ศาสดาอุบาทว์ (Peoples Temple)

 

 

 

 

 

ศาสดาอุบาทว์ (Peoples Temple)

 

หลังจากที่สาวกกลุ่มหนึ่งตาสว่าง กลับใจแยกตัวออกจากกลุ่ม เจ้าแห่งลัทธิอุบาทว์ออกคำสั่งให้สาวกที่เหลือกว่า 900 คนพร้อมใจกันดื่มน้ำองุ่นผสมยาพิษไซยาไนด์ ฆ่าตัวตายหมู่หลีกหนีคดีความที่กำลังจะตามมา

                                 
                  
         วันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 30 ปีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่ของสาวกลัทธิอุบาทว์ (Peoples Temple) ภายใต้การนำของศาสดาจอมปลอมสาธุคุณ จิม โจนส์ (Jim Jones) ผู้มีความสามารถในการพูดจาโน้มน้าวจิตใจคนได้เป็นเลิศ

                             

         จิมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองด้วยการอวดอ้างคุณงามความดีที่เขาทำให้ กับสังคม ในขณะเดียวกันก็ใส่ร้ายให้โทษลัทธิอื่นๆโดยกล่าวหาว่าลัทธิอื่นเป็นศาสน พาณิชย์ มุ่งแต่หาผลประโยชน์ กอบโกยเงินทองโดยไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน ต่างกับลัทธิ Peoples Temple ที่จะมาปฏิวัติสังคมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีแต่เพียงตัวเขาเท่านั้นที่เป็น "ผู้รับใช้พระเจ้าที่แท้จริง" (People’s Minister)

โบสถ์มหาชน

           Peoples Temple หรือโบสถ์มหาชน ก่อตั้งขึ้นในเมืองอินเดียแนโพลิส รัฐอินดีแอนา เมื่อปี 1955 โดยจิม โจนส์ นักเทศน์หนุ่มไฟแรง ความสามารถในการพูดจาโน้มน้าวจิตใจทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคณะ กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งอินเดียแนโพลิสในปี 1960 ซึ่งจิมได้ใช้อำนาจหน้าที่ที่ได้รับนี้สร้างโรงทานขึ้นหลายแห่งในเมืองเพื่อ ใช้เป็นที่พึ่งพิงของคนจรจัดและคนว่างงาน

                          

           ปี 1961 จิม โจนส์ เทศนาให้สาวกได้เห็นถึงความน่ากลัวของสงครามนิวเคลียร์ที่อาจจะเกิดขึ้นใน อนาคต เขายังได้ทำนายอีกด้วยว่าสงครามนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 กรกฏาคม 1967 เพื่อความปลอดภัย จิมรวบรวมสาวก 140 คนย้ายออกจากเขตรัศมีของขีปนาวุธ หนีไปอยู่ที่เมืองเรดวู้ด วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1965

           จิมทำงานอย่างหนักเพื่อเผยแพร่ลัทธิของเขาให้เป็นที่รู้จัก เขาเริ่มติดต่อกับนักการเมืองและผู้นำทางศาสนาของโบสถ์ต่างๆ ขณะเดียวกันเขาก็ทำไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้ง ส่งจดหมายกว่า 36,000 ฉบับเพื่อกระจายข่าวสารให้กับบุคคลทั่วไปได้ทราบถึงกิจกรรมของโบสถ์มหาชน ในปี 1971 จิมก็มีรายการวิทยุเป็นของตนเอง จากความสำเร็จในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทำให้ยอดสาวกของจิมในปี 1973 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,570 คน

           จิมย้ายที่ทำการอีกครั้งมาอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก ในปี 1975 ตอนนี้เองที่จิมเริ่มทำตัวเหลวแหลก เขามีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา เขาออกกฏระเบียบข้อบังคับมากมายที่ตัวเขาเองไม่เคยปฏิบัติ เริ่มใช้ยาเสพติดโดยเขามักจะบอกกับคนอื่นว่ามันคือวิตามินบี 12 แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือควาลูด (Quaalude) หรือยากล่อมประสาทประเภทหนึ่ง บุตรชายของเขาผิดหวังในตัวบิดามากถึงกับพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกรอกยาควาลูด เข้าปากเป็นจำนวนมาก

อวดอุตริมนุษยธรรม

            ปี ค.ศ. 1962 จิมและภรรยาเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทั้งที่ฮาวาย อเมริกาใต้ เพื่อเสาะหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ในที่สุดเขาก็ไปพักอาศัยชั่วคราวอยู่ในบราซิลถึง 2 ปี ปล่อยให้บรรดาผู้ช่วยของเขาดูแลโบสถ์ในอินเดียแนโพลิสกันตามลำพัง

