10 สิ่งที่เราสร้างขึ้นเพื่อหวังว่าจะช่วยมนุษย์แต่กลับทำลายมนุษย์ซะงั้น

10 รายการต่อไปนี้ผู้สร้างมีเจตนาว่าสิ่งที่ตนสร้างจะช่วยเหลือมนุษย์ แต่น่าเสียดายมันกลับตรงกันข้าม เมื่อหลายฝ่ายกลับทำให้กลายเป็นหายนะโดยใช้มันในสงคราม(หรือเพื่อผลประโยชน์ ของตนเอง) ทำลายพวกมนุษย์ด้วยกันเอง อีกทั้งยังทำลายสิ่งแวดล้อม จนยากที่จะลืมเลือน

 

10. Zyklon B

  

ฟริตซ์ ฮาเบอร์(1868-1934) เป็นนักวิทยาศาสตร์ในเยอรมนี เชื้อสายยิว ที่สนใจในหลายอย่างๆ แต่ที่สนใจมากที่สุดคือเคมี โดยผลงานเด่นคือเขาได้สร้างปุ๋ยไนโตรเจนราคาถูกด้วยการแยกไนโตรเจนอากาศมา ใช้ผลิตแอมโมเนียในปริมาณมากได้ ซึ่งผลการค้นคว้านี้เองทำให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตเลี้ยงพอต่อประชากรโลก ได้ และผลงานนี้เองทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในปี 1918 นอกจากนี้เขายังผลิต ไซโคลน B ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่เป็นก๊าซไฮโดรเจนไซยาไนด์ในปฏิกริยาทางเคมี กับน้ำ เหมาะสำหรับการกำจัดศัตรูข้าว

                แต่อนิจจา สงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารนาซีภายใต้การนำฮิตเลอร์ที่เกลียดยิว ได้ไล่ฟริตซ์ ฮาเบอร์จนออกนอกประเทศ อีกทั้งยังได้ใช้ยาฆ่าแมลงไซโคลน B (ความจริงผลงานของเขาได้ถูกใช้มาเป็น อาวุธก๊าซพิษตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว)สังหารชาวยิวจากเกือบทุกประเทศในยุโรป ทั้งหมดถูกสังหารในห้องรมก๊าซที่ค่ายเอาชวิตซ์ ซึ่งในจำนวนชาวยิวเหล่านั้นยังมีบรรดาญาติๆของเขารวมอยู่ด้วย

                ทางด้านชีวิตส่วนตัว แม้ฟริตซ์ ฮาเบอร์ประสบผลสำเร็จหลายอย่าง แต่กระนั้นหลังจากมีหลายฝ่ายรู้ว่าผลงานของเขากลายเป็นอาวุธสงคราม เขาจึงถูกตำหนิ จนได้รับฉายา “บิดาแห่งสงครามเคมี” อีกทั้งชิตส่วนตัวล้มเหลว ภรรยาฆ่าตัวตายหลังรู้ว่าสามีเป็นฆาตกรสงคราม ส่วนภรรยาที่สองฟ้องหย่าเพราะสามีทุ่มเทงานมากเกินไปจนละเลยครอบครัว

 

9. Agent Orange

  

