ฮุนมาเน็ต สั่งเร่งยึดปราสาทตาเมือนธม
ฮุนมาเน็ต”สั่งเร่งยึดปราสาทตาเมือนธม แฉทหารรับจ้างเวียดนามร่วมถล่มไทย
เมื่อ เวลา 09.45 น. วันที่ 24 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้เกิดเหตุปะทะกันอีกระลอกระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรักตลอดแนวจนถึงบริเวณปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก โดยทหารทั้งสองฝ่ายสาดกระสุนปืนกลขนาดเล็ก และอาวุธประจำกายเข้าใส่กันอย่างดุเดือด ขณะที่มีเสียงปืนใหญ่ยิงสนับสนุนดังกระหึ่มกึกก้องทั่วทั้งบริเวณ จากการตรวจสอบยังไม่พบว่ามีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่มีลูกกระสุนปืน ปรส.ขนาด 75 มม.จำนวน 5 ลูก ตกเข้าใส่หมู่บ้านหนองคันนา หมู่ที่ 8 ต.ตาเมียง ที่บ้านนายพลอน โคประโคน บ้านเลขที่ 26 หมู่8 กระสุนปืนตกเข้าใส่หลังห้องน้ำที่เพิ่งสร้างใหม่ แตกระเบิดเป็นหลุมบริเวณกว้าง
ต่อมาเมื่อเวลา 11.40 น. ได้เกิดเหตุปะทะกันอีกรอบ เสียงปืนใหญ่ปืนกลเล็กได้ยินมาถึงในหมู่บ้านดังถี่ยิบ และมีรถเกราะทหารวิ่งนำทหารผู้บาดเจ็บมาส่งที่ รพ.พนมดงรัก ทราบชื่อคือ ร.ต. อดิศักดิ์ บุ่งนาม อายุ 42 ปีตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก สังกัด ร้อย ร.2341 ฐานปฏิบัติการตาเมือนธม ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณช่องท้องจากสะเก็ดระเบิด อาการสาหัส จึงนำส่งต่อที่ รพ.สุรินทร์ เพื่อรักษาต่อไป นอกจากนี้ยังมีพลทหารชืตพล พุทไธสง สังกัด ร้อย ร. 23 พัน 4 ฐานตาเมือนธม และอส.ทพ.กรกช ดีดวงพันธ์ สังกัด ร้อยทหารพรานที่ 2606 กรมทหารพรานที่ 26 ถูกสะเก็ดระเบิดและแรงอัดอย่างรุนแรง นำรักษาตัวอยู่ที่ รพ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหว ตลอดแนวรบอย่างไม่ขาดระยะ จนขณะเวลา13.15 น. เสียงปืนก็ยังดังกึกก้องได้ยินมาจนถึงตัวอำเภอพนมดงรักที่อยู่ห่างกว่า 15 กิโลเมตร สำหรับการสู้รบครั้งนี้แหล่งข่าวทางทหาร ระบุว่า เมื่อคืนประมาณ 03.00 น. ทางฝั่งกัมพูชาสั่งระดมกำลังทหารราบพร้อมขนปืนใหญ่และกองกำลังติดอาวุธหน่วย รบพิเศษ 911จำนวน 200 นาย นำโดย ร้อยตรี ฮุนมาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซน ที่เดินทางมาบัญชาการรบด้วยตนเอง และเปิดฉากยิงปะทะประปราย ตั้งแต่ ตี 3 จวบจนรุ่งเช้าเวลา 09.45 น.จึงรุกหนักทำให้มีทหารบาดเจ็บดังกล่าวและคาดว่าน่าจะมีทหารบาดเจ็บเพิ่ม ขึ้นอีก ขณะที่ทางฝั่งไทยได้ระดมยิงปืนใหญ่สนับสนุนตอบโต้การต่อสู้ครั้งนี้อย่างถี่ ยิบเช่นเดียวกัน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ดูแลประจำในพื้นที่ ระบุว่า วันนี้มีการประชุมประเมินสถานการณ์ระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และทางกองทัพ แล้วเห็นว่าสถานการณ์การสู้รบยังดำเนินอยู่และยืดเยื้อเพราะมีการเสริมกำลัง เข้าประชิดชายแดนจากฝั่งกัมพูชาซึ่งการสู้รบอาจยังไม่จบง่าย ส่วนผู้เสียชีวิตสถิติยังคงเดิม มีเพียงทหารบาดเจ็บเพิ่มตอนสู้รบเมื่อเช้านี้ มาเพิ่มอีก เท่านั้น และตนยังสั่งให้มีการอพยพชาวบ้านบางหมู่บ้านในเขต อ.กาบเชิง ที่ไม่ยอมออกจากบ้านมาอยู่ที่ศูนย์อพยพ เพราะอ้างว่าเมื่อคราวเกิดการสู้รบที่ปราสาทพระวิหารทางการก็สั่งอพยพพวกเขา มาอยู่ที่ศูนย์พักพิงบ้านโคกตะเคียนแล้ว แต่ครั้งนั้นไม่มีเหตุการณ์อะไร มาคราวนี้พวกเขาจะไม่ยอมอพยพออกอีก โดยตนให้นายอำเภอไปทำความเข้าใจแล้ว เกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัยเพราะการสู้รบยังไม่จบสิ้นง่ายๆ สำหรับศูนย์อพยพขณะนี้ได้เปิดเพิ่มเติมถึง 22 ศูนย์แล้ว รวมผู้อพยพกว่า 32,000 คน ส่วนกรณีที่มีข่าวลือว่ากระสุนใหญ่ตกลงที่ รพ.พนมดงรัก นั้น ไม่เป็นความจริง และที่มีข่าวว่าทหารในแนวหน้าขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มอย่างหนักนั้นก็ไม่จริง เช่นกัน