             ในช่วงการเดินทาง ขากลับจิมได้หยุดแวะที่กายาน่า (Guyana) ในแอฟริกาใต้ ที่นั่นเขาพบสถานที่ในชนบทแห่งหนึ่งติดชายแดนระหว่างกายาน่าและเวเนซูล่าที่ ถูกใจเขามาก จิมได้ให้คำมั่นสัญญากับลินเดน ฟอร์บส์ เบิร์นแฮม (Lynden Forbes Burnham) นายกรัฐมนตรีกายาน่าว่าเขาจะพัฒนาที่ดินแถบนี้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ถ้าหา กลินเดนยอมอนุญาตให้เขามาตั้งสำนักที่นี่

                     

            หลังจากที่ลินเดนได้ไตร่ตรองดูแล้วว่าคงจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าหากมีกลุ่มชน ชาวอเมริกันมาตั้งรกรากอยู่ที่ชายแดนคอยเป็นหูเป็นตาคอยดูแลชายแดนให้กับเขา คิดได้ดังนั้นลินเดนจึงอนุมัติให้จิมมาเปิดสำนักในกายาน่าได้ในปี 1973

            ปีต่อมา จิมได้ส่งสาวกของเขามากรุยทางที่กายาน่าก่อน โดยให้สาวกมีหน้าที่เยี่ยมเยียนชาวบ้านเพื่อเทศนาและประชาสัมพันธ์ลัทธิใหม่ ในเมืองจอร์จทาวน์ (Georgetown) เมืองหลวงของกายาน่า ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาในช่วงนี้เสาะหาสถานที่เหมาะๆที่จะให้จิมมาเทศนาสั่ง สอนชาวเมือง

           สาวกของจิมเลือกใช้โบสถ์คาทอลิกในเมือง บาทหลวงแอนดรู มอร์ริสัน (Andrew Morrison) อนุญาตให้ใช้สถานที่ได้ แต่เมื่อจิมมาถึงแทนที่จะเทศนาเฉยๆ เขากลับโฆษณาชวนเชื่อลัทธิใหม่และพยายามแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ทำให้บาทหลวงแอนดรูถึงกับช็อก

                       

            วันรุ่งขึ้น บาทหลวงแอนดรูได้กล่าวคำขออภัยต่อประชาชนที่ปล่อยให้มีการเล่นปาหี่ภายใน โบสถ์คาทอลิก ส่วนทางด้านจิมกลับไปนอนเลียแผลที่สหรัฐ เอามือก่ายหน้าผาก แปลกใจว่าทำไมลูกเล่นที่เขาเคยใช้ได้ดีในอินเดียแนโพลิสกลับใช้ไม่ได้ผลใน เมืองจอร์จทาวน์

ปฏิบัติการมอมเมา

           ในสหรัฐ จิมยังคงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ด้วยการรักษาคนไข้ปลอมๆที่เป็นพรรคพวกของเขา ผู้คนจำนวนมากต่างหลงเชื่อในมายากลที่ศาสดาจิมแสดงในโบสถ์ ซึ่งคนในจำนวนนี้ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ชาวบ้านตาสีตาสาเท่านั้น แต่มีคนที่การศึกษาชั้นสูงรวมอยู่ด้วยมากมาย

           จิมเพิ่มจำนวนสาวกด้วยการเชิญชวนผู้มุ่งหวังหรือกลุ่มเป้าหมายมาที่โบสถ์ ผู้มุ่งหวังทุกคนจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ในขณะเดียวกันก็จะมีเจ้าหน้าที่ของโบสถ์คอยจับตาดูว่ามีใครในกลุ่มผู้มุ่ง หวังที่แสดงท่าทีต่อต้านหรือสงสัยเคลือบแคลงในตัวจิมบ้าง แน่นอนว่าถ้าหากมีใครที่ทำตัวเป็นปัญหาพวกเขาก็ถูกกันออกจากกลุ่ม

           กลุ่มเป้าหมายหลักที่จิมชักจูงได้ง่ายนั้นคือกลุ่มคนผิวดำ คนจน คนด้อยการศึกษา เพราะคนพวกนี้มักจะเชื่อคำสั่งสอนโดยไม่มีคำถามและจะชักจูงต่อๆไปกันเองใน หมู่สมาชิกที่เราเรียกว่าการนำกลุ่มโดยสมาชิกด้วยกัน (Other Directed)

                     

           จิมสั่งสอนให้สาวกของเขาแบ่งปันทรัพย์สินซึ่งกันและกัน สมาชิกทุกคนจะต้องมอบรายได้ที่ตนเองหาได้ให้กับวัดเพื่อเก็บรักษาไว้เป็น เงินกองกลาง และนั่นรวมถึงทรัพย์สินอื่นๆที่ตนมีครอบครองไว้ด้วยเพื่อที่จะได้นำ ทรัพย์สินเหล่านั้นออกมาขายในตลาดนัดที่ทางวัดจัดขึ้นในทุกวันสุดสัปดาห์