Arthur Galston เป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้วิจัยสารเคมีในการเร่งเติบโตของถั่วเหลื่อง ดอกไม้และผลไม้ จนกระทั้งเขาได้พบ สาร 2,3,5-trichloronoxy acetic acid(TIBA) ซึ่งช่วยในการเพิ่มการออกดอกของถั่วเหลืองเพิ่มความเร็วในการเจริญเติบโตของ ถั่วเหลืองทำให้เก็บเกี่ยวถั่วเหลืองได้เร็วขึ้นในฤดูอันสั้น นอกจากนี้มันยังสามารถใช้เป็นสารกำจัดวัชพืชที่ทำให้ใบไม้ร่วง  แต่น่า เสียดายด้วยความเข้มข้นสูงของสารเคมีดังกล่าวนั้นเองทางการสหรัฐได้นำมาใช้ ประโยชน์มาพัฒนาเป็นอาวุธเคมีโดยนำมาใช้ในสงครามเวียดนามในเอเซียตะวันออก เฉียงใต้ ซึ่งหลายคนรู้จักมันในชื่อ “ฝนเหลือง” โดยชื่อนี้มาจากการที่สหรัฐปล่อยมันจากเครื่องบินจนดูเหมือนฝน เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง  โดยมีการประมาณกันว่า  อเมริกันใช้ ฝนเหลืองถึง 77 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น ซึ่งนอกจากมันจะใช้ทำลายป่าแล้ว มันยังสามารถทำลายทหารเวียดกง(รวมถึงชาวบ้านบริสุทธิ์อีกด้วย) นอกจากนี้สารตัวดังกล่าวยังทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่น ต่อไป  ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด  แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ ตาม  แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศ  สภาพแวดล้อม และสุขภาพของคนในเวียดนามใต้  ยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจน ซึ่งจากการคาดคะเนพบว่ามีคนเวียดนามเสียชีวิตและทุพพลภาพถึง 400,000 คน และอีก 500,000 ที่มีอาการบกพร่อง

 

8. Gatling Gun

  

ริชาร์ด จอร์แดน แก็ตลิ่ง(1816-1903) เป็นนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ประดิษฐ์เครื่องหยอดเมล็ดข้าวที่ช่วยในการ ปลูกข้าว อีกทั้งเขายังเป็นหมอสมัยสงครามกลางเมืองของอเมริกา เห็นผู้คนล้มตายในสงครามเป็นจำนวนมากและสังเกตว่าคนที่ตายเสียชีวิตจากการ เจ็บป่วยมากกว่าปืนเนื่องจากในแต่ละกองพลจำนวนทหารจะมีจำนวนมากทำให้เสี่ยง ต่อการติดโรคระบาด นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาเลยอุทิศตัวในการคิดค้นปืนที่ยิงได้เร็วขึ้น ภายใต้แนวคิดว่ามันจะเป็นอาวุธที่ทำหน้าที่ใช้ในการต่อสู้ในขอบเขตกว้างๆ โดยใช้งานเพียงแค่คนเดียว ซึ่งเหมาะแก่จำนวนคนในกองทัพน้อยขึ้น ช่วยทำให้คนเสียชีวิตในสงครามน้อยขึ้น โดย เริ่มแรก ปืนแก็ตลิ่งมี 6ลำกล้อง และ ยิงได้ด้วยอัตรา 320 นัด/นาที และ ติดตั้งบนล้อ ต้องลากไป และต่อมาก็มีพัฒนาปืนดังกล่าวจนกลายเป็นอาวุธที่ขาดไม่ได้ในกองทัพทหาร และมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขยายอาณาจักรอาณานิคมของยุโรปในเวลาต่อมา

 

 

7. TNT

  

โจเซฟ วิลแบรนด์ นักเคมีชาวเยอรมันได้ค้นพบสารเคมีสังเคราะห์ทำระเบิด นาม ทีเอ็นที หรือย่อมาจาก "ไทรไนโทรโทลูอีน" (Trinitrotoluene) ในป ค.ศ. 1863  และการผลิตปริมาณมากครั้งแรกเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ ค.ศ.1891 ซึ่งมันสามารถนำใช้งานอย่างกว้างขวางในด้านอุตสาหกรรมต่างๆ และนอกจากนี้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ทีเอ็นทีก็กลายอาวุธที่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง จนถึงปัจจุบันทีเอ็นทียังคงถูกนำมาใช้ทางการทหารและเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการ วัดความเข้มของระเบิดและวัตถุ ระเบิดอื่นๆ

 

6. Leaded Petrol

  

โทมัส มิดจ์ลีย์(1889-1944)เป็นประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้ค้นพบสาร คลอโรฟลูออโรคาร์บอน(Chlorofluorocarbons) หรือCFCs ในปี 1924  เป็นสารทำความเย็นที่สามารถทดแทนสารให้ความเย็นที่เป็น พิษอย่างแอมโมเนียที่ใช้งานทั่วไป การค้นพบทำให้เกิดอุตสาหกรรมตามมาอีกมากมาย เช่น การนำไปใช้เป็นสารช่วยในการพ่นยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นการค้นพบโดยบังเอิญของกองทัพบก ทำให้เกิดการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสีและยาดับกลิ่น  แต่ผลกระทบตามมาคือสารดัง กล่าวได้ทำร้ายโอโซนชั้นบรรยากาศของโลกอย่างหนัก ส่งผลให้เขาได้รับฉายาว่า “ฆาตกรผู้ทำลายสภาพแวดล้อมโลก”