ขณะที่ ตามศูนย์อพยพต่างๆทางวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี โรงพยาบาลสุรินทร์ ได้ส่งนักศึกษาฝึกงานและเจ้าหน้าที่พยาบาลเข้าไปจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ จิตร่วมกับโรงพยาบาลจิตเวช นครราชสีมา แก่ผู้อพยพเกรงว่าอาจจะเครียดขณะมาพักพิงในศูนย์ โดยเฉพาะเด็กๆจำนวนมากที่ติดตามผู้ปกครองบางคนมีอาการซึมเศร้า หวั่นวิตก ต้องได้รับการดูแลรักษาทางจิตใจ โดยจัดกิจกรรมการเล่นเกมส์ แจกนม และอาหารรวมทั้งการตรวจสุขภาพ และการสำรวจภาวะโภชนาการพร้อมไปด้วย สำหรับตามศูนย์อพยพ 22 ศูนย์ มีชุดดูแลที่ระดมมาจากส่วนราชการทุกภาคส่วนเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อพยพ อย่างเต็มที่แล้ว
วันเดียวกัน ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกกองทัพบก ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปะทะระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา โดยโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า จากเหตุการณ์ปะทะดังกล่าว กองทัพมีความจำเป็นต้องมีมาตรการตอบโต้การรุกล้ำอธิปไตย ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กระทรวงกลาโหมและกองทัพจะใช้ศักยภาพทั้งหมดในการปกป้องอธิปไตยของชาติ อีกทั้งประเทศไทยไม่เคยคิดรุกรานประเทศใดๆ แต่ไม่ยอมให้ใครมารุกรานเป็นอันขาด ทั้งนี้ การปฏิบัติได้ยึดตามกรอบของบันทึกความร่วมมือไทยกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจชาย แดนและจัดทำเขตแดนทางบก ปี2543 หรือเอ็มโอยู43 รวมทั้งกฎบัตรของสหประชาชาติและสนธิสัญญาในฉบับต่างๆ ที่ได้ทำไว้
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า กองทัพบกเป็นหน่วยหลักในการป้องกันอธิปไตย มี 3 ข้อที่ต้องการเรียนให้ทราบ 3 เรื่องคือ 1 สาเหตุการปะทะเริ่มในวันที่ 22 เม.ย. 2.รายละเอียดในการปฏิบัติ 3.แนวทางในการปฏิบัติในอนาคต อันดับแรก เรามีข้อตกลงระหว่างไทยและกัมพูชาว่าบริเวณพื้นที่ปราสาทตาควายยังเป็น พื้นที่ไม่ชัดเจน ดังนั้นห้ามทหารวางกำลังจัดเป็นพื้นที่เขตปลอดทหารหรือ no man's land หากใครอยากจะเข้ามาจะต้องแจ้งอีกฝ่ายแล้วไปพร้อมๆกัน ที่ผ่านมาเรายึดถือเป็นแบบธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอด แต่ทางกัมพูชามีการส่งกำลังเข้ามาในวันที่ 22 เม.ย.เราก็ต้องจัดชุดลาดตระเวนไปเตือนว่ารุกล้ำเข้ามา แต่ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทยก่อนถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะกัน ก็มีการตอบโต้ตั้งแต่ปืนเล็กยาว จนยกระดับมาเป็นปืนใหญ่ เริ่มในวันที่ 22 เม.ย.เริ่ม 06.30 น.จบ 10.น.วันที่ 23 เม.ย.เริ่ม 06.1น. จบ 11.25 น.ซึ่งตลอดเวลาของการปะทะกันผู้บังคับบัญชาระดับสูงของไทยทั้งรมว.กลาโหม ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 2 พยายามติดต่อประสานงานกับผู้ใหญ่ของกัมพูชาขอให้หยุดยิง วันนี้ล่าสุดมีรายงานว่ากัมพูชาย้ายรถถังจากเขาพระวิหารมาที่ปราสาทตาเมือ นธมและปราสาทตาควายแล้ว นอกจากนี้ทางกัมพูชายังนำเด็ก สตรี คนชรา มาอยู่ในเขตเขาพระวิหารที่ตั้งของทหาร ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นจะได้กล่าวหาว่าเราไปละเมิดสิทธมนุษยชนของเขา ที่ผ่านมากัมพูชาพยายามยั่วยุเราตลอด