           สมาชิกทุกคนของลัทธิโบสถ์มวลชนจะต้องมีความเป็นอยู่แบบสมถะ ทุกคนจะใช้เงินได้ไม่เกิน 2 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ (ที่เหลือทางวัดใช้เอง!) จิมเป่าหูให้สมาชิกของวัดนั้นเชื่อมั่นในระบบสังคมนิยมที่เขาบัญญัติขึ้น เขากล่าวว่ามันเป็นความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

            จิมโน้มน้าวให้สาวกมองเขาดุจดั่งพระเจ้าองค์หนึ่ง เขามักจะอ้างถึงการเลี้ยงดูคนยากคนจน การบริจาคเสื้อผ้าให้กับผู้ยากไร้และการรักษาคนป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่ สามารถรักษาได้ เขาจะปิดการเทศนาของเขาด้วยการกระตุ้นความต้องการในเบื้องลึกของจิตใจสาวก ว่า “ท่านได้รับการปลดปล่อยแล้ว” (You’re Free)

 

 

ศาสดาผ่อนคลาย

           ในช่วงทศวรรษที่ 1960 จิมสนับสนุนให้เหล่าสมาชิกที่เพศสัมพันธ์กันเอง เขาสั่งให้สาวกแต่ละคนบรรยายถึงประสบการณ์ทางเพศโดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของ การสารภาพบาป และยังประกาศอีกว่าเขาคือผู้เดียวที่สามารถให้ความรู้ทางเพศศึกษาได้อย่าง แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อพิสูจน์ว่าเขามีเสน่ห์ดึงดูดทั้งเพศหญิงและชาย จิมยังมีความสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันเองด้วย

           เดือนธันวาคม 1973 จิมถูกตำรวจจับที่สวนสาธารณะแมคอาร์เธอร์ (MacArthur Park) ซึ่งเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน จิมถูกแจ้งข้อหากระทำอนาจารและได้รับการประกันตัวไปตัวเงิน 500 ดอลลาร์ ทิม สโตเอน (Tim Stoen) ทนายความประจำวัดพยายามวิ่งเต้นให้ตำรวจฉีกสำนวนคดีออกจากแฟ้ม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จิมถูกส่งตัวขึ้นศาลในวันที่ 20 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม คดีถูกยกฟ้องภายใต้เงื่อนไขว่าต้องยอมเซ็นชื่อรับทราบว่าถูกจับเพราะตำรวจมี หลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าเขากระทำความผิดจริง

           ในการเทศน์สั่งสอน จิมมักยกคำพูดที่กินใจเหล่าสาวกและคนที่ศรัทธาในตัวเขาว่า “ถ้าหากมีใครต้องการกำจัดคนหนึ่งคนใดในพวกเราแล้วละก็ เขาควรจัดการพวกเราทุกๆคน” คำกล่าวนี้ได้รับเสียงปรบมือสนับสนุนนานถึง 45 วินาที (สมัยนั้นยังไม่มี "มือตบ")

                              

             ฤดูร้อนปี 1977 จิมเริ่มถูกสื่อขุดคุ้ย โจมตีเรื่องความไม่ชอบมาพากลในลัทธิโบสถ์มหาชน มีการเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปสืบสวนหาข้อเท็จจริง จิมจึงจำเป็นต้องฐานทัพหนี

สุสานโจนส์ทาวน์

             จิมเลือกสถานที่ในชนบทของกายาน่าที่เขาหมายตาไว้เมื่อหลายปีก่อน ก่อตั้งชุมชนเล็กๆขึ้นและตั้งชื่อว่า "โจนส์ทาวน์" (Jonestown) สาวกที่ภักดีอพยพตามมาอยู่ด้วยราว 1,100 คน

            ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน จิมได้รับหมายเรียกตัวข้อหาทำร้ายอดีตสมาชิกลัทธิโบสถ์มหาชน จิมนำหมายเรียกตัวนั้นไปแสดงต่อสาวกและกล่าวว่าหมายเรียกตัวนี้เปรียบเสมือน การทำร้ายสมาชิกของโบสถ์ทุกคน ทำให้เหล่าสมาชิกมีการเคลื่อนไหว พวกเขาส่งวิทยุสื่อสารตอบโต้กันระหว่างเมืองโจนส์ทาวน์กับสมาชิกที่อยู่ใน สหรัฐ สรุปใจความสำคัญได้ว่าถ้าหากมีใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มโบสถ์มหาชนถูกจับพวกที่ เหลือจะยอมฆ่าตัวตาย

                        

                        

                        

