โอซามา บิน ลาเดน ...บนเส้นทางแห่งการก่อการร้าย

'บินลาดิน'ตายก่อการร้ายไม่จบ เตือนทั่วโลกรับมือแก้แค้นนองเลือด สื่อแพร่คลิปจุดสังหาร


อุซามะห์ บินลาดิน สิ้นชื่อแล้วแต่สงครามก่อการร้ายยังไม่ยุติ


ทางสำนักข่าวเอบีซีนิวส์ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นภาพภายในห้องนอนในบ้านพักของบิน ลาดิน จุดที่เขาถูกสังหารเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ในสภาพที่รกรุงรังมีรอยเลือดเป็นจุดๆ เฟอร์นิเจอร์ล้มระเนระนาดและพรมโชกไปด้วยเลือด
   
   
วิดีโอที่เผยแพร่ออกมาหนึ่งวันหลังการจู่โจมของหน่วยคอมมานโดสหรัฐฯโดยสำนักข่าวเอบีซียังเผยให้เห็นคราบเลือดอยู่บนพื้นในห้องๆหนึ่งของคฤหาสน์ใหญ่โต ที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงปากีสถาน ขณะที่คอมพิวเตอร์หลายเครื่องก็ได้รับความเสียหาย หมอน ผ้าและข้าวของกระจัดกระจายอยู่บนเตียง


โอซามา หรืออุซมะห์ บินลาเดน เกิดเมื่อปี 1957 ที่ซาอุดิอาระเบีย โดยเขาเป็นลูกคนที่ 17 จากจำนวนทั้งหมด 57 คน ของครอบครัวนักธุรกิจ ซึ่งมีกิจการในซาอุดิอาระเบีย พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุฯ ส่วนแม่ของเขาเป็นภรรยาคนที่สิบ ซึ่งภายหลังหย่ากับพ่อของเขาและไปแต่งงานใหม่ เมื่ออายุได้ 13 ปี บิน ลาเดน ได้รับมรดกมากมายจากบิดาที่เสียชีวิตหลังเครื่องบินที่ขับประสบอุบัติเหตุตก

 

 


บิน ลาเดน จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยคิง อับดุลลาซิส (King Abdulaziz University) ในเมืองเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย เขาแสดงความสนใจในศาสนามาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีรายงานว่าเขาศึกษาคัมภีร์อัลกุรอาน และมักจะเข้าฟังการเทศนาที่นครเมกกะเป็นประจำทุกสัปดาห์ นอกจากนั้น เขายังเป็นนักอ่านวรรณกรรมอาหรับตัวยง และแนวคิดของสงครามศาสนา “จิฮัด” มาตั้งแต่สมัยเรียน


หลังจบการศึกษา เขาเข้าร่วมกับกองโจรมูจาฮีดีนของอัฟกานิสถาน เพื่อต่อต้านการรุกรานของโซเวียตในปี 1979 จากนั้นในปี 1984 บิน ลาเดนก็จัดตั้งเครือข่ายสนับสนุนอัฟกานิสถานโดยอาศัยทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เอง ขยายเครือข่ายครอบคลุมโลกอาหรับทั้งหมด และโอนถ่ายเงิน อาวุธ ทรัพยากร เข้าไปยังอัฟกานิสถาน

 


 

บิน ลาเดน ออกจากเครือข่ายนี้ในปี 1988 โดยให้เหตุผลว่าเขาต้องการบทบาททางการทหารมากกว่าการสนับสนุนจากภาคพลเรือน เขาจึงตั้งเครือข่ายติดอาวุธ อัล เคด้า (Al Qaeda) ขึ้นมาในปีเดียวกัน เขาเปลี่ยนนโยบายมาเป็นต่อต้านสหรัฐฯหลังซาอุดีเปิดประเทศให้กองทัพสหรัฐฯเข้า มาในปี 1990 เขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในซูดานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับมายังอัฟกานิสถาน

 

สำหรับการสู้รบกับสหรัฐฯนั้นเชื่อว่าน่าจะเริ่มขึ้นหลังกองกำลังสหรัฐฯเข้าไปประจำการในซาอุดีอาระเบียในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี 1990 หลังจากอิรักรุกรานคูเวต ซึ่งบิน ลาเดน มองว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนอิสลาม และเรียกร้องให้ทำสงครามศาสนากับสหรัฐ ซึ่งต่อมาบิน ลาเดน ถูกตัดออกจากครอบครัว และถูกเพิกถอนสัญชาติซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 1994