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า กองทัพยึดมั่นในข้อตกลงมาตลอด โดยผบ.ทบ.รับนโยบายจาก ผบ.สส.และรมว.กลาโหมใน 4 เรื่อง คือ1 เราจะไม่เริ่มการปะทะก่อน 2 ตอบโต้ตามความจำเป็น 3 เราจำกัดพื้นที่การปะทะไม่ให้ลุกลาม 4 เป้าหมายตอบโต้ของเราคือทหาร ไม่ใช่ประชาชน เราไม่มีการแก๊ซพิษหรือใช้เครื่องบินไปรุกล้ำน่านฟ้าเขา รัฐบาลให้อำนาจกับทหารตามข้อตกลงไทยกัมพูชาคือ เอ็มโอยู 43 ขณะนี้ฝ่ายไทยเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ 17 นาย ส่วนกัมพูชาก็ใกล้เคียงกัน เราต้องขอสรรเสริญทหารที่เสียสละชีวิตทั้งไทยและกัมพูชา ถือว่าทั้ง 2 ฝ่ายได้ทำหน้าที่ในการดูแลอธิปไตยของตนเอง กองทัพไทยก็ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียทุกคน แต่เหตุการณ์นี้ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ถ้าเราไม่ทำอะไรตอบโต้กัมพูชาก็จะยึดพื้นที่แบบที่เคยเกิดบริเวณรอบเขาพระ วิหารมาแล้ว ดังนั้นให้เกิดปัญหาวันนี้ดีกว่าจะบานปลายในอนาคต เพราะลักษณะของกัมพูชาเข้าแล้วเข้าเลยไม่มีการออกจะเป็นปัญหาเรื้อรัง
ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอเรนซ์ ไปยังศาลากลางจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ โดยมีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ประจำอยู่ในพื้นที่ รวมถึงนายเสริม ไชยณรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายธานี สามารถกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ร่วมด้วย ทั้งนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าสถานการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริเวณชายแดนไทย บริเวณ จ.สุรินทร์ 3 วันติดต่อกัน โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบและถูกอพยพไปที่ศูนย์ อพยพต่างๆซึ่งได้เตรียมไว้ โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฝ่ายไทยมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตย และเมื่อเกิดการยิงเข้ามา กระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน และละเมิดอธิปไตย ก็มีความจำเป็นต้องตอบโต้ ซึ่งได้ยึดถือหลักสากลในการปฏิบัติมาโดยตลอด คือ ตอบโต้ไปทางเป้าหมายทางทหารและทำอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์เหตุการณ์และการ ใช้กำลัง ขณะเดียวกันทุกฝ่ายพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว เพราะทราบว่า ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนมากที่สุด
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้รับฟังรายงานสถานการณ์จากฝ่ายต่างๆ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้รายงานว่า จากเหตุการณ์ปะทะ 3 วันที่ผ่านมา ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ รวม 25 นาย โดยไม่มีประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และไม่มีบ้านเรือนของราษฎรเสียหาย ส่วนการให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่สุรินทร์มีศูนย์ อพยพ 22 ศูนย์ มีจำนวนประชาชน กว่า 23,000 คน โดยมีโรงเรียน วัด และสถานสงเคราะห์ของกระทรวงพัฒนาสังคมเป็นศูนย์อพยพ ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องสถานที่ หรืออาหาร ทางจังหวัดสามารถรับมือได้ แต่ยังต้องการขอรับการสนับสนุนเรื่องอาหารการกินเพิ่มเติมก็จะเป็นการดี ส่วนเรื่องวงเงินงบประมาณนั้นไม่มีปัญหา และยังเพียงพอ สำหรับเรื่องของหลุมหลบภัยได้ขอให้สร้างเพิ่มกว่า 140 แห่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้มีประชาชนบางส่วนยังเป็นห่วงทรัพย์สิน และปักหลักอยู่ที่บ้าน จึงกำชับให้ระมัดระวัง และหากสถานการณ์ยังคลี่คลายขอให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย แต่หากสถานการณ์คลี่คลาย จะประเมินกับหน่วยงานด้นความมั่นคงว่าจะอพยพชาวบ้านกลับอย่างไร ซึ่งขวัญและกำลังใจของประชาชนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบว่า ถ้าได้รับการพิจารณาเรื่องหลุมหลบภัยก็จะดำเนินการได้ทันที ทั้งนี้นายองอาจ กล่าวว่า นายกรณ์ จาติกวณิช รมว. คลัง ได้ให้ปลัดระทรวงการคลัง โทรศัพท์มาหาตนเพื่อขอให้งดเว้นการใช้ระเบียบกระทรวงการคลังในการดำเนินการ สร้างหลุมหลบภัย ซึ่งวันที่ 25 เม.ย.นี้จะได้ข้อยุติ