             รองนายกรัฐมนตรีของกายาน่าเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นจึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะ ไม่จับกุมใครในโจนส์ทาวน์ เมื่อหมายเรียกตัวถูกยกเลิก จิมจึงประกาศให้เหล่าสมาชิกเลิกเตรียมพร้อม เหตุการณ์นี้ทำให้จิมรู้สึกว่ากายาน่าอาจไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับเขา เขาจึงเริ่มมองหาสถานที่แห่งใหม่ในรัสเซียและแอลเบเนีย
แต่เรื่องราวไม่จบลงแค่นั้น เพราะในเดือนพฤศจิกายน 1978 รัฐบาลสหรัฐส่งวุฒิสมาชิกลีโอ ไรอัน (Leo Ryan) พร้อมกับผู้ติดตามเดินทางมายังโจนส์ทาวน์ เพื่อสืบสวนตามที่ได้รับร้องเรียน

             ลีโอขอเข้าตรวจโจนส์ทาวน์อย่างสันติ เจ้าหน้าที่รัฐบาลทุกคนยินยอมให้การ์ดลัทธิโบสถ์มหาชนปลดอาวุธ ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าตรวจค้นโจนส์ทาวน์ได้โดยมีการ์ดคอยตามประกบ

             ก่อนที่ลีโอจะกลับเขาได้หันไปถามสมาชิกโบสถ์มหาชนว่ามีใครต้องการเดิน ทางกลับสหรัฐไหม ปรากฏว่ามีหลายคนขานรับคำเชิญและขอเดินทางกลับพร้อมกับลีโอ สมาชิกที่เหลือโกรธแค้นมากและประณามคนพวกนั้นว่าเป็นผู้ทรยศ ขณะที่ลีโอเดินนำคณะขึ้นรถนั้นสมาชิกคนหนึ่งของโบสถ์มหาชนได้ตรงเข้าทำร้าย ลีโอด้วยมีด โชคดีที่เขาไหวตัวทันทำให้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

                       

                       

                       

             เมื่อทีมสืบสวนของสหรัฐเดินทางมาถึงสนามบินในจอร์จทาวน์ เตรียมพร้อมที่จะขึ้นเครื่องบินกลับสหรัฐ นักรบโบสถ์มหาชนกลุ่มหนึ่งถือปืนยาวตรงเข้ายิงใส่คณะสืบสวนทำให้ลีโอ ไรอัน วุฒิสมาชิกและหัวหน้าทีมสืบสวน แพทริเชีย พาร์ก (Patricia Parks) ผู้ร้องเรียน ดอน แฮรีส (Don Harris) และบ๊อบ บราวน์ (Bob Brown) ผู้สื่อข่าว NBC และเกรก โรบินสัน (Greg Robinson) ช่างภาพ เสียชีวิตทันที ส่วนผู้ติดตามที่เหลือได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน

             เมื่อเหตุการณ์เลยเถิดมาถึงขั้นนี้ จิมตัดสินใจเป่านกหวีดครั้งสุดท้ายเรียกสมาชิกทุกคนเข้ารวมกลุ่มและประกาศ ด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าหากเราไม่สามารถอยู่อย่างสันติได้ก็ขอตายอย่างสันติ” สิ้นเสียงประกาศเหล่าสมาชิกก็ปรบมือขานรับอย่างกึกก้อง คริสติน มิลเลอร์ (Christine Miller) หนึ่งในสาวกไม่เห็นด้วย เธอบอกกับจิมว่า “หากชีวิตยังไม่สิ้นก็ยังคงมีความหวัง” จิมสวนกลับทันทีว่า “ทุกคนต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง” จากนั้นก็มีเสียงตะโกนออกมาจากกลุ่มสมาชิกว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง”

            “ถ้าอย่างนั้นขอให้ปล่อยเด็กๆ” คริสตินไม่ละความพยายาม “การตัดสินครั้งสำคัญที่เราจะให้ได้ก็คือการลาจากโลกที่เส็งเคร็งใบนี้” จิมปฏิเสธคำร้องขอของคริสติน แล้วเสียงปรบมือสนับสนุนดังลั่นขึ้นอีกครั้ง

                            

              จิมส่งน้ำองุ่นผสมไซยาไนด์ให้สาวกทุกคนได้ดื่มกันถ้วนหน้า โดยไม่แจ้งให้รู้ว่ามันคือยาพิษ พวกเขาเสียชีวิตลงทีละคนๆ หลังจากนั้นเสียงปืนดังขึ้นโดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง ลูกกระสุนเจาะเข้าที่กะโหลกจิม เขาเสียชีวิตบนเก้าอี้ ยอดผู้เสียชีวิตในการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งนี้มีทั้งสิ้น 911 คนรวมถึงจิม โจนส์ ศาสดาอุบาทว์จอมลวงโลก

 

Credit: http://www.mythland.org/v3/viewthread.php?tid=2739&extra=page%3D1%26amp%3Borderby%3Dheats%26amp%3Bfilter%3D2592000
11 พ.ค. 54 เวลา 15:09 5,538 14 140
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...