แต่ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้นเมื่อเขาได้ค้นพบ เตตราเอทิล เลดtetra-ethyl lead (TEL) ใช้เป็นสารป้องกันการกระตุกของเครื่องยนต์เวลาทำงาน โดยใช้ผสมในน้ำมันเบนซินเพื่อให้เชื้อเพลิงมีค่าออกเทนสูงขึ้นการ ค้นพบนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งของการใช้น้ำมันและช่วยให้ประหยัดปริมาณ น้ำมันดิบที่สูบขึ้นมาจากใต้พื้นโลกได้กว่าพันล้านบาเรล หากแต่สิ่งที่ตามมาก็คือการเครื่องยนตร์ได้ป่วยสารตะกั่วเป็นสู่บรรยากาศทำ ให้มีผู้ล้มป่วยมากขึ้นจากอาการพิษตะกั่ว ไม่เว้นแม้กระทั้งตัว มิดจ์ลีย์เอง และหลาย ๆ คนเสียชีวิต

 

5. Sarin Gas

                 

ด็อกเตอร์ เกฮาร์ดสชราเดอร์r(1903-1990) เป็นนักวิทยาศาสตร์เยอรมันที่ ได้ค้นพบยาฆ่าแมลงชนิดใหม่ในกลุ่มออร์กาโนฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นสารฆ่าแมลงกลุ่มใหญ่ซึ่งมีจำนวนชนิดของสารออกฤทธิ์มากที่สุด ซึ่ง ด็อกเตอร์ตั้งความหวังว่าสารคดีดังกล่าวจะช่วยให้หยุดความหิวโหยของมนุษย์ ชาติในวันข้างหน้า หากแต่สิ่งที่ที่ตามมากลับตรงกันข้าม เมื่อยาฆ่าแมลงดังกล่าวได้พัฒนาเป็นอาวุธสงคราม เป็นแก๊สพิษซึ่งมีผลต่อระบบ ประสาท  เช่น  ทาบุน และซาริน โดยถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะขบวนการก่อการร้าย ที่ฆ่ามนุษย์ชาตินับไม่ถ้วน ส่งผลทำให้เขาได้ฉายาว่า “บิดาแห่งแก๊สทำลายประสาท”

 

 

4. Nuclear Fusion

  

นิวเคลียร์ฟิวชั่นเป็นปฏิกิริยาทางนิวเคลียร์ระหว่างนิวเคลียสเบาสองตัว มารวมกัน ซึ่งหลังจากการรวมแล้ว จะได้นิวเคลียสใหม่ซึ่งไม่เสถียร นิวเคลียสนี้จะแตกตัวออก และให้พลังงานที่สูงออกมา กระบวนการนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์ต่างๆ

ตอนแรกมีการค้นพบฟิวชั่นของนิวเคลียสมวลเบา (ไอโซโทปของไฮโดรเจน) โดย มาร์ก โอลิแฟนท์ ในปี ค.ศ. 1932 ก่อนที่หลายปีต่อมานักวิทยาศาสตร์ชาวยิวชื่อเอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์ ได้ทดลองระเบิดไฮโดรเจน เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร ในโครงการแมนฮัตตัน เนื่องจากเขาเชื่อว่าอเมริกาจะสามารถคุ้มครองโลกให้รอดพ้นจากภัยคอมมิวนิสต์ ได้ โดยการมีทั้งระเบิดปรมาณู และระเบิดไฮโดรเจนจะสามารถนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสันติสุขของ โลกได้ หากแต่อีก 2 ปีต่อมา รัสเซียก็ผลิตระเบิดไฮโดรเจนได้เช่นกัน และโลกก็ก้าวเข้าสู่ยุคสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับรัสเซีย และปัจจุบันโลกกำลังเสี่ยงต่อมหัตภัยสงครามนิวเคลียส