ด้าน พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า สถานการณ์การสู้รบ สิ่งบอกเหตุต่างๆ ทางการทหารไม่ปรากฎอะไร เพราะอยู่ที่ทางกัมพูชาจะเริ่มยิงก่อนทุกครั้ง ไทยได้แต่เฝ้าระวัง แต่ทุกวันทางฝั่งกัมพูชามีการเคลื่อนไหวตลอด ซึ่งได้มีการรวบรวมข้อมูลและที่หมายทางทหารมาโดยตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ได้มีการตอบโต้ทางที่หมายทางการทหาร สำหรับสภาพทั่วไปนั้น ตนทราบว่าทางกัมพูชาได้รับบาดเจ็บจำนวนมากกว่าฝ่ายไทย รวมทั้งยุทโธปกรณ์เสียหายจำนวนมาก ทั้งนี้จากการติดต่อประสานทางโทรศัพท์กับฝ่ายกัมพูชา สามารถติดต่อได้แต่ทางกัมพูชาแจ้งว่าไม่มีอำนาจตัดสินใจ เนื่องจากอยู่ที่รัฐบาลกัมพูชา ซึ่งตนคาดว่าคงอยู่ที่สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพียงคนเดียว เพราะเขาอาจมีแนวคิดนำเรื่องปัญหาชายแดนไปหารือในไตรภาคี แต่เราต้องการทวิภาคี แต่เท่าที่ตรวจสอบไปยังปราสาทพระวิหารปัจจุบันมีการเปิดผ้าคลุมปืนใหญ่ ปืนบีเอ็น 21 กระสุน 40 ลำกล้อง ซึงมีสิ่งผิดปกติอยู่ โดยทางไทยได้เตือนไปแล้ว สำหรับกำลังพลของไทย ขณะนี้สามารถปกป้องอธิปไตยได้เพียงพอ จึงคิดว่าปัจจุบัน เรายังสามารถรักษาสถานการณ์ได้ทุกครั้งที่ทางกัมพูชาจัดกำลังเคลื่อนที่มา ยังฝ่ายไทย และเราสามารถยับยั้งได้ตลอด
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อว่า จากการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีที่ระบุว่าทหารอดอยากนั้น ตนยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ตนอยู่กับทหาร ยืนยันว่าอาหารการกินอิ่มหนำสำราญ ซึ่งทางกองทัพนำเครื่องอุปโภคบริโภคแจกให้ตลอดและมีการเก็บสะสมอาหารไว้ 5 วันทำการ ในทุกฐานปฏิบัติการ ถ้าเคลื่อนไหวไม่ได้มีอาหารเพียงพอ จึงไม่ทราบว่าไปเอาข่าวมาจากไหน เพราะการออกข่าวอย่างนี้เกรงจะเกิดความเสียหาย และเสียขวัญกำลังใจของทหาร
ขณะที่พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทางกระทรวงกลาโหมมีนโยบาย และชี้แจงกับทางเหล่าทัพตลอดเวลาว่าการดำเนินการปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดน นั้น เราจะต้องดำเนินการไม่ให้ใครละเมิดอธิปไตยได้ไม่ว่าทางภาคพื้นดินหรืออาวุธ และเมื่อมีการสู้รบแล้วก็ได้ดำเนินการให้นโยบายไปว่าเราจะต้องจำกัดพื้นที่ ที่เกิดเหตุให้อยู่ในพื้นที่นั้นๆ ไม่ให้ลุกลามขยายออกไป อาวุธที่เราตอบโต้ไปก็แล้วแต่เหตุผล เขาใช้อาวุธอย่างไรเราก็ตอบโต้ไปในลักษณะอย่างนั้น และไม่ใช่อาวุธที่เกินเลยไปจากกฎบัตรสหประชาชาติ และสิ่งสำคัญที่สุดคือเหล่าทัพจะต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของ ประชาชนร่วมกับข้าราชการพลเรือน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพบก ตั้งแต่การปฏิบัติงาน 3 วันที่ผ่านมา แผนทั้งหมดเป็นไปตามนโยบายที่ได้วางไว้เดิม เพราะฉะนั้นเรื่องของแผนการเตรียมกำลังและการใช้กำลังไว้ล้วงหน้า ทางแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ได้อำนวยการยุทธ์ร่วมกับ ผบ.