 

 

ภาพเหตุถล่มสถานทูตสหรัฐฯในเคนยา ปี 1998

 

บิน ลาเดน ย้ายไปอยู่ที่ซูดาน เมื่อปี 1991 ก่อนจะถูกขับออกนอกประเทศในอีก 5 ปีต่อมา และเขาได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในอัฟกานิสถานก่อนที่กลุ่มตอลิบานจะเข้ายึดการปกครอง ซึ่งบิน ลาเดน ได้เป็นบุคคลวงในของกลุ่มตอลิบานในเวลาต่อมา

 

สหรัฐฯกล่าวหาบิน ลาเดน และเครือข่ายอัลกออิดะห์ว่าก่อเหตุโจมตีหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดอาคารเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์กเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1994 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 6 คนแต่มีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 1,000 คน นอกจากนี้ยังนายบิน ลาเดน ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญในการสังหารทหารสหรัฐ 24 คน ในซาอุดิอาระเบียเมื่อปี 1995-1996  และยังอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดโจมตีสถานทูตสหรัฐฯในเคนยา และแทนซาเนียเมื่อปี 1998 มีผู้เสียชีวิต 231 คน และบาดเจ็บ 4,000 คน โดยเป็นชาวอเมริกัน 12 ราย


หลังเหตุการณ์สถานทูตถูกโจมตี สหรัฐฯได้ใช้ขีปนาวุธโทมาฮอว์กกว่า 70 ลูก ถล่มโจมตีสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นค่ายฝึกซาวาร์ คิลิ อัล-บาดีร์ ของบิน ลาเดน หลายแห่งทั้งในอัฟกานิสถาน และซูดาน

 

 

ทางการสหรัฐฯยังระบุด้วยว่าเครือข่ายก่อการร้ายของบิน ลาเดน เป็นผู้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีเรือรบยูเอสเอส โคล ของสหรัฐที่นอกชายฝั่งเยเมนเมื่อเดือนตุลาคม 2000 ทำให้ทหารเรือสหรัฐเสียชีวิตไป 17 คน  และเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดคือการจี้เครื่องบินโดยสารของสหรัฐฯพุ่งชนอาคารเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 คน หลังจากนั้นเป็นต้นมา สหรัฐฯได้ปฏิบัติการไล่ล่าบิน ลาเดน อย่างหนัก โดยเชื่อว่าเขากบดานอยู่ในบริเวณชายแดนปากีสถานและอัฟกานิสถาน พร้อมตั้งทั้งค่าหัวเอาไว้สูงถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการแจ้งเบาะแสในการนำจับ

 

 

หลังจากสหรัฐอเมริกาบุกเข้าไปยังอัฟกานิสถานในปี 2001 โค่นล้มรัฐบาลตาลีบัน ซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดกับอัลไคด้า กลุ่มอัลไคด้าก็ถูกจับกุมและสังหารเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ก็แยกย้ายกันหลบหนี และเปลี่ยนวิธีปฏิบัติการเป็นกลุ่มย่อย ฐานปฏิบัติการของอัลไคด้าถูกทำลายเกือบหมด อย่างไรก็ตาม อัลไคด้า ยังมีเครือข่ายที่ปฏิบัติงานอยู่ในอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะโซมาเลียและเยเมนในรอบปีหลังๆ


ถึงกระนั้น ความสามารถในการคุกคามชาติตะวันตกของเขาก็ถือเป็นที่ประจักษ์ และถือเป็นแรงบันดาลใจให้ให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายรุ่นใหม่ก่อเหตุรุนแรงภายใต้ชื่อของเขา เจ้าหน้าที่ระดับสูงส่วนใหญ่ของกลุ่มอัลกออิดะห์ถูกสังหาร หรือไม่ก็ถูกจับกุมตัว ภายหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 ก.ย. 2001 ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทั้งจากยุโรปและเอเชียเริ่มเห็นผลจากการคุกคามของกลุ่มหัวรุนแรงที่ได้รับแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการกระทำของนายบิน ลาเดน

 


 

ภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกจากกองซากปรักหักพัง หลังเกิดการวางระเบิดในรถบรรทุก ใกล้สถานทูตสหรัฐฯในกรุงไนโรบี เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ปี 1998