 

3. Rockets

  

เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์(1912 –1977) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ที่มีความสามารถรอบด้าน รักดาราศาสตร์  และเขามีความฝันทางอย่างสร้างจรวดเดินทางระหว่างดวงดาว ซึ่งเขาหลงเสน่ห์จรวด ถึงขั้นศึกษาเล่าเรียนจนสามารถสร้างจรวดเชื้อเพลิงเหลวได้สำเร็จ หากแต่ภายหลังผลงานกลับถูกนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารผู้คน เนื่องจากช่วงเวลานั้นพรรคนาซีกำลังกำลังมีอำนาจสูงสุดในเยอรมัน และเทคโนโลยีทางด้านการจรวดก็เป็นที่สนใจของพรรคนาซีอย่างมาก ด้วยความสามารถของเขาได้ผลิตจรวด V-2และจนรวดดังกล่าวนำไปใช้จริงและเข่นฆ่า เพื่อนร่วมโลกตายในสงครามเป็นจำนวนมาก

ต่อมาเวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์ก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมพรรคนาซี  และไม่ได้ทำการทำการทดลองที่ตามใจ ปรารถนา อีกทั้งโรงงานผลิตจรวดของเขานั้นใช้แรงงานทาสในการก่อสร้างและผลิต จนเขาปฏิเสธที่จะเข้าเยี่ยมชมค่ายดังกล่าว หลังจากทราบว่ามีคนต้องตายไปเป็นจำนวน 20,000 คนจากการป่วย ทารุณ แขวนคอ และทำงานในสภาวะที่โหดร้าย ภายหลังจากสงครามโลกสิ้นสุดลงด้วยความปราชัยของเยอรมัน จรวด V-2 และทีมนักวิศวกรชาวเยอรมันได้ตกอยู่ในมือของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งได้นำ0i;fV-2 ไปพัฒนาต่อทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและอดีตสหภาพโซเวียต ก่อนที่จะถูกพัฒนาเป็นจรวด ICBM จนถึงปัจจุบัน ส่วนเวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์ก็มีส่วนพัฒนาอาวุธให้อเมริกา เพื่อแลกกับการมีส่วนร่วมโครงการจรวด Saturn V ส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศตามความฝันของเขาในที่สุด

 

2. Concentration Camps

  

จอมพล เฟรดเดอริกโรเบิร์ตส์ โรเบิร์ตเอิร์ลที่ 1 (1832 –1914)ได้ตั้งความหมายของ “ค่ายกักกัน” ครั้งแรกว่า เป็นค่ายที่สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองครอบครัวหรือพลเรือนที่ถูกบังคับให้ ละทิ้งที่อยู่อาศัย หากแต่เอาเข้าจริงค่ายกักกันครั้งแรกเมื่อเกิดสงครามบัวร์(เป็นสงครามที่ เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ระหว่างอังกฤษและพวกบัวร์) โดยอังกฤษนำยุทธ์ศาสตร์ใหม่เพื่อป้องกันยุทธวิธีกองโจรและการไหลเข้ามาของ พลเรือน โดยการสร้างค่ายกักกันพลเรือน ซึ่งค่ายดังกล่าวประกอบด้วยโรงทหารกระท่อมหรือกระโจมที่พักและบริเวณรอบ ๆ ค่ายจะมีป้อมยามและลวดหนามล้อมรอบ ผู้คุมค่ายและยามรักษาการณ์มีอำนาจเหนือชีวิตนักโทษและจะปกครองอย่างเข้มงวด นักโทษเหล่านี้จะถูกจับโดยไม่มีการสอบสวนตามกระบวนยุติธรรม และไม่มีกำหนดเวลาปล่อยตัว ทั้งยังถูกจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชนด้วย ส่งผลทำให้มีนักโทษในค่ายเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากกว่า 26,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กท้องถิ่น และในแง่ประวัติศาสตร์แล้วค่ายกักกันที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ ค่ายกักกันของพรรคนาซีในเยอรมันและค่ายกักกันแรงงานในสหภาพโซเวียต

 