กำลังสุรนารี ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น จะเป็นห่วงอย่างเดียวคือขวัญและกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาก็ได้มอบความห่วงใยลงไปในพื้นที่ ประเด็นสำคัญคือการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์นั้นก็คงจะต้องพร้อมอย่างต่อ เนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่มี 2 ส่วนคือทหารหลักและทหารพราน ที่ทำหน้าที่อย่างสมศักดิศรี ส่วนผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บขอให้ส่งข่าวไปยังครบครัวว่าให้ภาคภูมิ ใจว่าสามีและญาติของเขาทำหน้าที่ได้รอย่างสมศักดิ์ศรี ซึ่งการดูแลก็ไม่ต้องเป็นห่วง ทางผู้บังคับบัญชาจะดูแลอย่างดี ไม่ว่าใครจะได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ตาม สำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งก็จะพิจารณาความดีความชอบให้เป็น พิเศษด้วย
ส่วน รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อเช้าวันนี้ (24 เม.ย.) ตนได้มีโอกาสโทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของ อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งเขามีความห่วงใยเป็นธรรมดาเพราได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการสู้รบและ ปะทะกันเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่เขาอยู่ในฐานะส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่หากมีการปะทะขึ้นอีก และเมื่อเกิดการปะทะกันล่าสุดจึงสร้างความตระหนกตกใจให้เขา ดังนั้นในวันที่ 25 เม.ย.นี้ นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย จะเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งตนจะชี้แจงให้ทราบ และยืนยันให้รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย ทราบว่าเราป้องกันตนเองไม่ให้เรื่องขยายออกไป และเราเพียรพยายามในการที่จะให้มีการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายระหว่าง ไทยกับกัมพูชาในทุกระดับ
นายกษิต กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสพูดโทรศัพท์กับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา และนัดจะพบกันในอีก 4-5วันนี้ ดังนั้น ระหว่างนี้ได้มีการติดต่อเพื่อชี้แจงให้ประชาคมโลกรับทราบ ทั้งที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์กรยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลก และแจ้งไปที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งไปยังเมืองหลวงของประเทศสมาชิกที่อยู่ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสห ประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งเราพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ความมั่นใจต่อประชาคมโลกว่าเป็น เรื่องของการป้องกันตนเอง และพร้อมที่จะเจรจาทุกเมื่อ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อให้ชีวิตของชาวกัมพูชาและชาวไทยตามชายแดนมีความสุข และได้วิงวอนให้ผู้นำกัมพูชา มีความระมัดระวัง และหันมาสู่โต๊ะเจรจา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกนายในการปฏิบัติหน้าที่ และยืนยันว่า จะพยายามทำทุกวิถีทางให้สถานการณ์คลี่คลาย และพร้อมสนับสนุนภารกิจของทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
นาย ธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมว.การต่างประเทศ อินโดนีเซีย จะเดินทางมายังประเทศไทยว่า รมว.การต่างประเทศของอินโดนีเซีย จะเดินทางไปยังประเทศกัมพูชาในวันที่ 25 เม.ย. จากนั้น จะเดินทางมาพบกับ รมว.การต่างประเทศของไทย ในเวลาประมาณ 19.00 น. ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ โดยการเดินทางมาของนายมาร์ตี้ครั้งนี้ เพื่อมาคุยถึงการจัดทำรายละเอียดทีโออาร์ เรื่องการส่งผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ที่มีการปะทะกัน ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา เมื่อช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ในบริเวณ จ.ศรีสะเกษ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปะทะครั้งล่าสุด ที่ จ.สุรินทร์