ในเดือนพฤศจิกายน 2002 นายบิน ลาเดน ได้ข่มขู่อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา เยอรมนี และออสเตรเลีย หลังชาติเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนแก่สหรัฐฯ โดยกล่าวว่า "ถึงเวลาที่เราจะเสมอกัน พวกคุณจะต้องตายเท่าๆกับจำนวนคนที่พวกคุณสังหาร และถูกถล่ม เท่าๆกับที่พวกคุณถล่มเรา" และเรียกร้องให้ชาวมุสลิมลุกขึ้นต่อต้านผู้นำซาอุดิอาระเบียและคูเวต ในฐานะหุ่นเชิดของสหรัฐฯ

 

ขณะที่ในปี 2004 เขาได้เริ่มกลยุทธิ์ใหม่ โดยการเสนอ"สัญญาสงบศึก"แก่ประเทศในยุโรปที่ไม่โจมตีชาวมุสลิม และกล่าวในภายหลังว่าสหรัฐฯสามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์วันที่ 11 ก.ย. ที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง หากว่าสหรัฐฯหยุดการคุกคามความมั่นคงของชาวมุสลิมทั่วโลก

 


ภาพเหตุการณ์ขณะเครื่องบินลำที่ 2 พุ่งเข้าชนอาคารฝั่งใต้ของหมู่อาคาร
เวิล์เทรดเซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001

แม้ว่ากลุ่มอัลกออิดะห์จะไม่ได้เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านการเงินและการขนส่งยุทโธปกรณ์ให้แก่กลุ่มมุสลิมแอฟริกาเหนือ ผู้ก่อเหตุระเบิดรถไฟที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อปี 2004 ซึ่งทำให้ประชาชนเสียชีวิต 191 คน ก็ตาม แต่ก็ถือว่าการก่อการร้ายของกลุ่มหลายต่อหลายครั้งสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กลุ่มจีฮัด

 

ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่มีการเชื่อมโยงการกระทำของกลุ่มอัลกออิดะห์กับเหตุมือระเบิดพลีชีพ 4 รายที่ทำการระเบิดรถไฟใต้ดิน และรถบัสโดยสารในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2005 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 56 ราย ซึ่งผู้สันทัดกรณีบางรายเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้น หากว่านายบิน ลาเดนไม่ปลุกเร้าอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นของกลุ่มหัวรุนแรงหนุ่มสาวที่กระจายอยู่ทั่วโลก

 



ภาพสภาพความเสียหายที่อาคารเพนตากอนของสหรัฐฯ หลังถูกกลุ่มก่อการร้ายโจมตีในวันที่ 11 กันยายน ปี 2001

ในช่วงที่เขาอาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน เขาจะตื่นตั้งแต่ช่วงรุ่งสางเพื่อสวดมนต์ และรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆที่ประกอบด้วยชีสและขนมปัง เขามักจะติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด และแทบทุกวัน เขาและสมาชิกกลุ่มซึ่งประกอบด้วยชาวอียิปต์ เยเมน ซาอุดิอาระเบีย และชาติอื่นๆ จะร่วมซ้อมรบและโจมตี อาทิการปาระเบิดเข้าใส่เป้าหมาย และการยิงโต้ตอบกับศัตรูที่พวกเขาจินตนาการขึ้นมา

 

นอกจากนั้น เขายังมักออกไปขี่ม้าที่เป็นงานอดิเรกของเขาอยู่เสมอ ซึ่งรวมถึงการนวด นอกจากนั้นเขายังมักสั่งน้ำผึ้ง ซึงเป็นสิ่งที่เขาโปรดปราน และสมุนไพรประเภทต่างๆเพื่อรักษาอาการป่วยไข้ต่างๆ นายบิน ลาเดน มีภรรยาทั้งสิ้น 4 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่ศาสนาอิสลามได้บัญญัติไว้ โดยคาดว่าบุตรของเขาน่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 23 คน

 

 

 

 


ภาพโรงแรมแมริออตในกรุงอิสลามาบัดของปากีสถาน กลายสภาพเป็นทะเลเพลิง หลังถูกกลุ่มอัลกออิดะห์ลอบวางระเบิด เมื่อวันที่ 20 กันยายน ปี 2008



ประมวลเหตุการณ์สำคัญในชีวิตผู้นำอัลกออิดะห์ “อุซามะห์ บิน ลาดิน” 

