้ำท่วมโลกนั้น มาร์ค ไอแซค (Mark Isaak) ผู้เชี่ยวชาญด้านคติชนวิทยา ได้เรียบเรียงข้อเขียน เรื่อง “Flood Stories from Around the World” ซึ่งได้เก็บรวบรวมเรื่องราวจากคนพื้นเมืองในหลายทวีป อาทิ แอฟริกา ยุโรป เอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย ตลอดจนหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งพบว่ากลุ่มคนในพื้นที่เหล่านี้ต่างมีเรื่องราวเกี่ยวกับอุทกภัยล้างโลก ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่ง มาร์ค ไอแซค เชื่อว่าเรื่องเล่าดังกล่าว คือ ร่องรอยความจริงในอดีตที่ถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งหากแนวคิดนี้เป็นจริง คำถามต่อมา คือ หากโลกเคยเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ แล้วเกิดขึ้นเมื่อไรล่ะ?
ใน ที่สุด ตำนานเรื่องเล่าทั้งหลาย ได้พาเรามาส่งถึงปากประตูแห่งความสงสัย กุญแจดอกหนึ่งที่จะไขประตูบานนั้นได้ คือ การศึกษาและพิสูจน์ด้วยระเบียบ วิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิลเลียม ไรอัน (William Ryan) นักวิจัยจากลามอนท์-โดเฮอร์ธี เอิร์ธ ออบเซอร์เวทอรี (Lamont-Doherty Earth Observatory) สหรัฐอเมริกา ได้สร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาบริเวณที่ราบรอบทะเลดำ (Black Sea) แล้วเสนอความคิดเห็นของเขาในหนังสือ ชื่อ “Noah’s Flood: The New Scientific Discoveries about the Event That Changed History” ว่าในอดีตเมื่อ 8,000 ปีก่อนนี้ ได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งมโหฬาร ซึ่งเกิดจากการละลายของน้ำแข็งในโลก ส่งผลให้น้ำทะเลได้ไหลทะลักผ่านเข้าถึงทะเลดำ ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งดูดกลืนทุกสิ่งลงใต้เบื้องบาดาล และนี่อาจเป็นน้ำท่วมโลกในตำนานก็เป็นได้
มาร์ค ซีดดาลล์ (Mark Siddall) แห่งมหาวิทยาลัยเบิร์น (University of Bern) สวิตเซอร์แลนด์ได้สนับสนุนแนวคิดของวิลเลียม ไรอัน โดยคณะวิจัยของเขาได้จำลองสภาพอดีตเมื่อ 10,000 ปีก่อนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่โลกกำลังตกอยู่ในยุคน้ำแข็งโฮโลซีน (Holocene) เมื่อน้ำแข็งละลายได้เกิดน้ำท่วมขนานใหญ่ขึ้น ซึ่งซีดดาลล์และคณะได้ลองกำหนดให้กระแสน้ำมีความเร็วต่างๆ กัน แล้วศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามบริเวณขอบทะเลดำ พบว่า ถ้ากระแสน้ำไหลช้าๆ แรงเฉื่อยอันเกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก จะทำให้น้ำไหลขึ้นทางเหนือ แล้วพุ่งเฉียงไปทางตะวันออก แต่หากกระแสน้ำไหลเชี่ยว เพราะได้รับแรงจากแผ่นดินไหว พลังของน้ำจะมหาศาล ในปริมาณน้ำที่มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือ 20 เท่าของน้ำตกไนการา (Niagara Falls) กลายเป็นพลังคลื่นอันมหาศาลถาโถมไปได้ทุกทิศทาง กลายเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ที่สุด
เหตุการณ์ในแบบจำลองนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับเรื่องราวน้ำท่วมโลก ในมหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) ของชาวสุเมเรียน (Sumerians) ชนชาติแรกที่บันทึกเรื่องราวน้ำท่วมโลกไว้ในรูปแบบอักษรรูปลิ่ม หรือคูนิฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งได้บรรยายไว้อย่างน่ากลัวว่า
“เมฆดำทะมึนมาถึง พร้อมด้วยอาดาด เทพเจ้าแห่งสายฟ้าที่ร้องลั่นมาพร้อมกัน แผ่นดินแยกเหมือนกับหม้อดิน และแสงสว่างทั้งปวงก็กลายเป็นความมืดมิด น้ำท่วมใหญ่มาก จนแม้เทพเจ้าก็ยังพรั่นพรึง ทวยเทพสะท้านราวสุนัขสั่นระริกซ่อนตัวอยู่ลับลิบในสวรรค์”
