หินอ้คนีพุ และวัฏจักรของหิน
หินอัคนีพุ คือ หินอัคนีที่เกิดขึ้นจากหินหนืดเคลื่อนตัวขึ้นมาบนผิวโลก เรียกว่า ลาวา (lava) และแข็งตัวในบรรยากาศโลก ในกรณีที่เปลือกโลกมีรอยร้าว หินหนืดจะแทรกตัวขึ้นมาตามรอยร้าวนั้น (fissure eruption) ซึ่งในกรณีนี้ลาวาจะไหลแผ่ออกเป็นลานหินอัคนีในบริเวณกว้างซึ่งมักเป็นหินบะซอลท์ (plateau basalt) ในกรณีที่หินหนืดแทรกตัวขึ้นมาใต้มหาสมุทรจะทำให้เปลือกโลกยกตัวเป็นแนวเขา น้ำในมหาสมุทรทำให้ลาวาเย็นตัวอย่างรวดเร็วเป็นรูปแผ่นของการไหล (sheeted flow) หรือเป็นรูปหมอนข้าง (pillow) ในกรณีที่ช่องซึ่งหินหนืดแทรกตัวขึ้นมาเป็นรูแคบ (volcanic vent) ความดันที่สูงจะทำให้เกิดการระเบิด ก๊าซจะถูกพ่นขึ้นในอากาศและจะพาเอาลาวาลอยขึ้นไปด้วยและแข็งตัวในอากาศเป็นชิ้นส่วนที่เรียกว่า ไพโรคลาส ถ้าไพโรคลาสตกลงมาทับถมกันอย่างหลวมๆ จะเรียกว่า เทบพรา (tephra) ซึ่งจะแบ่งเป็นชนิดย่อยๆอีก 3 ชนิด คือ บอมบ์ (bomb) แลปปิลลิ (lapilli) และเถ้า (ash)
หินอัคนี (Igneous Rock)
เกิดจากหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกแทรกดันขึ้นมาแล้วตกผลึกเป็นแร่ต่างๆ และเย็นตัวลงจับตัวแน่นเป็นหินที่ผิวโลก แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
- หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive Igneous Rock) เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างช้า ๆ ของหินหนืดใต้เปลือกโลก มีผลึกแร่ขนาดใหญ่ (>1 มิลลิเมตร) เช่นหินแกรนิต (Granite) หินไดออไรต์ (Diorite) หินแกบโบร (Gabbro)
- หินอัคนีพุ (Extruisive Igneous Rock) หรือหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วของหินหนืดที่ดันตัวพุออกมานอกผิวโลกเป็นลาวา (Lava) ผลึกแร่มีขนาดเล็กหรือไม่เกิดผลึกเลยเช่น หินบะซอลต์ (Basalt) หินแอนดีไซต์ (Andesite) หินไรโอไลต์ (Rhyolite)
วัฏจักรของหิน
การเปลี่ยนอุณหภูมิความกดดันการผุพังและการกัดกร่อนก่อให้เกิดวัฏจักรของหินบนโลกธาตุและแร่ต่างๆ
ที่เป็นองค์ประกอบของหินจะไม่ถูกทำลายไป แต่จะวนเวียนกลับมาเป็นส่วนประกอบของหินที่เกิดขึ้นใหม่
การเกิดหินอัคนี
หินหนืดที่หลอมละลาย (1)เมื่อเย็นตัวลงจะตกผลึกแข็งตัวกลายเป็นหินอัคนีขบวนดังกล่าวอาจเกิดขึ้นบริเวณ ใต้เปลือกโลกที่มีการดันแทรกตัวของหินหนืดขึ้นมาในลักษณะพนังหิน (2) หรือที่ผิวเปลือกโลก การผุพังและการกัดกร่อน การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้หินอยู่ลึกลงไปขึ้นมาสู่ผิวโลก กระแสลม กระแสน้ำละลายการกลายเป็น น้ำแข็งทำให้หินบนพื้นโลกแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ขบวนการนี้เรียกว่า การผุพังธารน้ำแข็ง (3) และแม่น้ำ (5) เป็นตัวการพัดพาเศษหินไปจากบริเวณที่มีการผุพังเดิม วิธีการนี้คือขบวนการกัดกร่อน การตกตะกอนทับถมและการถูกแปรสภาพ เศษชิ้นส่วนของหินอาจทับถมเป็นตะกอนอยู่บนแผ่นดิน (6) ในทะเลสาบ (4) บริเวณดินดอนสามเหลี่ยม (7) หรือในท้องทะเล (8) เมื่อปริมาณตะกอนเพิ่มมากขึ้นการสะสมตัวจะมีลักษณะเป็นชั้นๆ น้ำหนักตะกอนตอน บนจะทำให้ตอนล่างอัดแน่นและประสานกันกลายเป็นหินชั้น ขบวนการแปรสภาพ (9) เกิดขึ้นหากหินชั้นจมตัว ลงไปและถูกความร้อน อิทธิพลของความร้อน และความดันทำให้หินที่มีแร่เดิมกลายเป็นหินที่มีแร่ชนิดใหม่
วัฏจักรของหิน
ความร้อนและความดันทีเพิ่มสูงขึ้น ทำให้หินแข็งเกิดการหลอมตัวได้ (11) เช่นในกรณีที่เพลทสองแผ่นบนผืนโลกเคลื่อนตัวชนกัน (10) หินหลอมละลายอาจกลายมาเป็นหินหนืดใหม่ หินหนืดบางแผ่นก็จะประทุกลับขึ้นมาเป็นภูเขาไฟ (12) ระเบิดเป็นลาวา(13) และแข็งตัวกลายเป็นหินอัคนีอีกครั้ง หินหนืดก็มีวัฏจักรอยู่ใต้เปลือกโลกได้เช่นกัน เมื่อหินหนืดเย็นตัวจะกลายเป็นหินอัคนีในรูปของพนังหิน และวงจรของหินจะเริ่มขึ้นใหม่เช่นนี้เรื่อยไป
ข้อมูลจาก
http://www.tps.ac.th/~kusol/chapter8add.htm