  
   
ปี 1957
อุซามะห์ บิน มูฮัมหมัด บิน อะวัด บิน ลาดิน เกิดที่เมืองริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เขาเป็นหนึ่งในบุตร 50 กว่าคนของมหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวซาอุฯ ทว่าไม่มีใครทราบวันเวลาเกิดที่แน่ชัดของเขา
   
   
ปี 1976 -
บิน ลาดิน เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเจดดาห์ ด้านการจัดการและเศรษฐศาสตร์
   
   
26 ธันวาคม ปี 1979
สหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน และนับตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา บิน ลาดิน ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานทหารในเมืองเปชวาร์ของปากีสถาน เพื่อสนับสนุนอาสาสมัครชาวอาหรับที่เดินทางมาช่วยรบกับกองทัพสหภาพโซเวียต

 

 

 

 

 



ภาพสถานีโทรทัศน์ปากีสถานเผยแพร่ภาพใบหน้าของ อุซามะห์ บินลาดิน
ที่เต็มไปด้วยเลือด หลังถูกกองกำลังสหรัฐฯปลิดชีพลงได้ในที่สุด



ปี 1986
บิน ลาดิน ย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองเปชวาร์ เริ่มนำเข้าอาวุธ และก่อตั้งกลุ่มนักรบอาสาสมัครของเขาเอง
   

ปี 1988
บิน ลาดิน ก่อตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดมุสลิมหัวรุนแรงที่เกลียดชังสหรัฐฯ, อิสราเอล รวมถึงรัฐบาลมุสลิมที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ และพวกที่ต้องการให้ประเทศของตนปกครองด้วยชารีอะห์ (กฎหมายอิสลาม)
   

ปี 1991
บิน ลาดิน เดินทางออกจากซาอุดีอาระเบียและลี้ภัยในต่างประเทศ หลังไม่ยอมรับนโยบายของซาอุดีอาระเบียที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ต่อต้านอิรัก
   
   
มิถุนายน ปี 1993
ญาติพี่น้องของบิน ลาดิน ตัดเขาออกจากความเป็นหุ้นส่วนธุรกิจก่อสร้างของครอบครัว
   
   
9 เมษายน ปี 1994
ซาอุดีอาระเบียยกเลิกความเป็นพลเมืองของบิน ลาดิน หลังจากที่เขาพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนต่อต้านราชวงศ์ซาอุฯ
   
  
พฤษภาคม ปี 1996
บิน ลาดิน หลบหนีออกจากซูดานหลังรัฐบาลท้องถิ่นถูกสหรัฐฯ กดดันหนัก จากนั้นจึงเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน

 

 

 

 

 

 


ภาพประธานาธิบดี บารัค โอบามา ออกมาแถลงข่าวการเสียชีวิต
ของ อุซามะห์ บินลาดิน  เมื่อ  2/5/2011



สิงหาคม ปี 1996

บิน ลาดิน ได้ออกคำตัดสินทางศาสนาว่า ทหารสหรัฐฯ ทุกคนสมควรถูกฆ่า
   
   
ตุลาคม ปี 1996

สหรัฐฯ ประกาศให้ อุซามะห์ บิน ลาดิน เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในการลอบวางระเบิด 2 ครั้งที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งส่งผลให้ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 24 นาย และทหารชาวอินเดียอีก 2 นาย
   
   
7 สิงหาคม ปี 1998

เกิดเหตุวางระเบิดรถบรรทุกหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงไนโรบี เมืองหลวงของเคนยา และดาร์-เอส-ซาลาม เมืองหลวงของแทนซาเนีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 224 คน รวมชาวอเมริกัน 12 คน จากนั้นสหรัฐฯ จึงกล่าวหาว่า บิน ลาดิน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน สั่งการโจมตีด้วยขีปนาวุธแบบร่อน
   
   
12 ตุลาคม ปี 2000

กลุ่มอัลกออิดะห์โจมตีเรือพิฆาต ยูเอสเอส โคล ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าเรือเมืองเอเดนของเยเมน ส่งผลให้ลูกเรือเสียชีวิต 17 ราย

   
   