1. Ecstasy

 

http://www.thailabonline.com/drug-ecstasy.htm

Ecstasy หมายถึงยาอี ยาเลิฟครับ เชื่อหรือไม่? ว่าตอนแรกที่เขาสร้างมันนั้นไม่คาดคิดมันเป็นยาเสพติด โดยผู้สร้างตั้งใจที่จะยาดังกล่าวมาช่วยให้มนุษย์ได้พักผ่อนหย่อนใจ ยาอี สังเคราะห์ครั้งแรกในดาร์มสตัดท์ ประเทศเยอรมนีในปี 1912 โดยนักเคมีที่เรียกว่า Anton Kollisch ในขณะที่เขาทำงานให้กับบริษัท ยาเมอร์ค โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์คือ 3,4 - methylenedioxymethamphetamine ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการวิจัยยาเสพติด เพื่อต่อสู้กับภาวะเลือดออกผิดปกติ โดยตัวยาดังกล่าวมีสามารถเหนียวนำทำให้เกิดความรู้สึกสบาย ลดความวิตกกังวล จนครั้งแรกถูกเรียกว่ายาพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้ก็มีการพัฒนาเป็นยานอนหลับอย่างแรง

ต่อมายาอีก็กลายเป็นยาที่มีฤทธิ์หลอนประสาท ถูกสังเคราะห์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1914 โดยบริษัท Merck เพื่อหวังผลิตยาลดน้ำหนัก (ทำให้ไม่อยากอาหาร) แต่เนื่องจาก ผลเสียของยามีมากจึงถูกระงับไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยาอีได้ถูกทดลอง ใช้ในกองทัพอเมริกาเพื่อล้วงความลับทางทหารจาก เชลยสงคราม CIA ซึ่งเป็นองค์กรลับก็ใช้ยาอีเพื่อจุดประสงค์ เช่นเดียวกันใน ปี ค.ศ.1960 มีการผลิตออกวางขายและหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งสมัยนั้นเชื่อว่าเป็น ยาแห่งความรัก เพราะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ นอกจากนี้ยังเคย ถูกนำมาใช้ในการบำบัดโรคทางจิตเวช สามารถทำให้ผู้ป่วย แสดงความรู้สึก   จากจินตนาการเป็นคำพูดออกมาโดยเฉพาะการรักษา คู่สมรสที่มีปัญหาในการอยู่ด้วยกัน สามารพูดแสดงความรู้สึกต่างๆ ออกมาให้กันฟังได้

ในปี ค.ศ.1980 เกิดการใช้ยาอีกันอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มวัยรุ่น ชาวอังกฤษ และ อเมริกันในเมืองใหญ่ๆ โดยจัดเป็นปาร์ตี้ ที่มีการกินยาอี แล้วเต้นรำกันทั้งคืน จนถึงเช้า เรียกว่า “ปาร์ตึ้เพ้อเจ้อ” ผู้ที่กินยาอี ในปาร์ตี้นั้น จะมีท่าทางแปลกๆ เหมือนผู้ป่วย ที่เป็นโรคจิต และมีวัยรุ่น เสียชีวิตในปาร์ตี้ยาอีด้วยเหตุต่างๆ จนกระทั้งในปี ค.ศ.1985 เป็นต้นมา ทางองค์การสหประชาชาติได้ประกาศว่า ยาอีเป็นยาอันตราย ระดับต้นๆ เทียบเท่ากับเฮโรอีน มีการออกกฎหมายควบคุม และบทลงโทษ แต่กลับมีการแพร่ระบาด ของยาอีและปาร์ตี้ หากแต่ก็สายไปแล้วเพราะยาอีแพร่ระบาดทั่วทั้งยุโรป และอเมริกาและถูกพัฒนาเป็นยาเสพติดชนิดต่างๆ มากมายในที่สุด

 เครดิต:CAMMY

จัดอันดับโดยเว็บ

http://listverse.com/2009/07/19/10-useful-inventions-that-went-bad/

เนื้อหาบางส่วนเอามาจากเว็บ วิกิพีเดีย(ไทยและอังกฤษ) และ

http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=7506

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000029328

http://sujatewanchat.blogspot.com/2009/10/wernher-von-braun.html

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...