ต่อ มาเมื่อเวลา 15.40 น. เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอีกรอบเป็นครั้งที่ 2 ของวันนี้ บริเวณปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก โดยทหารทั้งสองฝ่ายต่างสาดกระสุนปืนด้วยอาวุธประจำกายเข้าใส่กันเสียงดังหู ดับตับไหม้พร้อมกับมีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ ได้ยินถึงหมู่บ้านหนองคันนา ที่อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมเพียง 3 กิโลเมตร และมีกระสุนปืนใหญ่ขนาด 75 ม.ม.ตกลงมาในหมู่บ้านอีกหลายลูก
แหล่ง ข่าวทางทหารระบุว่า การรบครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชาบัญชาการโดย พล.ท.ฮุนมาเน็ต บุตรชายฮุนเซน ที่นำกำลังทหารเวียดนามผนึกกำลังกับทหารหน่วยรบพิเศษของกัมพูชาในสังกัดของ พล.ท.ฮุนมาเน็ต ส่งขึ้นตามช่องตาเมือนเข้าประชิดแนวรั้วกั้นของทหารไทยที่อยู่ห่างเพียง ระยะ100 เมตร และเตรียมบุกเข้าโจมตีเพื่อยึดปราสาทตาเมือนธมให้ได้ ทั้งนี้ แหล่งข่าวระบุว่า ฮุนมาเน็ต มีคำสั่งเด็ดขาดให้ยึดปราสาทตาเมือนธมให้ได้เร็วที่สุดไม่ให้ยืดเยื้อและ เป็นการรบที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง
ขณะที่นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ตัวแทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เข้าพบ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวทหารหาญที่เสียชีวิตจากการปะทะจำนวน 4 รายๆละ 50,000 บาท บาดเจ็บรายละ 5,000 บาท และมูลนิธิอิสรพงษ์ หนุนภักดี มอบเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิตรายละ 10,000 บาท ภาคเอกชนโดยนายพรชัย มุ่งเจริญพร มอบสมทบอีกรายละ10,000 บาท
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า จากการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา จ.สุรินทร์ บริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ตั้งแต่เวลา 06.15 น. ของวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงอาวุธสงครามมายังฝั่งพื้นทีของทหารไทยอย่างดุเดือด โดยทางทหารไทยได้ตอบโต้ด้วยกระสุนปืนเล็ก จนไปถึงกระสุนปืนใหญ่ตามความเหมาะสม โดยการปะทะกันได้ยุติในเวลา 11.25 น. ซึ่งในการปะทะดังกล่าวกองทัพไทยสามารถทำลายรถถังของกัมพูชาได้ 3 คัน ทหารฝ่ายกัมพูชาตาย 13 นาย บาดเจ็บ 24 นายด้วยกัน
แหล่งข่าวด้านความ มั่นคง เปิดเผยว่า การปะทะในช่วงเช้าวันนี้ (24 เม.ย.) ทหารกัมพูชาได้จัดกำลังชุดใหญ่เข้ามาในพื้นที่และพยายามจะบุกยึดปราสาทตา เมือนธมให้ได้ ทำให้ทหารทั้ง 2 ประเทศปะทะกันอย่างดุเดือด โดยทหารไทยตั้งแนวรับอย่างดีและสามารถทำให้ทหารกัมพูชาชุดดังกล่าวไม่สามารถ เข้ายึดปราสาทตาเมือนธมได้ และได้ล่าถอยกลับไปยังเขตประเทศกัมพูชา โดยการปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ทหารกัมพูชาตายไปทั้งหมด 8 นาย และบาดเจ็บ 15 นาย อย่างไรก็ตาม จากการปะทะของทหารไทยกับทหารกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 22 – 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ทหารไทยมียอดเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บรวม 17 นาย ส่วนด้านทหารกัมพูชามียอดเสียชีวิต 21 นาย บาดเจ็บรวม 39 นาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
dailynews.co.th/newstartpage/index.html
Read more : http://news.konseo.com/konseo717.html#ixzz1LHuy0KnD