11 กันยายน ปี 2001

เครื่องบินโดยสารของสหรัฐฯ 3 ลำถูกกลุ่มก่อการร้ายจี้บังคับให้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และตึกเพนตากอน ส่วนลำที่ 4 ตกที่รัฐเพนซิลเวเนีย จากเหตุวินาศกรรมทั้งหมดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ซึ่งภายหลัง บิน ลาดิน ได้เผยแพร่แถลงการณ์ว่า การทำลายอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถือว่าเกินความคาดหมายของกลุ่มอัลกออิดะห์

 



ภาพภาพบ้านพักของ อุซามะห์ บินลาดิน ในเมืองอับบอตตาบัด ซึ่งหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯบันทึกไว้หลังจากสังหารเขาแล้ว



17 กันยายน ปี 2001

ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประกาศ “จับเป็นหรือจับตาย” บิน ลาดิน
   
    
7 ตุลาคม ปี 2001

สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าโจมตีรัฐบาลตอลิบานในอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของบิน ลาดิน และอัลกออิดะห์
   
   
6 ธันวาคม ปี 2001

กองกำลังต่อต้านตอลิบาน ยึดฐานที่มั่นของบิน ลาดิน บริเวณเทือกเขาโทราโบลา ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน
   
   
26 ธันวาคม ปี 2001

บิน ลาดิน กล่าวผ่านคลิปวิดีโอว่า เหตุวินาศกรรมพลีชีพเมื่อวันที่ 11 กันยายน มีจุดประสงค์เพื่อหยุดยั้งไม่ให้สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอล
   
   
10 กันยายน ปี 2002

สถานีโทรทัศร์อัลจาซีราเผยแพร่คลิปเสียงของบิน ลาดิน ซึ่งกล่าวยกย่องผู้ก่อการร้ายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 911 ว่าเป็น “ผู้เปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์”
   
   
พฤศจิกายน ปี 2002

อัลกออิดะห์ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดรถยนต์พลีชีพ 3 ครั้งที่โรงแรม มอมบาซา พาราไดซ์ ซึ่งเต็มไปด้วยชาวอิสราเอล โดยเหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 15 คน บาดเจ็บกว่า 80 คน
   
   
ตุลาคม ปี 2004

บิน ลาดิน เผยแพร่คลิปวีดีโอครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี เพื่อเยาะเย้ยประธานาธิบดี บุช ขณะที่สหรัฐฯกำลังมีการหาเสียงเลือกตั้ง
   
   
มกราคม ปี 2006

บิน ลาดินออกแถลงการณ์อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าตนยังเป็นผู้บัญชาการกลุ่มอัลกออิดะห์

 

 


ภาพชาวอเมริกันหลายพันคนเดินทางมายัง “กราวนด์ซีโร” ในนครนิวยอร์ก เพื่อเฉลิมฉลองข่าวการเสียชีวิตของ อุซามะห์ บินลาดิน หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ซึ่งเป็นผู้บงการเหตุจี้เครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001



กันยายน ปี 2006

ประธานาธิบดีบุช กล่าวคำมั่นถึง บิน ลาดิน ว่า “อเมริกาจะหาตัวคุณให้พบ”
   
   
กันยายน ปี 2007

บิน ลาดิน เผยแพร่คลิปวิดีโอชิ้นใหม่ในรอบเกือบ 3 ปี เพื่อบอกกับสหรัฐฯ ว่า สหรัฐฯ แม้จะมีอำนาจแต่ก็อ่อนแอ
   
   
18 พฤษภาคม ปี 2008

บิน ลาดิน เรียกร้องให้มุสลิมฝ่าการปิดกั้นฉนวนกาซาโดยอิสราเอล และต่อสู้กับรัฐบาลอาหรับที่เป็นมิตรกับอิสราเอลด้วย
   
   
24 มกราคม ปี 2010

บิน ลาดิน แถลงการณ์ผ่านเทปเสียง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความพยายามวางระเบิดเครื่องบินสหรัฐฯในเทศกาลคริสต์มาสซึ่งไม่เป็นผล พร้อมระบุว่าจะโจมตีสหรัฐฯต่อไป
   
   
26 มกราคม ปี 2010

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ระบุว่า กลุ่มอัลกออิดะห์ถูกสหรัฐฯ โจมตีอย่างต่อเนื่องจนเริ่มอ่อนกำลังลง
   