เห็นได้ว่าเหตุการณ์ในมหากาพย์กิลกาเมชสอดคล้องกับแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ อยู่มาก นอกจากนี้ยังสามารถให้รายละเอียดที่ลึกซึ่งไปอีกว่า นอกจากอุทกภัยแล้ว ยังมีภัยจากสายฟ้า และธรณีพิบัติเข้ามาซ้ำเติม
ส่วนสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมโลกนั้น แทบทุกตำนานจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นฝีมือของเทพเจ้า หรือไม่ก็พลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ แต่ในทางวิทยาศาสตร์นั้น ศ.โรเบิร์ท เบอร์เนอร์ (Robert A.Berner) ผู้เชี่ยวชาญด้านความเปลี่ยนแปลงของโลก จากมหาวิทยาลัยเยล (Yale) สหรัฐอเมริกา ได้ให้แนวคิดถึงสาเหตุของน้ำท่วมโลกว่าเกิดจากการละลายของกลุ่มน้ำแข็งในโลก ซึ่งกลุ่มน้ำแข็งดังกล่าวมีอยู่ 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ น้ำแข็งขั้วโลก น้ำแข็งบนยอดเขา และน้ำแข็งในทะเล
ศาสตราจารย์เบอร์เนอร์เชื่อว่า สาเหตุแห่งการละลายของน้ำแข็งเหล่านี้มาจากการที่โลกอบอุ่นขึ้น เพราะการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ที่มีอัตราขึ้นลงเป็นวัฏจักรโดยธรรมชาติ
แนวคิดดังกล่าวสวนทางกับสมมติฐานของเทเรซา ฮาเกลเบิร์ก (Terasa K.Hagelberg) นักวิชาการจากศูนย์ข้อมูลทางธรณีแห่งชาติ (National Geophysical Data Center Paleoclimatology Program) สหรัฐอเมริกา ซึ่งเสนอว่า วงจรการหมุนของโลกต่างหาก ที่ทำให้เกิดยุคน้ำแข็ง และทำให้โลกร้อนขึ้นจนน้ำแข็งละลาย ซึ่งวงจรดังกล่าวจะเกิดขึ้นทุก 10,000 ปี
ฮาเกลเบิร์ก ยังศึกษาถึงสภาพอากาศในอดีตจากชั้นน้ำแข็ง และพบว่า โลกในยุคน้ำแข็งนั้น มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศพอๆ กับปัจจุบัน หมายความว่า แม้ในเวลาที่โลกอบอุ่น ก็ยังเกิดยุคน้ำแข็งได้ ดังนั้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงอาจไม่ใช่ตัวการหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
แม้ สมมติฐานของบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะมีความแตกต่างกัน แต่แนวคิดดังกล่าวก็ล้วนชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์น้ำท่วมโลกนั้นเคยเกิดขึ้นดังในตำนานว่าไว้ จึงน่าเชื่อถือว่า เรื่องราวของน้ำท่วมโลกนั้นเป็นความจริงในอดีต ที่ถูกส่งผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเป็นดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า ตำนานเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อบันทึกความทรงจำในอดีต หรือมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่
ในตำนานแทบทุกเรื่อง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนน้ำท่วมโลกว่า เกิดจากมนุษย์ขาดศีลธรรม เบียดเบียนธรรมชาติ และก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้กันและกัน จนเทพเจ้าทนไม่ไหว จึงบันดาลให้น้ำท่วมโลก ซึ่งเปรียบเป็นการชำระล้างโลกให้ปราศจากความชั่วร้ายของมนุษย์
หรือคนในอดีต อาจส่งสัญญาณให้เรารู้วิธีรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลก โดยบอกเป็นนัยว่า มนุษย์ควรดำรงตนอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ กินอยู่อย่างพอเพียงตั้งอยู่ในศีลธรรม เพราะการเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์และการเบียดเบียนธรรมชาติ อาจนำมาสู่ความหายนะในที่สุด
นี่อาจเป็นรหัสที่มีมาแสนนาน บนหน้าฉากแห่งตำนานเรื่องเล่า ซึ่งส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น คือ ความเป็นจริงในอดีต ที่สามารถพิสูจน์ได้ และแฝงด้วยความหมายแห่งกาลเวลา ที่เหลือก็ขึ้นอยู่ว่า คุณจะเชื่อหรือไม่