   
25 มีนาคม ปี 2010

สำนักข่าวอัลจาซีราเผยแพร่เทปเสียงของบิน ลาดิน ซึ่งขู่ว่า อัลกออิดะห์จะสังหารชาวอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกัน หากสหรัฐฯ ประหารคอลิด ชีค โมฮัมเหม็ด ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางแผนในเหตุวินาศกรรม 911
   
   
21 มกราคม ปี 2011

บิน ลาดิน กล่าวผ่านเทปเสียงว่า อัลกออิดะห์จะปล่อยตัวประกันชาวฝรั่งเศสก็ต่อเมื่อทหารฝรั่งเศสออกไปจากดินแดนของมุสลิม
   
   
1 พฤษภาคม ปี 2011

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงว่า อุซามะห์ บิน ลาดิน ถูกสังหารในปากีสถาน และทางการสหรัฐฯ พบศพของเขาแล้ว

 


เรย์มอนด์ เคลลี ผู้บัญชาการตำรวจนครนิวยอร์ก ระบุว่า การตายของบิน ลาดิน เป็น “ความคืบหน้าที่น่ายินดี” สำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต 3,000 คน ที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุวินาศกรรมนครนิวยอร์กเมื่อปี 2001 ด้าน ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ก็แสดงความคาดหวังว่าการตายของบิน ลาดิน น่าจะเป็นจุดจบที่นำความสบายใจมาสู่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต

 

 


ถนนหนทางรอบๆ กราวนด์ซีโร่ซึ่งเคยเป็นอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เต็มไปด้วยชาวอเมริกันหลายพันคนที่ยืนโบกธงชาติและร้องเพลงชาติสหรัฐฯด้วยความปีติยินดี บางคนถึงกับปืนเสาไฟฟ้าเพื่อจะมองข้ามกำแพงรอบๆ เขตก่อสร้าง ซึ่งเคยเป็นจุดเกิดโศกนาฏกรรมสะเทือนใจชาวสหรัฐฯเมื่อ 10 ปีก่อน

 

 

 


เครื่องบินโดยสาร 2 ลำของสหรัฐฯ ถูกกลุ่มก่อการร้ายจี้กลางอากาศ ก่อนจะบังคับให้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในช่วงเช้าของวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ส่งผลให้ผู้ที่ทำงานอยู่บนอาคารดังกล่าวเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 2,600 คน ซึ่งเมื่อรวมกับผู้เสียชีวิตบนเครื่องบินทั้ง 2 ลำ และที่อาคารเพนตากอนของสหรัฐฯ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุวินาศกรรมครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน

 

 

 

 


การสังหาร อุซามะห์ บิน ลาดิน ไม่อาจทำให้ความเจ็บปวดของชาวนิวยอร์กและชาวอเมริกันลดน้อยลงได้ก็จริง แต่ก็ถือเป็นชัยชนะอย่างงดงามสำหรับประเทศของเรา และเป็นการไว้อาลัยแก่ทหารหาญทั้งชายและหญิงนับล้านในกองทัพสหรัฐฯ รวมถึงที่อื่นๆ ที่ต่อสู้เพื่อชาติของเรามาโดยตลอด”

 

 

 

 

 


“ชาวนิวยอร์กรอที่จะได้ยินข่าวนี้มานานถึง 10 ปี ผมหวังว่านี่จะเป็นจุดจบที่นำความสบายใจมาสู่ทุกท่านที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในวันที่ 11 กันยายน ปี 2001”

 

 

 

 

 

 


ด้าน เรย์มอนด์ เคลลี ผู้บัญชาการตำรวจนครนิวยอร์ก ระบุว่า การตายของ อุซามะห์ บิน ลาดิน “เป็นความคืบหน้าที่น่ายินดี สำหรับเพื่อนฝูงและครอบครัวของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 911 และสำหรับทุกคนที่พยายามปกป้องนครนิวยอร์กจากการโจมตีครั้งใหม่”

 

 

 

 

 

 

 


เคลลีกล่าวว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดการโจมตีครั้งใหม่ที่นครนิวยอร์ก แต่ก็ได้สั่งให้ตำรวจทุกนายเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา

 

 

 

 

 

 

 

 



ขอบคุณที่มาของบทความ, ภาพ, คลิปและข่าว


http://www.youtube.com/watch?v=GsGF__Z3vRE&feature=player_embedded


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1304328271&grpid=01&catid=&subcatid=


http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053833


http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000054047


http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053939


http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000054097

Credit: http://atcloud.com/stories/95584
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...